บทที่1.2 แรกพานพบ
“ต่อไปนอกจากดูแลข้า งานอื่นห้ามแตะต้อง”
งานอื่นห้ามแตะต้อง หมายความว่าอย่างไร หยาดน้ำตาที่คลอเบ้าเมื่อครู่พลันจางหาย รู้ตัวอีกทีก็ยามที่ถูกมือใหญ่สะบัดทิ้งมือเล็กของนางไว้กลางอากาศ
มือนางไม่ถูกตัดแล้วใช่หรือไม่
ใบหน้าที่ขมวดมุ่นของ เจียงจูถิงเต็มไปด้วยข้อสงสัย หากแต่ให้นางสงสัยเพียงใดก็ไม่กล้าเอ่ยปากถามอีกฝ่าย
“ข้าอาบน้ำเสร็จแล้ว”
คนในอ่างอาบน้ำ เอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่ายเต็มที ก่อนจะขยับตัวลุกขึ้น เจียงจูถิงพลันได้สติ เร่งลุกไปหยิบเสื้อคลุมกางออกเตรียมช่วยเขาสวมใส่ เพียงแต่ยามคิดถึงเรื่องอดีตสาวใช่ของเขา สองเท้าก็พลันชะงักสองมือพลันแข็งค้าง ก่อนตัดสินใจยื่นเสื้อคลุมให้เขาแทนที่จะช่วยเขาสวมใส่
เฉินเจ๋อหยุนพลันขมวดคิ้วเข้มเข้าหากันแน่นอย่างไม่พอใจ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองอีกครั้ง
“ใส่ให้ข้า”
เขากล่าวพร้อมกลับปลดกางเกงตัวในที่เปียกชื้นออกจากตัว เจียงจูถิงแทบจะทรงตัวไม่อยู่เมื่อเห็นกางเกงสีดำกองอยู่ที่ข้อเท้าของเขา ลมหายใจพลันติดขัด ก่อนจะค่อยๆ ขยับตัวไปใกล้ๆ เขา โดยไม่แม้แต่จะเงยหน้ามองเลยเข่าขึ้นไป
ให้ตายเถอะ คุณชายใหญ่ท่านลืมไปแล้วหรือว่าข้าเป็นสตรี
เจียงจูถิงเดินอ้อมไปด้านหลังร่างสูงกำยำ ก่อนจะค่อยๆ สวมใส่เสื้อคลุมให้เขาอย่างระมัดระวัง ไม่ให้แตะต้องเนื้อตัวเขาแม้แต่ปลายเล็บ
“มัดปมผ้าให้ดี”
เสียงเข้มดุดันเอ่ยตำหนิอีกครั้ง เมื่อนางเพียงสอดแขนเสื้อให้เขาแล้วก็ขยับตัวถอยห่าง โดยไม่จัดการผูกมัดให้เรียบร้อย
เจียงจูถิงขมวดคิ้วเล็ก มิใช่ว่าท่านป้าชุนเคยกล่าวเตือนว่า พ่อตัวร้ายเป็นคนหวงเนื้อหวงตัว และเตือนนางให้ระวังการสัมผัสตัวเขาหรือไร
แม้ในใจของเจียงจูถิงเกิดความสงสัย แต่กลับไม่กล้าเอ่ยถามทำเพียงขยับตัวไปเบื้องหน้า ก้มมองพื้นแล้วจับชายผ้าผูกปมผ้าคาดเอวให้เขาอย่างเบามือ ทุกการกระทำล้วนไม่แตะต้องเนื้อตัวของเขาเลยแม้แต่นิดเดียว
เฉินเจ๋อหยุนมองสาวใช้ข้างห้องคนใหม่ที่ถูกส่งมาแล้วยกยิ้มมุมปาก ท่าทางที่คล้ายพยายามระมัดระวังในทุกสิ่งของนาง ทำให้เขารู้สึกสนใจและพอใจไม่น้อย ดูแล้วสาวใช้คนใหม่ผู้นี้คงจะอยู่ร่วมกันได้นานหน่อย
“คืนนี้มานอนกับข้า”
นอนกับข้า!
ยามที่คุณชายใหญ่เฉินเอ่ยประโยคนี้ เจียงจูถิงไหนเลยจะยังรักษากิริยาที่สงบเสงี่ยมของตนได้ ดวงตาเรียวพลันเบิกกว้างจดจ้องอีกฝ่ายด้วยแววตาตื่นตระหนก ขยับเท้าถอยหนี เอ่ยปฏิเสธเสียงห้วนพันละวัน
“ไม่เจ้าค่ะ!”
เฉินเจ๋อหยุนได้ยินคำปฏิเสธ ก็ตวัดตาคมดุหรี่มองนางด้วยความไม่พอใจ สาวใช้ผู้นี้นางกล้าโต้แย้งความต้องการของเขาอย่างนั้นหรือ แววตาดำมืดพลันจดจ้องไปยังคนที่กล้าปฏิเสธเขาด้วยความขุ่นเคือง
“เจ้ากล้า!”
น้ำเสียงเอ่ยถามเยือกเย็นและแววตาวาวโรจน์ขุ่นเคือง ทำให้เจียงจูถิงตัวสั่นเทาขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ มุมปากของเขายกขึ้นสาวเท้าเข้ามาหาร่างที่สั่นเทา ก่อนจะใช้มือหนาจับที่ปลายคางเล็กให้เงยหน้าขึ้นสบแววตาของเขา
“ข้าให้เจ้าตอบอีกครั้ง”
น้ำเสียงเอ่ยถามเยือกเย็น พร้อมกับแรงบีบที่ปลายคางทำให้เจียงจูถิงหวาดกลัวจนแทบร่ำไห้
“คะ... คุณชาย”
“คิดให้ดีก่อนตอบ”
สำหรับเฉินเจ๋อหยุนสิ่งใดที่เขาต้องการล้วนไม่มีใครกล้าปฏิเสธ หรือต่อให้อีกฝ่ายปฏิเสธคนเช่นเขาก็จะหาทางเอามันมาเป็นของเขาให้ได้
“คะ... คือ... บ่าว”
ยามที่ได้สบกับแววตาดำมืดของอีกฝ่าย เจียงจูถิงก็พลันใบหน้าซีดเซียว เมื่อครั้งที่นางอ่านนิยายเรื่อง “ห้วงรัตติกาล” นางเผลอเห็นใจตัวร้ายผู้นี้ได้อย่างไรกัน
ร่างกายของนางพลันแข็งค้างยามที่คนตรงหน้าโน้มใบลงมาใกล้ แล้วเอ่ยกระซิบเสียงเบา
“ว่าอย่างไร เจ้ากล้าหรือ”
ตัวร้ายผู้นี้ น่าหวาดกลัวเกินไปแล้ว ท่าทางคุกคามเช่นนี้ของเขาต่อให้ตอนนี้นางกำลังฝันก็ยังไม่กล้าจะเอ่ยปฏิเสธอีกฝ่าย
“ขะ... ข้า... เอ่อ... บ่าวเป็นคนนอนไม่เรียบร้อย เกรงว่าจะทำให้คุณชายนอนไม่สบายเจ้าค่ะ”
“หากเจ้านอนไม่เรียบร้อย ข้าก็แค่หักแขน หักขาเจ้า มิใช่เรื่องยากอะไร”
หักแขน หักขา นี่ยังนับว่าไม่ใช่เรื่องยากอยู่หรือ เขาวิปริตเกินไปแล้ว
“คุณชาย ข้า...”
“ไปจัดการธุระของเจ้าให้เรียบร้อย อีกครึ่งชั่วยามข้าต้องเห็นเจ้าบนเตียง ไม่เช่นนั้น...”
แรงบีบที่เพิ่มมากขึ้น จนนางปวดร้าวไปทั้งคางทำให้เจียงจูถิงไม่อยากคาดเดาเรื่องราวที่จะเกิดขึ้น หากนางขัดใจพ่อตัวร้ายตรงหน้า ดังนั้นจึงเร่งเอ่ยตอบในทันที
“บ่าวทราบแล้วเจ้าค่ะ”
เมื่อได้คำตอบที่พอใจมุมปากของเฉินเจ๋อหยุนก็ยกขึ้นเล็กน้อย พร้อมกับปล่อยมือจากคางของสาวใช้ตรงหน้า ทว่าไม่รู้เพราะเมื่อครู่เขาออกแรงมากไป หรือเพราะหญิงสาวตรงหน้าบอบบางเกินไป ยามนี้บนคางนางจึงเกิดเป็นรอยช้ำสีแดงก่ำ ตัดกับผิวเนียนขาวดุจแสงจันทร์ของนาง
“ดี!”
พ่อตัวร้ายเอ่ยเพียงประโยคเดียวก็หมุนกายเดินออกไปจากห้องอาบน้ำ เมื่อแผ่นหลังกว้างหายไปจากลานสายตา เจียงจูถิงก็แทบจะร่ำไห้ ในชาติภพก่อนแม้นางจะมีอายุเกือบสามสิบแต่เรื่องสัมพันธ์ชายหญิงลึกซึ้งเช่นนี้กลับยังไร้ประสบการณ์ เพียงแต่ให้เวลานี้นางรู้สึกไม่ยินยอมอย่างไร สุดท้ายก็ทำได้เพียงสวมเสื้อผ้าเพิ่มเข้าไปอีกหลายชั้น แล้วเดินกลับเข้าไปในห้องนอนของผู้เป็นตัวร้าย
ยามที่เปิดประตูเข้าไปในห้องนอนหลักของเฉินเจ๋อหยุน กลิ่นกำยานบางเบาชวนให้เคลิ้มหลับ ก็พัดโชยออกมา
คุณชายเป็นโรคนอนไม่หลับ ในทุกคืนจึงต้องจุดยากำยานที่มีส่วนผสมของยานอนหลับเอาไว้
เป็นคำที่ท่านป้าชุน ผู้เป็นแม่นมของพ่อตัวร้ายบอกกล่าวเอาไว้ก่อนหน้า เจียงจูถิงจึงหยับผ้าเช็ดหน้าขึ้นปิดจมูกเอาไว้ ก่อนที่สายตาจะเลื่อนไปพบผู้เป็นเจ้าของห้องกำลังนั่งอ่านเอกสารอยู่ที่โต๊ะกลมกลางห้อง
จะว่าไปแล้วตัวร้ายผู้นี้นับเป็นบุรุษที่รูปงามจนยากจะหาสิ่งใดมาเปรียบเทียบ ไม่ว่าจะเป็นคิ้วที่เข้มสมบุรุษ ดวงตาคมดุจพญาเหยี่ยว จมูกโด่งเป็นสันเด่นชัด ริมฝีปากอวบอิ่มได้รูป หรือแม้แต่ผิวกายสีน้ำผึ้งคมคาย เรียกได้ว่าทุกอย่างล้วนชวนให้ลุ่มหลงเพียงแรกพานพบ ที่แม้แต่ในยามรัตติกาลที่มีเพียงแสงเทียนรำไรเช่นนี้ ก็ยังมิอาจกลบความสมบูรณ์แบบบนใบหน้าของเขา
“ถอดผ้าออก แล้วไปขึ้นเตียงรอข้า”
ทันทีที่เขาเอ่ยปาก ความชื่นชมที่เจียงจูถิงมีก่อนหน้าก็พลันมลายหายไปในทันที แทนที่ด้วยความตื่นตระหนกหวาดกลัว เท้าเล็กก้าวถอยหลังขณะที่มือบางกำสาบเสื้อของตนเองแน่น
“จะถอดเองหรือให้ข้าฉีกมันออก”
น้ำเสียงราบเรียบกับท่าทางที่ไม่แยแส ไม่แม้แต่จะปรายตามองมาที่นางทำให้เจียงจูถิงขบเม้มริมฝีปากแน่น ในดวงตาพลันร้อนผ่าวขึ้นมา
รังแกกันมากเกินไปหรือไม่
ไม่รู้เพราะนางชักช้า หรือเพราะนิสัยเดิมของพ่อตัวร้ายมิใช่คนใจเย็น เพียงแต่ยามนี้ชุดหลายชั้นที่นางอุตส่าห์ใส่ทับซ้อนกันมาถูกเขาดึงทึ้งจนฉีกขาดกลายเป็นเศษผ้ากองหนึ่ง
จวบจนบนกายของนางเหลือเพียงชุดตัวในบางเบาเท่านั้นมือหนาจึงหยุดมือ แล้วหันกลับไปที่เตียงนอน
“ไปขึ้นเตียง”
เมื่อสิ้นคำสั่งนี้ เจียงจูถิงก็ไม่อาจข่มกลั้นความหวาดกลัวในใจได้อีก หยาดน้ำตาพลันไหลลงอาบสองแก้มเนียน ไหล่บางสั่นสะท้านหวาดหวั่นจากก้นลึกของหัวใจ
“คุณชาย ได้โปรดเมตตาบ่าวด้วย”
เจียงจูถิงส่ายหน้าเอ่ยบอกเขาเสียงสั่น ท่าทางบอบบางมองดูแล้วชวนให้นึกเวทนายิ่งนัก ให้ตายเถอะหากนี่เป็นนิยาย นางคงเป็นตัวละครที่น่าสมเพทที่สุดของนิยายย้อนยุคแล้ว
“จะขึ้นไปดีๆ หรือให้ข้าจับโยนขึ้นไป”
เจียงจูถิงยังไม่ทันได้เอ่ยตอบ แขนเล็กก็ถูกเขาฉุดกระชาก ก่อนจะเหวี่ยงนางลงบนเตียงนุ่ม ทันทีที่ร่างกายสัมผัสเตียงนอนนางก็ขยับตัวหนีจนชิดขอบเตียงด้านใน สองมือกำผ้าห่มกระชับแนบตัวแน่น แม้รู้ว่าสุดท้ายแล้วมันคงไม่อาจปกป้องอะไรนางได้ แต่นางก็ยังคงยึดเอามาเป็นเกาะกำบัง
เฉินเจ๋อหยุนมองท่าทางตื่นกลัวของสาวใช้ตรงหน้าแล้วถอนหายใจอย่างหงุดหงิด ก่อนจะขยับตัวถอดเสื้อตัวนอกโยนทิ้งแล้วก้าวขึ้นเตียงนอน
“คุณชาย ข้า... บ่าว...”
เจียงจูถิงพลันตัวสั่นสะท้าน เอ่ยวาจาสับสนด้วยความหวาดกลัวเป็นทบทวี หยาดน้ำตาไหลพรากอาบสองแก้ม ยิ่งคิดถึงเรื่องที่ตนเองต้องพบเจอในอนาคตอันใกล้ หยาดน้ำตาก็ยิ่งไหลรินราวสายน้ำหลาก
“หากเจ้ายังไม่หยุดร้องไห้ข้าจะตัดลิ้น เย็บปากเจ้าเสีย”
เสียงเข้มตวาดลั่นพร้อมกับทิ้งตัวลงนอนบนที่นอนนุ่ม หยาดน้ำตาของเจียงจูถิงพลันหยุดไหลราวสายน้ำที่ถูกปิดกั้น นางมองร่างสูงกำยำที่เวลานี้ ปิดเปลือกตาลงไปแล้ว ขมวดคิ้วเล็กขมวดเข้าหากันเล็กน้อยก่อนจะคลายออก
ที่แท้เขาไม่ได้หมายใจจะทำเรื่องอย่างว่า เป็นนางที่คิดมากไปเอง
ใบหน้าของเจียงจูถิงพลันร้อนผ่าวด้วยความอับอาย ในขณะเดียวกันก็รู้สึกโล่งอกจนเผลอยิ้มกว้าง ขยับตัวหมายลงจากเตียงนอน
“หากเจ้ากล้าก้าวขาลงจากเตียง ข้าจะหักข้าเจ้า”
คนที่กำลังจะวางเท้าลงบนพื้นเรือนพลันดึงขากลับมาบนเตียงในทันที ก่อนจะหันไปสบแววตาคมดุที่ลืมขึ้นจดจ้องนางอย่างขุ่นเคือง
“เอ่อ... บ่าวแค่จะดับไฟเจ้าค่ะ”
เจียงจูถิงเอ่ยบอกเสียงแห้ง เมื่อครู่นางทำเรื่องขายหน้าไปแล้ว จะไม่ยอมทำซ้ำเป็นครั้งที่สองอีก
“ห้ามดับ!”
เสียงเข้มตวาดก้องจนเจียงจูถิงตกใจไหล่สะท้าน เพียงแต่หากไม่ดับไฟจะนอนได้อย่างไร ทว่าแม้ในใจโต้แย้ง แต่ในความจริงเจียงจูถิงกลับทำเพียงขยับตัวกลับมาด้านในเตียงแล้วเอนตัวลงนอนข้างๆ ผู้เป็นตัวร้ายของเรื่อง
ไม่ดับก็ไม่ดับ เหตุใดต้องตะวาดเสียงลั่นห้อง ราวเป็นเรื่องใหญ่โต
...................................