“มิเป็นไรเจ้าค่ะ ข้าเพียงแต่จะบอกว่าไม่ต้องไปส่งหรอกเจ้าค่ะ บ้านข้าอยู่แค่นี้เอง และอีกอย่างท่านมือปราบก็ไปส่งไม่ได้ด้วยเจ้าค่ะ”
“ทำไมรึ”
“ก็ข้าพายเรือมานี่เจ้าคะ ถ้าท่านมือปราบไปส่งข้า ข้าก็ต้องกลับมาส่งท่านมือปราบอยู่ดี”
จิ้นซินอึ้งกับเหตุผลของหญิงงามก่อนจะยิ้มอย่างเขินๆ เพราะนางหัวเราะเขาอีกแล้ว จิ้นซินจึงแก้เก้อด้วยการมองไปที่เวิ้งน้ำ และเขาก็เห็นเรือลำน้อยคล้องเชือกไว้กับคาคบไม้ใหญ่ ไม่ไกลจากตรงที่เขาล่ามม้า ทั้งที่เมื่อครู่เขาแน่ใจว่าไม่เห็นเรือสักลำ หรือเขาจะตาฝาด
“แม่นาง ข้าขอทราบชื่อแม่นางได้หรือไม่”
“เพื่อจะบันทึกว่าข้าเป็นผู้ต้องสงสัยหรือเจ้าคะ”
“เอ่อ...” คำถามของนางทำให้เขาอึ้งอีกแล้ว จะตอบแบบไหนดีเล่าที่จะทำให้ความสัมพันธ์สานต่อไปได้
“ข้าล้อเล่นน่ะเจ้าค่ะ ข้าชื่อนั่วหลิว บ้านอยู่สุดเวิ้งน้ำ ที่เห็นแสงโคมนั่นล่ะเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นแม่นางนั่วได้โปรดพายเรือดีๆ ถ้ามีอะไรผิดปกติใด ร้องเรียกข้าได้เลย ข้าจะรออยู่ตรงนี้จนกว่าแม่นางนั่วจะพายเรือถึงบ้าน”
นางยิ้มก่อนจะพาเรือนร่างงดงามสมส่วนนั้นเดินตรงไปยังท่าน้ำ
จิ้นซินมองตามจนแสงไฟจากตะเกียงหน้าเรือของนางไปสว่างวาบอยู่ที่อีกฝั่งหนึ่ง ฝั่งที่นางบอกว่านั่นคือบ้านของนาง แม้จะมองไม่เห็นตัวบ้านเพราะทิวไม้บดบัง แต่จิ้นซินก็หมายมั่นว่าในยามฟ้าสางของวันพรุ่ง เขาต้องหาทางไปเยือนที่บ้านของนางให้ได้
“นั่วหลิว...” มือปราบหนุ่มพึมพำชื่อของนางด้วยรอยยิ้มที่หุบไม่ลง หัวใจวูบวาบลิงโลดราวกับความแห้งแล้งได้รับหยาดน้ำชุ่มฉ่ำรดรินลงมา
จิ้นซินโหนตัวขึ้นหลังม้าแต่สายตายังคงจับจ้องไปที่แสงไฟเล็กๆ ที่สุดเวิ้งน้ำด้านหน้าก่อนจะตัดสินใจบังคับม้าและกลับไปในทางเดิม แต่หากจิ้นซินจะหันมองรอบกายเพียงนิดเขาก็จะได้รู้ว่า ณ สถานที่แห่งนี้ไม่ได้มีเพียงเขาและสาวงามที่มีชื่อว่า ‘นั่วหลิว’ อยู่ตามลำพัง เพราะทุกคาคบไม้นั้นมากมีไปด้วยเงาตะคุ่มดำที่จ้องตามร่างของมือปราบจิ้นซิน
ทรวงอกอวบอิ่มที่ลอยเด่นอยู่ตรงหน้าทำให้ฝ่ามือหยาบต้องยื้อขึ้นสัมผัสพร้อมกับบีบเคล้นเต้าอวบอิ่มอย่างมันมือ ยิ่งสาวงามเร่งจังหวะควบขี่มันมากเท่าไร มันก็ยิ่งซ่านเสียวเสียจนต้องเคล้นฝ่ามือเข้ากับหน้าอกขนาดใหญ่ของนางอย่างรุนแรงมากยิ่งขึ้น และเสียงครวญครางของสาวเจ้าที่เปล่งออกมาก็ทำให้มันมีความสุขยิ่งนัก
ใครเล่าจะคาดคิดว่าจะได้ร่วมรักกับสาวงามที่สวยราวนางฟ้า ทั้งทรวดทรงองเอวก็อะร้าอร่ามจนมันไม่เคยคิดว่าจะได้มาสัมผัสกับอะไรอย่างนี้มาก่อน
“อูย... แม่นาง โอว... แม่นาง... ซี้ด... โอว... อูย... แม่นาง... โอย...”
ริมฝีปากอ้าพะงาบๆ ละล่ำละลักเปล่งเสียงร้องออกมา เมื่อสาวงามกำลังคิดว่ามันเป็นพ่อพันธุ์ม้าชั้นดี เพราะนางทั้งกด ขี่ และข่มเหงมันด้วยความอึดอัดคับแน่นจากโพรงหฤหรรษ์ และเมื่อความอดทนของมันสิ้นสุด น้ำแห่งความอยากที่อุ่นวาบก็พวยพุ่งกระจายเข้าสู่โพรงลึกที่ตอดรัดมันแน่นในทันที
“อูย... โอย... เสียว... ซี้ด... อูย... เสียว... แม่นาง... โอว... เสียว... โอว... แม่นางจ๋า... โอว...”
ความเสียวซ่านที่ได้รับรุนแรงกระหน่ำใส่ไม่ขาดสาย เมื่อโพรงอบอุ่นของสาวงามตอดรัดกระบองน้อยแน่นขนัด จนเขาอดรนทนไม่ไหวต้องร้องออกมาด้วยความเสียวอย่างที่สุด เพราะโพรงของนางยังคงตอดรัดกระบองของเขาอย่างบ้าคลั่ง
ทั้งหมดนั้นคือความแน่น แน่น และแน่นจนเขาตาเหลือก เพราะไม่เคยมีครั้งใดที่จะรู้สึกได้ถึงแรงตอดรัดมากมายมหาศาลอย่างนี้
“โอย... โอย... แม่นางจ๋า ข้าไม่ไหวแล้ว ข้าไม่ไหว พอก่อน โอย... พอก่อน โอย... มันแน่น โอย... โอ๊ย! แม่นาง! พอก่อน! ไม่ไหวแล้ว! ไม่ไหว! พอ! พอ! โอ๊ยยยยย...”
ทว่าคำร้องขอของเขาไม่เป็นผล เมื่อแรงตอดรัดรุนแรงนั้นแนบแน่นจนดิ้นไม่หลุด จะถอนตัวออกก็ทำไม่ได้เมื่อนางคร่อมทาบขึ้นมาทั้งตัว แรงควบขี่รัวเร็วรุนแรงราวกับจะสูบน้ำเชื้อออกจากร่างของเขาให้หมดทั้งตัว นั่นก็ทำให้ดวงตาหวาดหวั่นเบิกกว้าง
ริมฝีปากอ้าค้างด้วยความตกใจอย่างที่สุดจนเปล่งเสียงร้องไม่ออก เพราะความซ่านเสียวพุ่งตรงสู่สมอง มากมายเสียจนเขาสั่นไปทั้งร่าง หายใจไม่ออก เพราะเขาไม่ได้ต้องการมากขนาดนี้ เมื่อมันคือความเสียวไม่หยุดจน ‘ขาดใจตาย’
“โอย... โอย... โอย... อ็อก... อ็อก...”
ใบหน้าสมบูรณ์ของวัยหนุ่มซีดเผือดไร้สีเลือด ดวงตาเบิกกว้าง ริมฝีปากอ้าค้างร่ำร้อง แต่ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาอีกเลย มีเพียงเสียงควบขี่ร่างของชายหนุ่มไม่ลดละ ก่อนที่ใบหน้าสวยหวานจะเหยียดยิ้ม เมื่อม้าหนุ่มค่อยๆ แห้งลง แห้งลง และแห้งจนขาดใจ
เสียงโจษขานอื้ออึงของเหล่าชาวบ้านที่ต่างมามุงดูสภาพศพผู้ชายที่ยังไม่มีใครรู้ว่าเป็นใคร เพราะสภาพศพที่ลอยน้ำมาติดอยู่ที่คุ้งน้ำนี้ก็มีสภาพไม่แตกต่างไปจากศพที่แล้วๆ มาเลยสักนิด คือ อยู่ในสภาพที่แห้งราวกับถูกตากแดดจนน้ำหล่อเลี้ยงในร่างกายไม่หลงเหลือ ก่อนจะนำมาทิ้งลงน้ำให้กลายเป็นอาหารของสัตว์น้ำ เพราะหากมีคนพบศพช้าไปกว่านี้อีกแค่เพียงวันเดียว สภาพใบหน้าของศพคงจะไม่เหลือเค้าให้จดจำได้อีกแน่