ตอนที่ 11
จุดที่มองข้าม
หมากสีขาวถูกวางลงตรงหน้ากระดาน หมากสีดำถูกกำจัดออกไป หลิวอวี่เหวินขยับตัวขึ้น มือที่ถือหมากสีดำชะงักค้าง ใบหน้าหล่อเหลาดูจริงจัง เขาหรี่ตามองหมากบนกระดาน
“พี่ใหญ่ท่านแพ้แล้ว” เสียงหวานเอ่ยกลั้นหัวเราะ นางเงยหน้าขึ้นไปมองก็เห็นสีหน้าที่ไม่ยินยอมของพี่ชาย ในใจรู้สึกสะใจอยู่บ้าง พี่ใหญ่นางเป็นพวกไม่ยอมแพ้อะไรง่าย ๆ หากไม่เช่นนั้นเขาจะคุมกองทัพได้ตั้งแต่อายุเพียงเท่านี้หรือ ขนาดตอนที่บิดานางยังมีชีวิตอยู่ก็ยังทำไม่ได้ ทว่าเมื่อนึกถึงความทุ่มเทที่พี่ชายนางมี แต่จุดจบกลับต้องถูกสวมด้วยข้อหากบฏ ดวงตานางก็พลันเข้มขึ้นความแค้นทะลักออกมา นางลอบกำมือใต้แขนเสื้อเอาไว้แน่น
“เล่นอีกตา อาเฉาจัดกระดาน”อาเฉา
ขยับเข้ามาก้มศีรษะลง ก่อนจะยื่นมือออกไปเรียงหมากบนกระดานใหม่อีกครั้ง หลิวอวี่หนิงมิได้ขัดขวางนางขยับตัวออกปล่อยให้อาเฉาจัดเรียงได้อย่างสะดวก ใบหน้าหวานยังคงก้มลงนิ่ง
“ทำไมทำหน้าเช่นนั้น ไม่ยินดีจะเล่นอีกแล้ว? หรือว่ากระดานที่แล้วเจ้าเพียงแค่อาศัยโชคเล็กน้อยเท่านั้น”หลิวอวี่หนิงเงยหน้าขึ้นไปถลึงตาใส่คนตรงหน้า อาศัยโชคเช่นนั้นหรือ ชาติที่แล้วนางมักจะเล่นเป็นเพื่อนกู่เหว่ยหยวนเป็นประจำ กลยุทธ์ต่าง ๆ ในการเดินหมากล้วนถูกปลูกฝังมาจากบุรุษผู้นั้น
“หนิงหนิงว่าเป็นพี่ใหญ่ที่แพ้ไม่เป็นเสียมากกว่า เอาเถอะข้ารู้ว่าท่านยากจะยอมรับว่าได้พ่ายแพ่ต่อน้องสาวเช่นข้า หากท่านไม่รีบ ข้าก็ไม่เร่ง เราจะเล่นกันทั้งคืนก็ย่อมได้ แต่ขอเตือนเอาไว้ พี่ใหญ่!!..ท่านต้องรับกับความพ่ายแพ้ให้ได้”
หลิวอวี่เหวินถลึงตามองน้องสาวปากดีที่ยิ้มยียวนส่งมาให้ เขาจ้องมองนางพลางสำรวจไปทั่ว ก่อนจะทันได้พูดสิ่งใดออกมา อาเฉาก็จัดเรียงหมากบนกระดานเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลิวอวี่หนิงผายมือขึ้น
“เชิญพี่ใหญ่เจ้าค่ะ” แม่ทัพหลิวไม่คิดจะปฏิเสธ เขาสลัดความฟุ้งซ่านเมื่อสักครู่ทิ้งไป และหันมาตั้งใจการเดินหมากอีกครั้ง
ครั้งนี้สองพี่น้องใช้เวลากับหมากกระดานไปถึงครึ่งชั่วยาม ทว่าก็ยังไม่อาจตัดสินแพ้ชนะได้อีก การเดินหมากมักจะบ่งบอกนิสัยของผู้เดิน เหมือนเช่นหมากตานี้ ความจริงนางจะแพ้ไปหลายครั้งแล้ว ทว่าพี่ใหญ่นางก็มักจะเปิดช่องโหวเล็ก ๆ ให้นางตีตื้นขึ้นมาได้ทุกครั้ง นั่นเพราะพี่ใหญ่นางมักจะมองข้ามจุดเล็ก ๆ เพราะคิดว่าจุดนั้นไม่อาจสร้างปัญหาได้ แต่ผู้ใดจะรู้เล่าว่าสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้จะนำปัญหาใหญ่โตมาให้พี่ใหญ่นางในภายภาคหน้า
“คุณหนูขอรับ คุณหนูอินมาขอเยี่ยมขอรับ” พ่อบ้านสกุลหลิวเดินเข้ามาในสวนที่สองพี่น้องกำลังหน้าเคร่งเครียดเดินหมากกันอยู่ เขาอดจะเหลือบตาขึ้นไปมองหมากบนกระดานไม่ได้ คุณหนูเล็กฝีมือเก่งกาจนัก
“อินจูหลี” หลิวอวี่หนิงกำหมากในมือแน่น ดวงตาฉายความแค้นขึ้นมา น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาอย่างไม่ตั้งใจ เต็มไปด้วยความเกลียดชัง แม่ทัพหลิวขมวดคิ้วขึ้น มองใบหน้าที่บิดเบี้ยวของน้องสาวอย่างไม่เข้าใจ
“เจ้าโกรธที่คุณหนูอินไม่ได้มาเยี่ยมเจ้าหรือ หนิงหนิงอย่าได้โกรธไปเลย ไม่ใช่ว่าคุณหนูอินไม่มาเยี่ยมเจ้า แต่เป็นเพราะนางถูกองค์ชายสี่ไล่กลับไปต่างหากเล่า”
“องค์ชายสี่ไล่นางกลับไปหรือเจ้าคะ” หลิวอวี่หนิงเบิกตาขึ้นมา เพราะเหตุใดกันเล่า กู่เหว่ยหยวนมีเหตุผลใดจึงต้องไล่สหายของนาง
“ใช่..ข้าก็แปลกใจเช่นกัน ว่าจะถามเจ้าก็ลืมไปแล้ว เพราะเหตุใดพระองค์ต้องไล่คุณหนูอินกันเล่า และยังทรงรับสั่งอีกด้วยว่า วันข้างหน้าอย่าให้เจ้ากับคุณหนูอินคบหากันมากนัก หนิงหนิงเจ้าบอกพี่ใหญ่มาตามตรง คุณหนูอินทำเรื่องใดผิดต่อเจ้า”
ผิดต่อข้าหรือ นางทำผิดต่อข้ามากนัก นางวางแผนใส่ร้ายท่าน นางแย่งสามีข้า และสุดท้ายนางยังสังหารข้าอีก พี่ใหญ่ท่านว่านางผิดต่อข้าหรือไม่..หลิวอวี่หนิงกำมือตนเองแน่น ทว่าสิ่งเหล่านั้น เกิดขึ้นเมื่อชาติที่แล้ว และชาตินี้ก็ยังไม่เกิดเรื่องเหล่านี้ขึ้น หากจะบอกว่าอินจูหลีผิดต่อนางก็คงจะพูดได้ไม่เต็มปากนัก และเหนืออื่นใด นางก็ยังไม่ค่อยมั่นใจนักว่าเรื่องเหล่านั้นเป็นเพียงความฝันหนึ่งตื่นหรือไม่และนางจะต้องหาทางพิสูจน์ให้จงได้
“พี่ใหญ่คิดมากไปแล้ว หนิงหนิงไหนเลยจะรู้ว่ากู่..เอ่อ..ว่าองค์ชายสี่ทรงคิดสิ่งใดอยู่ พี่ใหญ่ต้องไปถามพระองค์เองว่าเพราะเหตุใดจึงไม่ต้องการให้ข้าและอาหลีคบหากัน ส่วนเรื่องที่พี่ใหญ่ถามว่านางทำเรื่องใดผิดต่อข้า...ไม่มีเจ้าคะ” ยังไม่มีในตอนนี้
“ข้าขอออกไปพบนางก่อนนะเจ้าคะ วันหลังหากพี่ใหญ่ว่างก็มาเดินหมากกับข้าได้ตลอด พี่ใหญ่ข้าไม่อาจแนะนำท่านพี่ แต่เท่าที่ข้าเห็น พี่ใหญ่มองข้ามหมากตัวเล็ก ๆ เพราะคิดว่าไม่มีผลต่อกระดาน นั่นจึงทำให้ข้าสามารถเอาชนะท่านได้ ท่านลองมองดูหมากบนกระดานเหล่านี้ให้ดี”
หลิวอวี่เหวินเบิกตาขึ้น เขารีบก้มหน้าลงมองกระดานตรงหน้าอย่างพิจารณา และเพียงแวบเดียวเขาก็มองเห็นข้อผิดพลาดของตนเองแล้ว
แม่ทัพหนุ่มอดจะตกตะลึงไม่ได้น้องสาวเขาเป็นพวกคมในฝักตั้งแต่เมื่อไรกัน ดูเหมือนว่าตั้งแต่นางฟื้นขึ้นมา นางก็เริ่มแปลกไปใช่หรือไม่ นางดูเหมือนจะโตขึ้นมา หรือจะเกี่ยวกับความฝันของนางกัน ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมา กำลังจะอ้าปากพูดบางสิ่ง ทว่าตรงหน้าก็ไร้เงาของน้องสาวเสียแล้ว
“อาเฉาเจ้าว่าหนิงหนิงแปลกไปหรือไม่” อาเฉาเงยหน้า เขาหันไปมองกระดานบนโต๊ะอีกครั้ง แน่นอนว่าอาเฉาย่อมเห็นที่สองพี่น้องเดินหมากกันตั้งแต่ต้น
“ดูเหมือนคุณหนูจะสุขุมขึ้น ดูเยือกเย็นขึ้นเหมือนเช่นท่านแม่ทัพขอรับ”
“เหมือนข้าหรือ ข้าว่านางดูสุขุมมากกว่าข้าเสียอีก แปลกเหลือเกิน อาเฉาเจ้าจงไปสืบดูสิว่า ก่อนหน้าที่น้องเล็กจะประสบอุบัติเหตุ นางเกิดเรื่องขึ้นหรือไม่ โดยเฉพาะกับคุณหนูอินผู้นั้น”
“ขอรับ” อาเฉาก้มศีรษะลงรับคำสั่ง หลิวอวี่เหวินยกมือขึ้นโบก
“จำเป็นต้องมากมารยาทเช่นนี้ทุกครั้งเลยหรือ เจ้ามิใช่บ่าวของข้า เจ้าเป็นสหายเพียงหนึ่งเดียวที่เติบโตมากับข้า บิดาเจ้าสละชีวิตช่วยข้าเอาไว้ หากไม่ใช่เจ้าพ่อลูก ข้าไหนเลยจะมีชีวิตอยู่รอดมาถึงทุกวันนี้ หากใครสักคนจะต้องแสดงมารยาท นั่นคงต้องเป็นข้า”
“ท่านแม่ทัพอย่าได้พูดเช่นนั้น การปกป้องท่าน ปกป้องสกุลหลิว เป็นหน้าที่ของบ่าวและบิดาแล้ว ท่านพ่อคงดีใจที่ได้ช่วยชีวิตท่านเอาไว้ สกุลหลิวไม่อาจไม่มีท่าน”
“และสกุลหลิวก็ไม่อาจไม่มีเจ้า อาเฉาเจ้าเป็นพี่น้องของข้า เจ้าหาใช่บ่าวต่ำต้อย ไยต้องแทนตนเองเช่นนั้น ข้าเคยบอกแล้วอย่าได้เรียกตนเองว่าบ่าวอีกหนิงหนิงก็เป็นน้องสาวของเจ้าเช่นกัน อาเฉาหากวันหนึ่งเจ้าไปถูกใจบุตรสาวบ้านใด ข้ายินดีออกหน้าสู่ขอให้เจ้าอย่างสมเกียรติ”
อาเฉาก้าวขาไปตรงหน้า ชายหนุ่มคุกเข่าและโขกศีรษะลงแทบเท้าของหลิวอวี่เหวิน ความไว้ใจของเจ้านายมีค่ากับเขามาก ชีวิตนี้บ่าวเช่นเขาจะไม่มีวันทำผิดต่อสกุลหลิวอย่างเด็ดขาด