‘ครับคุณหนูน้ำขิง แล้วผมจะรีบกลับมาครับ’
‘ไปได้แล้วไอ้ขี้ข้า’
ไม่ต้องรอให้คุณหนูปากจัดไล่เป็นครั้งที่สอง อัคคีกัดฟันแน่นเดินออกจากห้องโถงใหญ่ โดยมีสายตาของเจ้าสัวคมณ์และคุณหนูณัฐณดามองอย่างเหยียดหยามตบท้ายด้วยการหัวเราะเยาะเสียงดัง
‘เวลาได้แกล้งไอ้ไฟ น้ำขิงมีความสุขมากที่สุดเลยค่ะคุณพ่อขา...’
ณัฐณดาเงยหน้าบอกบิดาเสียงหวาน จากนั้นก็หัวเราะเสียงดังด้วยความขบขำ คิดว่าที่ตนเองทำนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เป็นสิ่งที่ลูกคนรวยควรกระทำกับคนจนๆ
ทางด้านของอัคคีพอเดินพ้นห้องโถงใหญ่ พ้นรัศมีของคนที่เป็นนายแล้ว ก็กำมือแน่นแล้วชกไปยังผนังทางเดินเต็มแรงด้วยความเจ็บใจ เมื่อตนเองไม่สามารถทำอะไรคนเหล่านี้ได้
‘สักวันอัคคี สักวันเราจะหลุดพ้นจากบ้านหลังนี้ สักวันเราจะไทแก่ตัวเอง เราจะต้องทนให้ถึงวันนั้น วันที่ไม่มีใครกล้าเรียกเราว่าไอ้ลูกขี้ข้าอีก’
ดวงตาของเด็กน้อยในวัยสิบห้าปีแดงก่ำแข็งกร้าว ขณะจ้องมองไปยังห้องโถงใหญ่ ซึ่งยังคงมีเสียงหัวเราะร่วนของสองพ่อลูกดังเล็ดลอดมาให้ได้ยินตลอดเวลา
‘ฮึ! คุณหนูน้ำขิง! ทำผยองไม่ต่างจากนางฟ้า สักวันนางฟ้าคนนี้จะถูกไอ้ไฟเด็ดปีกเด็ดหางให้กลายเป็นนางฟ้าตกสวรรค์”
อัคคีทำเสียงเยาะขึ้นจมูก ตอนนี้เขามีความกล้าแค่เพียงเท่านี้ กล้าเค้นเสียงเยาะหลับหลังเจ้าสัวคมณ์และลูกสาว แต่สักวันมันจะต้องมีวันของเขา ที่จะได้แก้แค้นคนพวกนี้คืนบ้าง
บทที่ 2
สองพ่อลูกที่ถูกชะตาลิขิตให้เกิดมาเป็นเบี้ยล่างของคนในตระกูลจักรภัทร พากันเดินก้มหน้าเข้ามาในห้องโถง พอใกล้จะถึงบริเวณที่เจ้าสัวคมณ์กับณัฐณดานั่งอยู่บนโซฟาหลุยส์ราคาแพง สองพ่อลูกต่างก็คุกเข่าลงกับพื้นแล้วเดินเข่าเข้าไปหาผู้เป็นนายทั้งสองคน
‘เอ่อ...เจ้าสัวเรียกผมหรือครับ’
แก้วสันต์ หรือที่เจ้าสัวจิกหัวเรียกว่า ไอ้แก้ว เอ่ยถามผู้เป็นนายด้วยน้ำเสียงติดหวาดกลัว
‘มึงไปอยู่ไหนมาไอ้แก้ว กูตะโกนเรียกมึงจนคอแห้งแล้ว มึงก็ไม่โผล่หัวมาสักที’ เจ้าสัวคมณ์ตวาดด่าด้วยความไม่พอใจ ที่คนขับรถทำให้เขาเสียเวลาในการไปพบกับอีหนูในคืนนี้
‘ผม...ผมท้องเสีย กำลังเข้าห้องน้ำอยู่นะครับ เลยไม่ได้ยินเสียงเรียกของเจ้าสัว’
หมอนอิงที่วางอยู่ใกล้มือ ถูกคว้ามาขว้างใส่ศีรษะของแก้วสันต์เต็มแรงพร้อมกับคำด่าของเจ้าสัวคมณ์ ทำเอาคนขับรถถึงกับจนผงะเซถลาไปข้างหลัง
‘มึงอย่ามาแก้ตัว! มึงแอบอู้งานอีกใช่ไหมไอ้แก้ว เลี้ยงเปลืองข้าวสุก’
‘พ่อ เจ็บหรือเปล่าครับ’
อัคคีกระซิบถามบิดา พอเห็นตรงหน้าผากของบิดาปรากฏรอยแดงๆ ซึ่งน่าจะเป็นเพราะโดนมุมของหมอนอิงใบใหญ่ ก็ยกมือลูบไปเบาๆ เพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวดให้กับบิดา
แม้จะเจ็บมากเพียงใด แก้วสันต์ก็ไม่แสดงอาการให้ลูกชายเห็น ‘พ่อไม่เป็นอะไรมากหรอกไฟ’
อัคคีไม่อยากเชื่อในถ้อยคำที่บิดาบอกมา เขากำมือแน่นด้วยความเจ็บใจ ทุกครั้งที่อยู่ใกล้เจ้าสัวคมณ์ พ่อของเขาต้องถูกอีกฝ่ายลงไม้ลงมือทุกครั้ง และตัวเขาเองก็เช่นเดียวกัน เขาถูกคุณหนูที่เอาแต่ใจตัวเองทำร้ายในทุกครั้งที่อยู่ใกล้เช่นเดียวกัน
‘แหวะ! เลี่ยนชะมัด อย่ามาทำเป็นห่วงเป็นใยกันที่นี่ ฉันเห็นแล้วอยากจะอ้วก!’
พ่อมีนิสัยเป็นอย่างไร ลูกก็มีนิสัยเป็นเช่นนั้น เรียกว่าลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น เพราะขณะเค้นเสียงขยะแขยงพ่อลูกทั้งสองคน ณัฐณดาก็คว้าหมอนอิงขว้างใส่ทั้งแก้วสันต์และอัคคีติดกันหลายใบ โดยสองพ่อลูกไม่กล้าโวยวายแม้แต่คำเดียว
‘ไอ้แก้ว มึงไปเอารถออก กูจะไปหาหนู...เอ่อ กูจะออกไปทำธุระข้างนอก’
เจ้าสัวคมณ์ชะงักคำพูดไปชั่วครู่ ไม่กล้าพูดต่อหน้าลูกสาวว่าตนเองกำลังจะออกไปหาความสุขกับอีหนูที่เป็นบ้านเล็กบ้านน้อย
‘ครับเจ้าสัว ผมจะไปเตรียมรถเดี๋ยวนี้ครับ’ แก้วสันต์รับคำ ทำท่าจะผุดลุกขึ้นยืน แต่ก็มีมือเล็กของลูกชายเอื้อมมาจับมือไว้เสียก่อน
อัคคีมองไปนอกบ้าน ซึ่งตอนนี้สายฝนเริ่มเทกระหน่ำลงมาแล้ว ก็เอ่ยเตือนบิดาด้วยความเป็นห่วง
‘พ่อครับ ฝนตกแล้ว พ่อขับรถดีๆ นะครับ’
แก้วสันต์ตบเบาๆ ไปบนบ่าเล็กของลูกชาย แล้วเอ่ยตอบเสียงแผ่วเบาอย่างคนอ่อนแรง เพราะถูกอาการท้องเสียเล่นงานในก่อนหน้านี้
‘ไม่ต้องห่วงพ่อนะลูก พ่อจะขับรถระวังที่สุด’
‘ไฟจะรอพ่อกลับบ้านนะครับ’
อัคคีจับมือพ่อไว้มั่น จู่ๆ ก็เกิดอาการเศร้าสลดขึ้นมาในใจ รู้สึกราวกับว่าตนเองจะได้เห็นหน้าบิดา ได้จับมือใหญ่อันแสนอบอุ่นของท่านเป็นครั้งสุดท้าย
ส่วนผู้เป็นบิดาเองก็มีอาการไม่ต่างจากลูกชาย เขาจ้องมองใบหน้าที่ส่อเค้าหล่อเหลาของลูกชายอยู่นานหลายนาที ก่อนจะคลี่ยิ้มเศร้าๆ แล้วเอ่ยบอกว่า
‘พ่อไปก่อนนะไฟ’
เด็กน้อยในวัยสิบห้าขวบถึงกับขอบตาร้อนผ่าว รู้สึกว่าเป็นคำพูดสุดท้ายที่บิดากำลังกล่าวลาก็ไม่ปาน
‘ไอ้แก้ว มึงจะล่ำลากับลูกมึงอีกนานไหม กูต้องการออกไปข้างนอกเดี๋ยวนี้’
‘ครับเจ้าสัว ผมไปแล้วครับ’
แก้วสันต์ลุกขึ้นยืนแล้วรีบวิ่งออกไปจากห้องโถง เพื่อไปเตรียมรถให้กับเจ้าสัว ที่ต้องการออกไปหาอีหนูทั้งๆ ฝนกำลังตกหนักราวกับฟ้ารั่ว
และเมื่ออยู่กันตามลำพัง คุณหนูณัฐณดาก็เริ่มแกล้งลูกคนใช้เหมือนที่เคยแกล้งทุกวัน จนแทบจะกลายเป็นกิจวัตรประจำวันไปเสียแล้ว หากวันใดไม่ได้แกล้งอัคคี เธอก็จะอยู่ไม่เป็นสุข จะนอนไม่หลับทั้งคืน
‘ไอ้ขี้ข้า ไปเอาเฟรมวาดรูปมาให้ฉันเดี๋ยวนี้’
‘ครับ...คุณหนูน้ำขิง’
อัคคีรับคำสั้นๆ แล้วลุกขึ้นจากบริเวณดังกล่าวอย่างรวดเร็ว เพราะรู้ว่าหากช้ากว่านี้ก็ต้องถูกณัฐณดาลงไม้ลงมือกับตัวเขาอีก