“แกนี่น่ารักจัง ชื่ออะไรนะเรา ฉันชื่อรินนะ เรามาเป็นเพื่อนกันได้ไหม” ปภาวรินทร์รู้สึกคล้ายตัวเองกำลังจะบ้าที่จู่ๆ ก็ทรุดตัวนั่งลงคุยกับเจ้าแมวตัวน้อยเป็นเรื่องเป็นราว แต่ดูเหมือนว่ามันจะเข้าใจภาษาคนได้ดีทีเดียว
เพราะทันทีที่เธอทรุดกายนั่งมันก็กระโดดเข้าใส่ตักทำให้เธอต้องรีบวางปิ่นโตในมือลงที่พื้นเป็นการชั่วคราวเพื่อที่จะได้อุ้มสิ่งมีชีวิตที่เรียกแมวที่น่ารักที่สุดเท่าที่เธอเคยเจอมา เอาไว้แนบกาย
“นั่นเธอคิดจะทำอะไรแมวของฉัน!!” ทว่ายังไม่ทันที่หญิงสาวจะได้ก้มลงไปหอมหอมฟูฟ่องของเจ้าตัวกลมในอ้อมแขน เสียงตวาดดุดันของใครบางคนกลับดังขึ้นซะก่อนพร้อมๆ กับเจ้าเหมี้ยวที่กระโดดออกจากอ้อมกอดเธอมุ่งหน้าไปหาผู้ชายอีกคนแทบจะทันที
เบื้องหน้าเธอในตอนนี้คือชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ที่อยู่ในสภาพที่ทั้งเนื้อทั้งตัวมีเพียงกางเกงสีซีตเท่านั้นที่เขาสวมใส่ ตัวของเขาเปียกปอนจนหยดน้ำไหลรินเป็นทาง ยามเมื่อเขาเดินเข้ามาใกล้
“เธอเป็นใคร! แล้วเข้ามาทำอะไรในที่นี่!” คำถามนั้นทำเอาปภาวรินทร์ที่ไม่คาดฝันว่าจะต้องมาพบเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ถึงกลับตอบไม่ถูก เธอได้แต่ถอยหลังพร้อมจ้องมองผู้ชายตรงหน้าด้วยสายตาสั่นริก ยอมรับว่ากลัวเขามากเพราะไม่รู้ว่าเขาคนนี้เป็นใครกัน
“ฉันเจ็บค่ะ!” หญิงสาวผวาเฮือกพร้อมร้องบอกยามเมื่อคนหน้าดุตรงหน้าเอื้อมมือมากระชากต้นแขนของเธอไว้ไม่ยอมให้เธอได้ก้าวหนีเขาไปไหนได้อีก ข้างๆ กายเขามีเจ้าแมวเหมียวที่บัดนี้ดูเหมือนว่ามันจะย้ายข้างไปเข้ากับอีกฝ่ายเป็นที่เรียบร้อยไปแล้วด้วย
“เจ็บก็รีบบอกมาว่าเข้ามาทำอะไรที่นี่! หรือว่าจะเป็นขโมย!”
“เปล่านะคะ! รินแค่เอาอาหารมาส่งตามที่ป้าน้อมบอก ไม่ได้จะมาขโมยอะไรจริงๆ นะคะ” หญิงสาวตอบกลับโดยทันที น้ำเสียงของเธอสั่นเครือจนน่าสงสาร นัยน์ตากลมโตจ้องชายหนุ่มตรงหน้าอย่างอ้อนวอนด้วยสายตา นึกอยากให้เขาผ่อนน้ำหนักที่มือลงไปบ้างสักนิดก็ยังดี เพราะว่าเธอเจ็บจนแทบกระดิกมันไม่ได้แล้ว
คนอะไรแรงเยอะจัง ถึงเขาจะหล่อมากก็เถอะ แต่อย่างไรก็ยังคงไว้ซึ่งความป่าเถื่อนให้ได้สัมผัสถึงอยู่ดี หญิงสาวคิดกับตัวเองในใจ พยายามไม่เงยหน้าขึ้นสบสายตาดุดันที่กำลังจ้องเธอเขม้งอยู่
“ทำไมป้าน้อมต้องใช้ให้เธอเอามาส่ง…นี่หรือว่าเธอจะเป็น” ไม่ผิดแน่ๆ หน้าหวานๆ เหมือนที่พวกไอ้ชิดไอ้ชัยมันพากันพร่ำเพ้อว่าสวยนักสวยหนา ต้องไม่ผิดตัวแน่ๆ ผู้หญิงคนนี้คือคนที่พ่อเขามาหาให้ชัวน์ แต่สิ่งที่เขาอยากจะรู้ที่สุดคือทำไมเธอถึงได้โผล่หัวมาที่นี่ได้
“ฉันชื่อปภาวรินทร์ค่ะ คือว่าฉัน…” จะบอกเขาอย่างไรดีนะ แล้วถ้าบอกไปเขาจะยอมเชื่อเธอรึเปล่า ปภาวรินทร์คิดกับตัวเองอย่างสับสน เพราะไม่รู้ว่าควรต้องแนะนำตัวเองกับอีกคนว่ายังไงดี
“เธอคือผู้หญิงที่พ่อฉันหิ้วมาจากกรุงเทพด้วยสินะ! เธอนี่เองของขวัญที่พ่อฉันหยิบติดมือมาฝาก” ทว่าอีกคนกลับเป็นฝ่ายพูดแทนแถมคำพูดของเขาทำให้เธอถึงกลับเข้าใจในหลายๆสิ่งแทบทันที
“คะ..คุณคือคุณเหมราชเหรอคะ”
เธอย้อนถามเสียงสั่น ไม่อยากจะเชื่อว่าคนตรงหน้าจะเป็นคนที่คนทั้งบ้านไม่อยากให้เธอเจอไปได้ ตลอดหนึ่งอาทิตย์ที่เธอต้องย้ายมาอาศัยอยู่ที่นี่แม้ว่าจะไม่เคยเจอหน้า แต่เธอก็ได้กิตติศัพท์ความโหดร้ายของเขานับครั้งไม่ถ้วนเลยทีเดียว เมื่อได้มาเห็นและสัมผัสด้วยตัวเองเช่นนี้จึงรู้ได้ในทันทีเลยว่าที่ทุกคนเล่าให้ฟังนั้นมันเป็นแค่เพียงเศษเสี้ยวเล็กๆ ของความใจร้ายของเขาเพียงเท่านั้นเอง
“ใช่!” เหมราชไม่คิดปิดบังชื่อของตัวเองอีกต่อไป ในเมื่อความพยายามที่จะไม่โผล่หน้าไปให้เธอเห็นมันพังไม่เป็นท่า เห็นทีคงต้องขอพูดกับหล่อนตัวต่อตัว ด้วยคำพูดที่ตรงไปตรงมาจะดีกว่า
“เธอมาที่นี่ก็ดีแล้ว! ฉันจะได้ไม่ต้องถ่อไปถึงที่บ้าน ฉันขอบอกเอาไว้เลยว่าฉันไม่อยากได้เธอหรือใครเป็นเมียทั้งนั้นในตอนนี้! เพราะฉะนั้นไม่ว่าก่อนหน้านี้พ่อฉันจะเคยหว่านล้อมเธอด้วยอะไรฉันขอบอกเอาไว้ตรงนี้เลยว่ามันไม่มีทางสำเร็จ! ฉันไม่ชอบเธอ!!” ถึงหล่อนจะสวยมากแค่ไหนยังไงเสียก็ยังไม่ใช่คนที่เขาอยากจะรักอยู่ดี
“ฉันเข้าใจค่ะ…” ปภาวรินทร์เอ่ยขึ้นเสียงสั่น เธอเองหากเลือกได้ก็ไม่ได้อยากแต่งงานกับเขาหรือว่าใครเหมือนกันในตอนนี้ คำตอบนั้น ดูเหมือนจะสร้างความพึงพอใจให้แก่เหมราชไม่น้อยเลย
“เข้าใจอะไรง่ายๆ แบบนี้ก็ดี เอาเป็นว่าฉันจะจ่ายค่าเสียเวลาให้เธอก็แล้วกัน ส่วนเธอก็กลับไปบอกพ่อฉันว่าจะไม่มีงานแต่งงานระหว่างเราเกิดขึ้นทั้งนั้น เอาตามนี้ก็แล้วกัน!” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นเสียงแข็ง พยายามที่จะไม่จ้องมองอีกฝ่ายให้มันชินตา เขาไม่อยากจดจำอะไรที่เกี่ยวข้องกับผู้หญิงตรงหน้าคนนี้ ไม่ว่าจะทางไหน
“ฉันเข้าใจดีค่ะว่าคุณไม่อยากแต่งงานกับฉัน…แต่ว่าฉันเองก็ปฏิเสธคุณท่านไม่ได้เหมือนกัน!”
เนิ่นนานเหลือเกินกว่าปภาวรินทร์จะสามารถเปล่งเสียงนี้ออกไปได้ มันนานจนเกือบจะทำให้อีกคนเดินออกไปพ้นตัวกระท่อมหลังนี้ของเขาเสียแล้วแต่ก็ยังดีที่รั้งเขาไว้ได้ทัน
“เธอว่ายังไงนะ!”