บทที่1.4 แรกพานพบ
เจียงจูถิงเดินออกมาจากห้องรับรอง มองรอบตัวเห็นบ่าวของเฉินเจ๋อหรานยืนเฝ้าหน้าห้องรับรองด้วยท่าทางไม่ใส่ใจนัก ก็ลอบเดินไปยังหน้าเรือนคุนหมิง เอ่ยถามต้าสงที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตู ด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ต้าสง เจ้ารู้หรือไม่คุณชายใหญ่ จะกลับมาถึงจวนยามใด”
“ยามอิ่ว”
“เจ้าส่งคนไปแจ้งคุณชายใหญ่ทีว่าคุณชายรองต้องการเปิดห้องหนังสือ”
“คุณชายใหญ่อยู่ในกองทัพ คนนอกมิอาจเข้าไปได้”
ห้องหนังสือ นั่นเป็นเขตหวงห้าม คุณชายรองทำเช่นนี้มิเท่ากับรนหาที่ตายหรือไร เพียงแต่อีกฝ่ายตายย่อมไม่เกี่ยวกับพวกเขา ที่สำคัญคือหากคุณชายรองเปิดห้องหนังสือได้นางกับบ่าวชาย ตรงหน้าคงเป็นสองคนแรกที่ต้องรับโทสะของคุณชายใหญ่
“เช่นนั้นก็ไปดักรอที่หน้าจวน ข้าจะพยายามถ่วงเวลาคุณชายรองไว้”
เจียงจูถิงเอ่ยบอกเสียงร้อนรน ต้าสงพยักหน้ารับคำก่อนเร่งจากไป ดวงตาเรียวหันกลับไปมองที่ประตูห้องรับรอง กำยานที่จุดนั้นมีฤทธิ์ประมาณสองชั่วยาม หวังว่าเฉินเจ๋อหยุนจะกลับเรือนทันก่อนยาหมดฤทธิ์
หลังจากที่คำนวณเวลาแล้วเจียงจูถิง ก็กลับเข้าไปในห้องรับรองอีกครั้ง เป็นไปตามที่นางคาดการณ์เฉินเจ๋อหรานยามนี้นั่งหลับคาเก้าอี้เล็กในห้องรับรอง มุมปากเล็กยกขึ้นยิ้มอย่างพอใจก่อนจะเดินไปดับกำยาน พร้อมกับหยิบผ้าห่มมาห่มบนกายของเฉินเจ๋อหราน
นางแสดงการใส่ใจต่อเขาถึงเพียงนี้ หวังว่าหากคนตรงหน้าตื่นขึ้นมา จะลดโทสะที่มีต่อนางลงสักครึ่งหนึ่ง
.............................................................
ปกติแล้วเฉินเจ๋อหยุนจะกลับถึงจวนตระกูลเฉินในยามอิ่ว และทุกครั้งที่กลับถึงจวนเขาต้องไปแจ้งแก่มารดา แม้อีกฝ่ายจะไม่สนใจอยากรู้ก็ตาม หากแต่ครั้งนี้ทันทีที่รถม้าหยุดที่หน้าจวนหางตาคมก็เห็นบ่าวหน้าเรือนของเขามาดักรอด้วยท่าทางกังวล
“มีเรื่องอันใด”
“คุณชายรองมารอพบคุณชายใหญ่อยู่ที่เรือนคุนหมิงขอรับ”
สิ้นคำรายงานคิ้วเข้มของเขาก็พลันขมวดเข้าหากันแน่น เฉินเจ๋อหรานแม้เป็นน้องชายร่วมบิดา แต่ความสัมพันธ์เช่นพี่น้องนั้นห่างเหินนัก เป็นไปไม่ได้ที่อีกฝ่ายจะมาหาตนถึงเรือนด้วยความคิดถึง ยิ่งไม่ต้องคิดถึงอีกฝ่ายมาหาเขาในยามที่เขาไม่อยู่เรือนเช่นนี้ ไม่แม้แต่จะเสียเวลาคิดเขาก็เร่งสาวเท้ากลับเรือนในทันที
“นานเพียงใดแล้ว”
“สองชั่วยามขอรับ”
สองชั่วยาม รั้งรอที่เรือนเขานานเพียงนี้อีกฝ่ายต้องการอะไรกันแน่
“เล่ารายละเอียดมา”
น้ำเสียงเยือกเย็นเอ่ยสั่งความ โดยที่สองเท้าไม่แม้แต่จะหยุดเดิน เพียงแต่ยิ่งฟังเรื่องราวคิ้วเข้มของเขาก็ยิ่งขมวดเข้าหากันแน่น สองเท้าพลันเร่งก้าวเดินจนคล้ายจะทะยานบิน
โง่งมนัก นางเป็นเพียงสาวใช้จะรับมือน้องชายเศษสวะของเขาได้อย่างไร
.............................................................
เจียงจูถิงใบหน้าซีดเซียวในทันทีเมื่อเห็นว่าเฉินเจ๋อหรานตื่นก่อนที่เจ้าของเรือนจะกลับมาถึง
“คุณชายรองท่านตื่นแล้ว”
แม้ในใจจะวิตกกังวลแต่บนใบหน้าของนางยังคงมีรอยยิ้มอ่อนโยน เฉินเจ๋อหรานสะบัดศีรษะไปมาเรียกสติ ก่อนที่จะเรียบเรียงเรื่องราวก่อนหน้า
เขามาที่เรือนของผู้เป็นพี่ชายเพื่อมาเอาเอกสารสำคัญ ใช่แล้วเอกสารสำคัญในห้องหนังสือ
เมื่อคิดได้ถึงจุดประสงค์ของตนเฉินเจ๋อหรานก็เร่งลุกขึ้นในทันที
“เปิดห้องหนังสือให้ข้าได้หรือยัง”
“เป็นบ่าวที่โง่เขลา หาจนทั่วเรือนก็ไม่พบกุญแจเจ้าค่ะ”
“นังตัวดี! คิดเล่นลิ้นถ่วงเวลาข้าอย่างนั้นหรือ อาซิ่วไปพังประตู!”
เฉินเจ๋อหรานสาวเท้าเข้ามาประชิดสาวใช้ของพี่ชายก่อนจะใช้มือหนาบีบเข้าที่แก้มนุ่ม พร้อมกับดันแผ่นหลังเล็กแนบชิดกำแพงเรือน
เจียงจูถิงปวดร้าวไปทั้งแผ่นหลัง หากแต่ก็ยังน้อยกว่าใบหน้าที่ถูกมือหยาบของคุณชายรองเฉินออกแรงบีบจนคิ้วเรียวขมวนมุ่น
“คุณชาย บ่าวเจ็บ”
น้ำเสียงสั่นเครือ และท่าทางบอบบางคล้ายกวางน้อยในอุ้งเท้าพยัคฆ์ของหญิงสาวตรงหน้าสร้างความพึงพอใจให้เฉินเจ๋อหรานไม่น้อย ในแววตาของเขาพลันวาวโรจน์ ร่างกายแห่งบุรุษตื่นตัวขึ้นมาทันที
“ระหว่างนี้ข้าจะเล่นสนุกกับเจ้าก่อนดีหรือไม่”
กล่าวจบมือข้างหนึ่งของเขาก็ลดลงดึงรั้งปลดเสื้อผ้าของหญิงสาวตรงหน้า ในใจของเจียงจูถิงทั้งตื่นตระหนกทั้งหวาดกลัว สองมือพยายามต่อต้านจับยึดเสื้อผ้าของตน ทั้งใบหน้าพลันอาบไปด้วยน้ำตา
“คุณชายอย่าเจ้าค่ะ”
“หึ! ข้าได้ยินว่าเจ้าเป็นสาวใช้ข้างห้องของพี่ใหญ่ เช่นนั้นข้าจะสอนวิธีปรนนิบัติบุรุษให้ดีหรือไม่”
เจียงจูถิงส่ายหน้าไปมาทั้งน้ำตา หากแต่ยิ่งเห็นนางเป็นเช่นนี้ร่างกายของเฉินเจ๋อหรานก็ยิ่งรู้สึกเร่าร้อน
“รับรองว่าเจ้าจะชอบจนร้องขอให้ข้าสอนอีกหลายรอบเลยทีเดียว”
เสื้อตัวนอกของนางขาดลุ่ยหลุดออกจากกาย มือหยาบของเฉินเจ๋อหรานก็ดึงรั้งปลดปมเสื้อตัวในของนาง หากแต่ก่อนที่เสื้อผ้าชั้นสุดท้ายจะหลุดจากการเจียงจูถิง ร่างของบุรุษผู้หนึ่งก็กระเด็นเข้ามาในห้องรับรองเสียงดัง
“อาซิ่ว! เข้ามาทำไม”
เป็นคนของเฉินเจ๋อหรานที่ล้มลงอยู่ที่หน้าประตู เฉินเจ๋อหรานเอ่ยตวาดอีกฝ่ายที่เข้ามาขัดจังหวะความสำราญของตน ในจังหวะที่อีกฝ่ายกำลังพยายามจะคลานเข้ามาหาผู้เป็นนาย บริเวณแผ่นหลังก็ถูกกดลง
“คุณชายรองช่วยข้า...”
เอ่ยไม่ทันจบประโยคลำคอของเขาก็คล้ายถูกของหนักทาบทับ พริบตาสติก็ขาดหายไปพร้อมกับลมหายใจของตนเอง
“จะ... เจ๋อหยุน”
“ย่อมเป็นข้า”
น้ำเสียงเยือกเย็นของเฉินเจ๋อหยุน ทำให้เฉินเจ๋อหรานที่ก่อนหน้ายังวางท่าอวดดียามนี้ใบหน้าพลันซีดเผือดลงจนไร้สีเลือด หลงลืมแม้แต่วิธีการจะหายใจ มองภาพผู้เป็นพี่ชายยกเท้าออกจากลำคอคนสนิทของตนด้วยความหวาดกลัว
ฆ่าคน เขาถึงกับลงมือฆ่าคนโดยไม่แม้แต่จะกะพริบตา
เฉินเจ๋อหยุนยกยิ้มเยือกเย็นให้น้องชายคนรอง แล้วค่อยๆ สาวเท้าเดินมาหาเขา ทุกท่วงท่าก้าวเดินหนักแน่น แม้อยู่ในชุดสีขาวบริสุทธิ์ราวเทพเซียน แต่แววตาดุดันเหี้ยมโหด ราวพญามัจจุราชที่กำลังก้าวเข้ามาเอาวิญญาณของเขา
“เจ๋อหยุน เจ้าจะทำอะไร! ถอยไปนะ!”
“ควรเป็นข้าที่ต้องถามว่า เจ้ามาทำอะไรในเรือนข้า”
เฉินเจ๋อหยุนเอ่ยเสียงราบเรียกแต่กลับเน้นย้ำทุกถ้อยคำ เฉินเจ๋อหรานไม่ทันรู้ตัวมือของผู้เป็นพี่ชายก็วางบนไหล่กว้างของเขา พร้อมเสียงคล้ายของแข็งถูกหัก ก่อนที่ความปวดร้าวจะแผ่ซ่านจากไหล่ทั้งสองข้างลงมาจนถึงปลายนิ้ว
“อร๊าก!... เจ๋อหยุนเจ้า! เจ้ากล้าหักแขนข้า”
เฉินเจ๋อหรานร้องครวญลั่นเรือน สองแขนลู่ตกลงที่ข้างลำตัว ขยับถอยหนีผู้เป็นพี่ชายจนไปชนกับโต๊ะเล็กที่ก่อนหน้าเขานั่งจิบชา
เฉินเจ๋อหยุนมองน้องชายต่างมารดาที่ขยับตัวถอยหนีอยู่บนพื้นแล้วยกมุมปากเย้ยหยัน โน้มตัวลงเอ่ยเสียงเยือกเย็น
“เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้ายังกล้าหักคอเจ้าด้วย”
ดวงตาของเฉินเจ๋อหรานพลันเบิกกว้าง ตื่นกลัวจนเส้นผมแทบเป็นสีขาวทั้งร่างพลันหมดแรงล้มลงไปกองกับพื้นราวคนเสียสติ
“โยนออกไปนอกเรือนให้หมด”
น้ำเสียงเยือกเย็นไร้น้ำใจของเขาดังขึ้นประโยคเดียวร่างของเฉินเจ๋อหรานและคนสนิทที่ไร้ลมหายใจก็หายไปจากห้องรับรองเรือนคุนหมิง ไม่นานก็คล้ายมีของหนักตกกระทบพื้นที่หน้าเรือน
เฉินเจ๋อหยุนขบกรามแน่น พยายามข่มกลั้นโทสะที่พลุ่งพล่านในใจ ก่อนจะลุกขึ้นเดินมาหาร่างบอบบางที่นั่งตัวสั่นเทา เสื้อผ้าตัวนอกของนางหลุดลุ่ย บนใบหน้าอาบไปด้วยหยาดน้ำตา ในแววตาฉายชัดถึงความตื่นกลัว เฉินเจ๋อหยุนเพียงย่อตัวลงวางมือบนบ่าเล็ก ไม่ทันเอ่ยคำใดอีกฝ่ายก็โผเขากอดเอวเขา แล้วร่ำไห้จนตัวสั่นโยง
“คุณชายท่านกลับมาแล้ว”
กลับมาแล้ว เป็นครั้งแรกที่เขาสัมผัสได้ถึงการที่มีใครสักคนรอคอยการกลับเรือนของเขาอย่างจริงใจ
“อืม! กลับมาแล้ว”
เจียงจูถิงกอดเอวหนาร่ำไห้เพียงชั่วครู่ก็ตระหนักได้ว่าการกระทำของตนไม่เหมาะสม จึงรีบดึงมือกลับ ก้มหน้าถอยออกห่างอีกฝ่ายในทันที
“ขออภัยเจ้าค่ะ”
ในตอนนี้ในใจของนางหวาดหวั่นเสียยิ่งกว่ายามที่เผชิญหน้ากับเฉินเจ๋อหรานเมื่อครู่เสียอีก
เมื่อครู่นางกอดคุณชายใหญ่ กอดเขาด้วยสองมือของนาง
เจียงจูถิงอยากบีบคอตัวเองให้ตายนัก คนตรงหน้าคือพ่อตัวร้ายของเรื่องที่ฆ่าคนตาไม่กะพริบ นางลืมไปได้อย่างไร แล้วเมื่อครู่ยังแสดงกิริยาเช่นนั้น สวรรค์... ตอนนี้เขาต้องกำลังคิดตัดมือนางแน่
ยามคิดว่าจะโดนตัดมือทั้งสองข้าง เจียงจูถิงก็ขยับดึงมือของตนมากุมไว้บนตัก เฉินเจ๋อหยุนมองท่าทางของนางแล้วเผลอยกมุมปากขึ้นยิ้มอ่อนโยนอย่างไม่รู้ตัว
“แต่งตัวให้เรียบร้อย แล้วไปหาข้าที่ห้อง”
เจียงจูถิงไหนเลยจะกล้าชักช้า เฉินเจ๋อหยุนไม่ทันก้าวเท้าออกจากห้องนางก็ลุกเดินตามเข้ามาแล้ว มุมปากของพ่อตัวร้ายยกขึ้นอย่างพอใจอีกครั้ง
ความรู้สึกราวเขาเป็นท้องฟ้าของอีกฝ่ายช่างดีนัก
ทันทีที่นางปิดประตูห้องนอนหลัก เฉินเจ๋อหยุนก็หยิบตลับไม้เนื้อดีอันเล็กออกมาจากช่องในอกแล้วส่งให้นาง เจียงจูถิงเรียนรู้แล้วว่าวิธีการเอาตัวรอดจากพ่อตัวร้ายผู้นี้คือ...
ทำตามที่เขาบอกโดยไม่มีข้อโต้แย้ง
ดังนั้นเมื่อเขายื่นของให้ นางก็ยื่นมือไปรับไว้ในทันทีเช่นกัน
“ยาแก้ฟกช้ำ”
เจียงจูถิงพลันยิ้มกว้าง เขาถึงกับเตรียมยาไว้มอบให้นาง เพียงแต่เขารู้ได้อย่างไรว่าวันนี้คุณชายรองจะเข้าทำร้ายนาง
ทว่ายามที่คิดถึงรอยฟกช้ำก็พลันนึกได้ว่าที่คางนางมีรอยฟกช้ำอีกรอยที่ถูกคนตรงหน้าทำไว้ คิดถึงตรงนี้แล้วดวงตาของนางก็พลันหม่นหมอง ดูแล้วตอนนี้ทั้งหน้าของนางคงมีแต่รอยฟกช้ำจนดูน่าขบขันแล้วกระมัง
“ขอบคุณ คุณชายใหญ่เจ้าค่ะ”
เฉินเจ๋อหยุนมองคนตรงหน้าเปิดตลับยา ใช้นิ้วเล็กป้ายเนื้อยาแล้วทาไปมาอย่างนึกรำคาญใจ สุดท้ายก็ทนไม่ไหวลุกขึ้นยืนแย่งตลับยาในมือนางมาถือไว้
“แหงนหน้าขึ้น”
เจียงจูถิงแม้ยังตื่นตระหนกเพียงแต่ให้นางขวัญกล้าเพียงใดก็ไม่กล้าขัดคำสั่งของคนตรงหน้าสุดท้ายจึงแหงนหน้าขึ้น เพียงแต่สิ่งที่นางไม่คาดคิดคือพ่อตัวร้ายถึงกับลงมือทายาให้นาง
ทายา เขาไม่ใช่ถนัดแต่บีบคอคนหรือ
“อยู่นิ่งๆ”
เสียงของคนตัวโตเอ่ยดุเมื่อคนตรงหน้าขยับตัวไปมาคล้ายจะล้มลง สุดท้ายยามที่นิ้วยาวของเขาแตะบนผิวแก้มของนาง ขาของนางก็อ่อนแรงทรุดลงจริงๆ
เฉินเจ๋อหยุนเร่งใช้มืออีกข้างโอบเอวบางประคองนางไว้แนบอก พร้อมกับตวัดสายตาตำหนิคนตรงหน้า
“คุณชาย บ่าว...”
“ยืนดีๆ”
เสียงเข้มดุดันทำให้เจียงจูถิงกลืนถ้อยคำทั้งหมดลงท้องไปในทัน พยายามควบคุมลมหายใจและทรงตัวให้มั่น เพียงแต่แม้นางยืนได้มั่นคงแล้วแต่แขนแกร่งก็ยังไม่คลายจากเอวบาง
เฉินเจ๋อหยุนมือหนึ่งโอบเอวบางแนบชิดอกแกร่ง อีกมือค่อยๆ ป้ายทายาลงบนใบหน้านุ่มอย่างแผ่วเบา ยามที่ป้ายยาจนทั่วผิวนุ่มแล้วก็ค่อยๆ โน้มใบหน้าคมลงหานาง เจียงจูถิงพลันหลับตาแน่น ในใจเต้นระรัว พลันสายลมเย็นก็พัดผ่านบนใบหน้าอย่างอ่อนโยน เมื่อลืมตาขึ้นก็พบว่า เขาเป่ายาบนใบหน้าให้นาง คิดได้เพียงเท่านั้นสติของเจียงจูถิงก็ดับวูบลง
.............................................................