“ตายอดตายอยากมาจากไหนล่ะแก! แขกของเรายังพาไม่ครบเลย โอ๊ะ! นั่นไงพูดถึงมาพอดี” คุณมานพย้อนกรอบลูกชายก่อนจะแสยะยิ้มเมื่อได้ยินเสียงรถยนตร์ของใครบางคนจอดลงที่หน้าบ้าน
ใครบางคนที่ทำให้เหมราชถึงกลับหัวเสียเมื่อได้เจอหน้ามัน!
“พ่อเชิญมันมาบ้านเราทำไม!” คนถูกเรียกว่า ‘มัน’ ชะงักชั่วครู่ ก่อนจะจ้องมองลูกพี่ลูกน้องของตัวเองด้วยสายตาไม่สบอารมณ์
“สวัสดีครับคุณลุง” แต่ถึงกระนั้น รักษ์ ก็ยังวางตัวอย่างมีมารยาทหันมายกมือไหว้ผู้เป็นลุงที่ไม่ได้เจอหน้ากันมานานหลายปีเพราะว่าบ้านเขากับบ้านนี้ไม่ค่อยจะถูกคอสักเท่าไหร่ เรื่องมันเกิดขึ้นเพราะพ่อของเขาซึ่งเป็นน้องชายคุณลุงเป็นคนอาสาพาแม่ของเหมราชที่กำลังป่วยหนักไปหาหมอในเมือง ตอนนั้นเขากับมันยังเด็กๆ จึงไม่ค่อยเข้าใจอะไรสักเท่าไหร่ เขารู้แค่ว่าคืนนั้นฝนตกหนักมาก คุณลุงมานพเองก็ไม่อยู่ จะมีก็แต่พ่อของเขาที่เข้ามาช่วยดูงานในเหมืองแทนท่านก่อนจะพบว่าคุณน้าทอฝันป่วยหนักจึงอาสาขับรถพาไปโรงพยาบาล แต่โชคร้ายที่ทั้งสองคนนั้นไม่ไปถึงจุดหมายเพราะว่ารถเกิดเสียหลัก เนื่องจากถนนลื่นทำให้ตกเขาเสียชีวิตทั้งคู่
นับตั้งแต่วันนั้นทั้งสองบ้านจึงไม่ค่อยจะลงลอยกันเท่าไหร่นัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหมราชที่ตั้งแง่ว่าพ่อของเขาคือต้นเหตุที่ทำให้แม่ของมันต้องตาย ทั้งๆ ที่พ่อของเขาเองก็ต้องมาสังเวยชีวิตให้กับอุบัติเหตุในครั้งนั้นแน่ๆ แต่ทุกๆ คนกลับโทษว่าเป็นเพราะท่าน
เพราะท่านคุณน้าทอฝันถึงต้องตาย…
“ไหว้พระเถอะเรา เป็นยังไงบ้างได้ข่าวว่าเพิ่งกลับมาจากอังกฤษ หิ้วสาวๆ ตาน้ำข้าวมาฝากแม่เนียนเขากี่คนล่ะหนนี้” มานพเอ่ยทักทายหลานชายพร้อมรอยยิ้ม เวลาที่ผ่านล่วงเลยมานับสิบๆ ปีมันทำให้ความแค้นในใจของเขาเบาบางลงไปจนแทบไม่เหลือ ต่างจากลูกชายที่ไม่ว่าจะเมื่อไหร่วันไหนก็ยังยอมรับการตายของแม่ไม่ได้อยู่ดี เหมราชรักแม่ทอฝันมาก เขาเองก็เช่นกัน รักเธอยิ่งกว่าชีวิต แต่ทุกชีวิตย่อมมีเวลาที่จำกัดซึ่งเมียกับน้องชายเขาเองก็เช่นกัน
ครั้นจะให้ทั้งสองคนตายไปพร้อมๆ กับความหมางเมินเขาก็คงตายตาไม่หลับ จึงคิดใหม่เริ่มใหม่พยายามรักษารอยร้าวของทั้งสองครอบครัวให้สมานเพื่อที่จะได้กลับมารักใคร่ปองดองกันเช่นเคย
“ไม่มีหรอกครับคุณลุง ผมยังไม่เจอคนที่ถูกใจ คุณลุงสบายดีนะครับ” รักษ์ตอบไปตามความจริง แม้จะเจ้าชู้แต่ก็เป็นคนค่อนข้างเลือกพอสมควร หากไม่เจอคนถูกใจเช่นหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งกำลังนั่งอยู่ข้างๆ ผู้เป็นลุงล่ะก็ เขาคงไม่ยอมลงเอยกับใครง่ายๆ แน่
“เป็นคนช่างเลือกก็ดีเหมือนกัน เพราะบางคนก็เลือกมากเสียจนไปคว้าเอาดอกอุตพิดข้างทางกลับเข้าบ้านอยู่บ่อยๆ ลุงล่ะแสนจะเหนื่อยหน่าย หาของดีๆ มีราคามาให้กลับไม่เคยจะเหลียวแล” ประโยคนี้ทุกๆ คนต่างรู้ด้วยตัวเองว่าคุณมานพจงใจว่าใครกัน
ต่างจากคนถูกด่าที่ยังคงนั่งหน้ามึนไม่รู้ร้อนรู้หนาวเช่นเดิม!!
“บางทีของที่พ่อมองว่าดี…มันอาจจะไม่ได้ดีสมคำคุยก็ได้นี่ครับ ส่วนตัวผมเป็นพวกชอบทดลอง อันไหนถูกใจก็เก็บไว้ใช้นานหน่อย แต่ถ้าอันไหนที่ไม่อยากเก็บ…ดีแค่ไหนผมก็ไม่สน!” ครานี้ปภาวรินทร์รู้สึกว่าเธอกำลังถูกดึงเข้าไปร่วมในสงครามเย็นของสองพ่อลูก หญิงสาวหน้าเสียเล็กน้อยก่อนจะร้องขึ้นเบาๆ เมื่อที่นั่งข้างตัวถูกครอบครองจากผู้ชายที่ชื่อว่ารักษ์ที่ไม่พูดพร่ำทำเพลงทิ้งตัวลงข้างๆ กันอย่างหน้าตาเฉย สายตาของเขาที่จ้องมองกันทำให้เธอหนาวสั่น
“ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยนะครับว่าที่นี่มีคนสวยแบบนี้อยู่ด้วย เพราะถ้ารู้ผมคงรีบกลับมาเร็วกว่านี้แล้วขอเป็นแขกประจำที่นี่” สายตาเจ้าชู้ที่สืบทอดมาจากพ่อที่จากไปทำให้เหมราชเริ่มหงุดหงิด ซึ่งนั่นมันก็เป็นไปตามที่คุณมานพอยากจะให้เป็น ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่ลงทุนโทรไปเตี้ยมกับหลานชายให้ช่วยจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเองแน่
“จะคุยกันอีกนานไหม! ผมหิว!! สั่งเด็กตักข้าวเลยดีกว่าครับป้าน้อม สาวๆ หิวแย่แล้ว” เหมราชตัดบทเมื่อเห็นได้ชัดว่าอารมณ์หงุดหงิดของเขามันจะทำให้ผู้เป็นพ่อจับทางได้ง่ายๆ ว่าเขารู้สึกหวงเมียที่ท่านมาให้ได้ เขาจำต้องตีหน้ามึน ไปไม่ยอมหลงกลท่านง่ายๆ
“ผมรักษ์ครับ ว่าแต่คุณคือ” รักษ์ทิ้งความเงียบเพื่อปล่อยให้เด็กๆ รับใช้นำอาหารออกมาเสริฟจนเสร็จจึงหันกลับมาแนะนำตัวเองให้กับหญิงสาวข้างกายได้รู้จัก ซึ่งปภาวรินทร์ก็ตอบรับในทันที
“ฉันปภาวรินทร์ค่ะ เป็น…” แต่คราวจะแนะนำว่าตัวเองเป็นใคร ถือดีเช่นไรถึงได้มานั่งร่วมสงครามเย็นกับพวกเขาเธอกลับไม่กล้า เพราะว่าเธอไม่รู้ว่าสถานะของตัวเองในตอนนี้มันคืออะไรกันแน่
“หนูรินเขาเป็นแขกคนสำคัญของลุงเอง สวยใช่ไหม”
“สวยมากครับ สวยเสียจนผมอยากพากลับไปให้คุณแม่ดูตัว” มึงกลับไปนอนฝันเอาจะง่ายกว่า! เหมราชตวาดตอบภายในใจ
เรื่องอะไรที่เขาต้องยกผู้หญิงตรงหน้าให้กับไอ้ลูกของฆาตกรที่เป็นต้นเหตุทำให้แม่ที่น่าสงสารของเขาต้องตาย มันไม่มีวันนั้นแน่!
“อันนี้ก็ต้องถามเจ้าตัวเขาดูเอานะว่าอยากจะเป็นสะใภ้บ้านเรารึเปล่า ไอ้ลุงน่ะไม่ขัดข้องหรอก เรื่องหัวใจมันบังคับใครได้ที่ไหน จริงไหมเจ้าราช!” คุณมานพตอบก่อนจะหันไปถามความเห็นลูกชาย
“คงงั้นล่ะมั้งครับ” ซึ่งอีกฝ่ายก็ตอบกลับผู้เป็นพ่อเพียงสั้นๆ พยายามไม่แสดงทีท่าพิรุธใดๆ ให้ใครได้เห็นตามนิสัยคนฟอร์มจัด
ทั้งที่ภายในใจกำลังรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ