บทที่ 2.1 ตัวร้ายไร้ใจ
เจียงจูถิงค่อยๆ ลืมตาตื่น ยามที่คิดทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นก็พลันดีดตัวจากเตียงนอน พร้อมกับยกแขนของตัวเองขึ้นมาดู เมื่อเห็นว่าแขนสองข้างอยู่ครบก็ถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก ก่อนหน้านี้เพราะตื่นตระหนกจึงเผลอกอดพ่อตัวร้ายร่ำไห้ เขาไม่ตัดแขนนางนับว่าเมตตาแล้วจริงๆ
เมตตา ใช่!... เขายังเมตตาทายาที่หน้าให้นางด้วย
เจียงจูถิงนึกถึงเรื่องนี้แล้วใบหน้าก็ร้อนผ่าวไปหมด ก่อนจะส่ายหน้าไปมาขับไล่ความรู้สึกประหลาดของตน แล้วรีบก้าวเท้าลงจากเตียงหมายใจกลับห้องตนเอง
“หากเจ้ากล้าก้าวขาลงจากเตียง ข้าจะหักข้าเจ้า”
ประโยคคุ้นเคย น้ำเสียงคุ้นหูเช่นนี้ ไม่บอกเจียงจูถิงก็รู้ว่าเป็นผู้ใด สองขาพลันยกกลับขึ้นนั่งพับเพียบอยู่บนเตียงในทันที พร้อมกับปรายตาไปยังต้นเสียง เงาร่างสูงกำยำที่สะท้อนอยู่หลังฉากกั้นบ่งบอกว่าเฉินเจ๋อหยุนกำลังนั่งอ่านเอกสารอยู่ที่โต๊ะกลมกลางห้อง
เหตุใดเขาไม่ไปอ่านในห้องหนังสือของเขา
“คุณชาย ฟ้ามืดแล้วบ่าวจะไปจัดโต๊ะอาหารให้ท่าน”
“ข้าไม่หิว”
แต่ข้าหิว เป็นคำที่เจียงจูถิงเอ่ยบ่นในใจ เพียงแต่พ่อตัวร้ายบอกว่าไม่หิว นางที่เป็นเพียงตัวประกอบไร้ชื่อจะกล้าเอ่ยว่าหิวได้อย่างไร ใบหน้าเรียวก้มลงมองหน้าท้องที่แบนราบของตน พลางยกมือลูบไล้ ราวกับกำลังปลอบโยนมัน
อดสักมื้อคงไม่เป็นไร
เพียงแต่ยามนี้นางหิวจริงๆ หิวจนได้กลิ่นอาหารหอมฟุ้ง จนตอนนี้ยังมองเห็นชามโจ๊กลอยมาอยู่ตรงหน้า
“กิน”
เสียงเข้มดุดันดังขึ้นจนไหล่เล็กสะท้านด้วยความตื่นตกใจ นี่ไม่ใช่ภาพหลอนหรอกหรือ เพียงแต่เมื่อมองเห็นว่าผู้ใดเป็นคนยื่นโจ๊กหอมให้นาง เจียงจูถิงก็เบิกตากว้าง เฉินเจ๋อหยุนอย่างนั้นหรือ
ที่แท้ก็เป็นภาพหลอนเพราะความหิวจริงๆ คนอย่างเฉินเจ๋อหยุนจะมาปรนนิบัตินางเช่นนี้ได้อย่างไร
เจียงจูถิงถอนหายใจยาวส่ายหน้าไปมาแล้วดึงผ้าหมายจะล้มตัวลงนอนบนเตียง
“หรือต้องให้ข้าจับกรอกใส่ปาก”
น้ำเสียงขุ่นเคืองที่ดังอีกครั้งทำให้เจียงจูถิงตวัดสายตาขึ้นมองด้วยความตื่นตระหนก เมื่อเห็นว่าตรงหน้าไม่ใช่ภาพหลอนลวงตา แต่เป็นพ่อตัวร้ายกำลังถือชามโจ๊กมาให้ตนจริงๆ ทั่วทั้งร่างก็พลันตื่นตัวหวาดหวั่นขึ้นมาทันที
“คุณชาย บ่าว...”
“จะกินดีไหม!”
ไม่เพียงแค่เอ่ยถามแต่มือข้างหนึ่งของเขายังเอื้อมมาหมายบีบเข้าที่แก้มเล็ก แน่นอนว่าเจียงจูถิงต้องรีบรับชามในมือเขาเอาไว้แล้วยิ้มกว้าง
“กินเจ้าค่ะ กินเดี๋ยวนี้เลย”
“อืม”
เฉินเจ๋อหยุนพเอ่ยรับในลำคอเพียงสั้นๆ ก็ปล่อยมือจากแก้มนุ่มแล้วเดินกลับไปนั่งตรวจเอกสารที่กลางห้องเช่นเดิม
เจียงจูถิงใช้เวลาไม่นานก็กินโจ๊กในชามเล็กจนหมด ก่อนจะนำชามเปล่าไปเก็บในครัวเล็ก
“ข้าไม่หิว”
คำพูดนี้ของพ่อตัวร้ายดังอยู่ในความคิด อีกฝ่ายยังไม่ได้กินมื้อเย็นจะไม่หิวได้อย่างไร เจียงจูถิงกวาดตามองข้าวของในครัวเล็ก ที่แม้จะกล่าวว่าเป็นครัวเล็กแต่ทุกอย่างกับมีครบไม่ต่างจากครัวหลักของจวน
เพียงแต่ก่อนหน้านี้พ่อตัวร้ายเอ่ยปฏิเสธมื้อเย็น หากนางยังฝืนทำไปให้เขา นอกจากไม่อาจทำให้เขารู้สึกดีนางอาจถูกอีกฝ่ายคาดโทษเอาได้
ทว่าเฉินเจ๋อหยุนเป็นผู้ที่ไม่นิยมขนมหวาน ถ้านางทำขนมหวานไปให้เขาทานรองท้องเขาย่อมไม่ยินดีทาน
ในระหว่างที่เจียงจูถิงกำลังนึกถอนใจกลับเรื่องอาหารของพ่อตัวร้าย สายตาก็หันไปเห็นฟักทองสุกวางอยู่ที่มุมห้อง
เขาไม่ชอบขนมหวาน แต่หากเป็นหมั่นโถวฟักทองอีกฝ่ายอาจจะยอมทาน เมื่อคิดถึงหมั่นโถวฟักทองสีเหลืองนวลกลิ่นหอมที่เคยนางเคยทำทานเองในอดีตรอยยิ้มกว้างก็ปรากฏบนใบหน้า
ใช้เวลาราวหนึ่งชั่วยาม หมั่นโถวลูกพอดีคำก็เสร็จพร้อมทาน ตามเนื้อตัวตลอดจนเส้นผมของเจียงจูถิงขาวโพลนโดยที่นางไม่รู้ตัว บนใบหน้าเรียวมีรอยยิ้มกว้างมองหมั่นโถวฝีมือตนเองด้วยความภาคภูมิใจ ก่อนจะหยิบหมั่นโถวลูกเล็กขนาดพอดีคำใช้ปาก
เพราะเฉินเจ๋อหยุนไม่นิยมรสหวานนางจึงไม่ใส่น้ำตาล แต่เนื้อฟักทองมีรสหวานอยู่บ้างดังนั้นหมั่นโถวฟักทองนี้รสชาติจึงไม่ย่ำแย่นัก
....................................................
เฉินเจ๋อหยุนมองไปทางประตูห้องนอน เจียงจูถิงนางออกไปจากห้องราวหนึ่งชั่วยามแล้ว เวลาขนาดนี้นับว่านานเกินไป หรือว่านางจะเกิดเรื่องร้าย
ขณะที่เฉินเจ๋อหยุนกำลังจะลุกขึ้นไปตามสาวใช้ของตน กลิ่นหอมละมุนของหมั่นโถวก็ลอยมาตามสายลม คิ้วเข้มพลันขมวดเข้าหากันแน่น
ในเรือนของเขาใครกล้ามาใช้ครัวทำอาหารกัน
ไม่ทันเอ่ยให้คนไปตรวจสอบ ประตูห้องนอนของเขาก็เปิดออกพร้อมกับสาวใช้ข้างห้องของเขาที่ก้าวเข้ามา ในมือของนางมีจานหมั่นโถวลูกเล็กสีเหลืองนวลราวสิบกว่าลูกวางซ้อนกัน
“คุณชายทานหมั่นโถวรองท้องก่อนนะเจ้าคะ”
เฉินเจ๋อหยุนขบกรามแน่น เขาไม่ชื่นชอบทานขนมหวาน รวมทั้งไม่นิยมทานของว่างยามดึก เพียงแต่ยามที่จะปฏิเสธสาวใช้ตรงหน้า หางตากลับมองเห็นเนื้อตัวที่มอมแมมราวลูกแมวตกถังแป้งของนาง
“เจ้าทำเอง”
น้ำเสียงราบเรียบแปลกใจของพ่อตัวร้าย กับสายตาที่เต็มไปด้วยคำถามทำให้เจียงจูถิงพยักหน้าระรัว
“เจ้าค่ะ แต่ท่านป้าหวังเคยสอนบ่าวเองกับมือรับรองว่าทานแล้วไม่ปวดท้องเจ้าค่ะ”
ท่านป้าหวังเป็นแม่ครัวประจำจวนตระกูลเฉิน หากกล่าวว่าอีกฝ่ายเป็นสอนเองกลับมือพ่อตัวร้ายย่อมต้องไว้ใจแล้วยอมกินแน่นอน มุมปากของเฉินเจ๋อหยุนยกขึ้นเล็กน้อยก่อนเอื้อมมือไปหยิบหมั่นโถวลูกเล็กในจาน
“คุณชาย!”
เสียงตื่นตระหนกของซ่งหลี่คนสนิทข้างกายเขาร้องทักท้วงเมื่อเห็นเขาหยิบหมั่นโถวลูกเล็กขึ้นมา ทว่าเฉินเจ๋อหยุนกลับยกมือขึ้นเป็นสัญญาณห้าม และขยับนิ้วส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายถอยออกไป ก่อนที่เขาจะยื่นหมั่นโถวลูกเล็กในมือไปเบื้องหน้า
“กิน”
เจียงจูถิงพลันเข้าใจปฏิกิริยาของคนสนิทของเขาก่อนหน้านี้ ที่แท้พวกเขากลัวนางจะลอบวางยาพิษคุณชายใหญ่นี่เอง ดังนั้นเพื่อความบริสุทธิ์ใจนางจึงอ้าปากงับขนมในมือของอีกฝ่ายหมดในคำเดียว
เฉินเจ๋อหยุนพลันตื่นตระหนกร่างกายแข็งค้าง แม้แต่มือก็ลืมชักกลับคืน สาวใช้ผู้นี้ถึงกับกล้ากินอาหารในมือของเขาโดยตรง
เพียงแต่สัมผัสนุ่มบริเวณปลายนิ้ว ยามที่ริมฝีปากเล็กอ้าปากงับหมั่นโถวในมือเขาเมื่อครู่นั้น ช่างแปลกประหลาดนัก
เฉินเจ๋อหยุนพลันรู้สึกว่าหัวใจของเขาสั่นระรัวขึ้นมา ดวงตาคมตวัดมองคนตรงหน้าที่เคี้ยวหมั่นโถวในปากโดยไม่เป็นอะไร หรือนางจะวางยาพิษไว้ที่ริมฝีปากนั่น ยามที่เขาสัมผัสโดนจึงเกิดอาการใจสั่นเช่นนี้
เจียงจูถิงเห็นแววตาคาดโทษของอีกฝ่ายก็ตระหนักได้ถึงการกระทำของตนเอง เมื่อครู่นางกินอาหารจากมือคุณชายโดยตรง ไม่ได้ยื่นมือไปรับอย่างที่สาวใช้ควรกระทำ
สองขาพลันทรุดลงคุกเข่า การกระทำนี้จะทำให้เขาสั่งเย็บปากนางหรือไม่
“เป็นบ่าวไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง คุณชายโปรดอภัยด้วย”
หึ! เฉินเจ๋อหยุนแค่นเสียงในลำคอหนึ่งประโยคก็ไม่เอ่ยอะไร ไม่แม้แต่จะเอ่ยให้นางลุกขึ้น เจียงจูถิงจึงทำได้เพียงคุกเข่าก้มหน้าด้วยความหวาดหวั่น ขณะที่อีกฝ่ายกลับหยิบหมั่นโถวในจานใส่ปาก พรางอ่านเอกสารในมือ ไม่ทันรู้ตัวบนจานก็ว่างเปล่าแล้ว
เจียงจูถิงมองมือหนาที่หยิบอากาศแล้วคลี่ยิ้มบางอ่อนโยน เฉินเจ๋อหยุนที่หันไปเห็นพอดีก็ตวัดสายตาขุ่นเคือง
“อยากถูกควักตาใช่หรือไม่”
เจียงจูถิงส่ายหัวไปมา ทว่าบนใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มบางๆ
“สกปรกยิ่ง ไปอาบน้ำอีกครึ่งชั่วยามค่อยมานอนด้วยกัน”
นอนด้วยกัน ให้อย่างไรนางก็ไม่อาจทำใจให้คุ้นชินกับถ้อยคำเหล่านี้ของเขาจริงๆ
....................................................
ผ่านมาหนึ่งเดือนแล้วนับจากที่ เจียงจูถิงเข้ามาเป็นสาวใช้ข้างห้องเฉินเจ๋อหยุน ตอนนี้นางสามารถปรับตัวกับชีวิตการเป็นสาวใช้ของตัวร้ายได้อย่างสนิทใจ เมื่อทบทวนดูแล้วความร้ายกาจของตัวร้ายอย่างเฉินเจ๋อหยุน นั้นก็มิได้รับมือยากนัก
เฉินเจ๋อหยุนแม้ภายนอกดูโหดเหี้ยม ทว่าแท้จริงแล้วกับเป็นบุรุษอ่อนโยนผู้หนึ่ง ในทุกเช้าหลังร่วมโต๊ะอาหารกับนาง เขาก็จะออกจากจวนไปและกลับมาอีกครั้งในยามอิ่ว
ในขณะเดียวกันเจียงจูถิง ก็ไม่ได้อยู่เฉยนางช่วยสาวใช้ในเรือนหมิงทำความสะอาดเรือนของเขา โดยเฉพาะในส่วนเรือนนอนด้านในที่ห้ามผู้อื่นเข้าไปโดยเด็ดขาด ก่อนจะจัดเตรียมทุกอย่างไว้อย่างพร้อมสรรพรอคอยการกลับมาของผู้เป็นเจ้าของเรือน
และทันทีที่เขาก้าวเท้าเข้าเรือน นางก็จะส่งรอยยิ้มต้อนรับถามไถ่เรื่องราวพอเป็นพิธี ก่อนจะช่วยเขาอาบน้ำ ร่วมมื้อเย็น และขึ้นเตียงหลับนอนไปพร้อมกัน
“อาถิงนี่เป็นเบี้ยหวัดของเจ้าเดือนนี้ ยินดีด้วยที่ผ่านมาได้”
ท่านพ่อบ้านนำเบี้ยหวัดมาให้เจียงจูถิงถึงเรือนคุนหมิง อีกทั้งยังเอ่ยแสดงความยินดีที่นางสามารถมีชีวิตจนได้รับเบี้ยหวัดเดือนนี้
“อย่างไรเจ้าก็อดทนให้มากหน่อย ตอนนี้นอกจากเจ้าเกรงว่าข้าคงหาใครมาดูแลคุณชายใหญ่ไม่ได้อีกแล้ว”
เรื่องราวความเหี้ยมโหดของคุณชายใหญ่นั้นเป็นที่เลื่องลือมานานแล้ว หลายวันก่อนยังมีเรื่องที่เขาโมโหคุณชายรองที่มานอนเล่นในเรือนของเขาจนจับหักแขนทั้งสองข้างก็ดังกระฉ่อนไปทั่วเมืองหลวง และเพราะเรื่องราวเหล่านี้ แม้ตอนนี้เฉินเจ๋อหยุนจะมีอายุถึงยี่สิบสี่ปีแล้ว ก็ยังไม่มีตระกูลไหนยอมอบบุตรีแต่งเข้ามาเป็นภรรยาของเขา
เจียงจูถิงนั่งนับเงินเบี้ยหวัดที่ได้มาวันนี้แล้วฉีกยิ้มกว้าง อีกเพียงสิบเอ็ดเดือนเท่านั้น นางก็จะหลุดพ้นจากเรื่องราวทั้งปวงของนิยายเรื่องนี้ จะว่าไปแล้วพ่อตัวร้ายกับแม่นางเอกจะได้พบกันในงานเลี้ยงฉลองวันเฉลิมพระชนมพรรษาครบรอบห้าสิบปีขององค์ฮ่องเต้ ซึ่งก็คือเดือนหน้านี่เอง
หากครั้งนี้เขาไม่ได้พบเจอแม่นางเอกของเรื่อง ชีวิตในบั้นปลายของเขายังต้องพบเจอความผิดหวัง และความเลวร้ายเช่นในนิยายอีกหรือไม่
อาจเพราะหนึ่งเดือนที่ผ่านมาเจียงจูถิงใช้ชีวิตสนิทสนมกับพ่อตัวร้ายไม่น้อย ดังนั้นจึงเกิดความผูกพันห่วงใยขึ้นมา
ห่วงใย เจียงจูถิงสลัดหน้าไปมาเมื่อตระหนักได้ว่าตนเองเริ่มมีความคิดไร้สาระ ใบหน้างามแหงนมองท้องฟ้า ใกล้เวลาที่พ่อตัวร้ายจะกลับจวนแล้ว เจียงจูถิงสูดลมหายใจเข้าก่อนจะลุกขึ้นไปทำหน้าที่ของตน
....................................................