ยั่วยวน ที่ 4
รอรับเจ้าสาว
ความจริงใจ
หัวหน้าสาวใช้มารับตัวหวางเชียงอิงตั้งแต่ดวงอาทิตย์ยังไม่โผล่พ้นขึ้นจากโค้งขอบฟ้า พาว่าที่เจ้าสาวไปยังบ้านพักหลังหนึ่งของจวนสกุลโจว เพื่อตระเตรียมนางให้พร้อมแก่การเป็นเจ้าสาว
ที่นั่นมีสาวใช้อยู่ทั้งหมดห้าคนคอยรอท่าอยู่ก่อนแล้ว เมื่อไปถึงหวางเชียงอิงก็ถูกจับเปลื้องผ้าออกจนหมดสิ้น เพื่อขัดถูผิวพรรณที่หยาบกระด้างจากการตากแดดกรำงานหนักให้ผุดผาดนวลเนียนน่าสัมผัส ชโลมอาบเรือนร่างด้วยสมุนไพรต่างๆ มากมาย
จากนั้นจึงชโลมเรือนกายด้วยน้ำมันหอม เหล่าสาวใช้ใช้มือนวดจนน้ำมันเหล่านั้นซึมเข้าไปในผิวกายจนดูฉ่ำวาวสะท้อนแสงอาทิตย์ที่เริ่มโผล่พ้นจากกิ่งก้านต้นไม้ใหญ่
ผมยาวจดเอวถูกเกล้ามวยขึ้น จับช่อถักเป็นเปียแล้วม้วนดั่งดอกไม้ก่อนจะประดับด้วยปิ่นทองคำงดงาม ซึ่งเครื่องประดับศีรษะทั้งหมดนี้เป็นของที่ฮูหยินเล่อเสียเบิกมาจากคลังของตระกูลโจวเพื่อให้เจ้าสาวได้ใช้ประดับในวันเข้าพิธี เป็นสินทรัพย์ส่วนหนึ่งของอดีตฮูหยินโจวผู้ล่วงลับ การใช้ปิ่นทองคำนี้จะยิ่งทำให้เหล่าเครือญาติยกย่องว่าฮูหยินโจวเล่อเสียใจกว้างและใส่ใจบุตรชายดั่งบุตรในอุทรของตน
แป้งและชาดแดงถูกแต่งแต้มลงบนใบหน้าหวานและริมฝีปากอวบอิ่ม ขีดเขียนคิ้วโค้งให้เข้มขึ้นส่งผลให้ดวงตากลมโตยิ่งกระจ่างใสดุจดวงดารา
เพียงไม่กี่อึดใจต่อมาชุดวิวาห์สีแดงมงคลก็ถูกสวมลงบนเรือนร่างที่มีกลิ่นหอมของเหมยฮวาอวลกำจาย เอวบาง แขนขายาวเรียวเมื่อสวมชุดวิวาห์ยิ่งทำให้ดูน่าทะนุถนอมดุจตุ๊กตาแก้วเจียระไนชั้นเลิศ
“ช่างเป็นสตรีที่งดงามเหลือเกิน ยิ่งแต่งตัวก็ยิ่งสง่าดุจเทพเซียนจนแทบลืมหายใจ”
หัวหน้าสาวใช้เอ่ยออกมาอย่างพึงพอใจ แม้จะเป็นงานแต่งงานเล็กๆ แต่เครือญาติของตระกูลโจวหลายคนล้วนมาร่วมงานนี้เพื่อเป็นสักขีพยาน การจะจัดหาเจ้าสาวหน้าตาบ้านๆ อย่างขอไปทีนั้นรังแต่จะทำให้ฮูหยินโจวเป็นที่ครหา ทว่าเจ้าสาวที่งดงามปานจะล่มเมืองเช่นนี้คงไม่มีใครกล้าว่ากล่าวนินทาลับหลังได้แน่
อีกทั้งจะยิ่งพร้อมใจกันยกย่องให้ฮูหยินโจวเป็นมารดาเลี้ยงแสนดีที่ทำทุกอย่างเพื่อบุตรชายพิการน่าสงสาร
“ได้เวลาแล้ว พาเจ้าสาวขึ้นเกี้ยวเถอะ เราจะแห่เกี้ยวเจ้าสาวไปยังจวนสกุลโจว ณ บัดนี้”
“เจ้าค่ะหัวหน้าสาวใช้”
สาวใช้ขานรับแข็งขัน รีบประคองเจ้าสาวจำยอมให้ขึ้นนั่งบนเกี้ยว เชียงอิงยอมทำตามทุกอย่างโดยไม่ปริปากออกมาแม้เพียงครึ่งคำ ด้วยรู้ดีว่านางทำหน้าที่นี้แลกกับเงินที่จะทำให้ครอบครัวสุขสบายนั่นเอง
“ขบวนเกี้ยวเจ้าสาวมาถึงแล้ว!”
เกี้ยวเจ้าสาวเดินทางมาอย่างเรียบง่ายไม่เอิกเกริก มีเพียงหัวหน้าสาวใช้ สาวใช้อีกห้านาง และทหารแบกเกี้ยวเท่านั้น นั่นเพราะทางฝั่งเจ้าสาวมาจากตระกูลที่ล่มสลาย ไม่มีบิดามารดา ตัดขาดไร้ญาติมิตร
“อาเหวินดีใจหรือไม่ ในที่สุดเจ้าก็จะได้แต่งงานมีครอบครัวแล้วนะ”
ฮูหยินโจวเป็นคนเข็นรถเข็นบุตรชายของสามีออกมาด้วยตนเอง นางแต่งกายงดงามประณีตด้วยเสื้อผ้าที่ตัดเย็บจากห้องเสื้อชั้นนำจากเมืองหลวง ริมฝีปากสีสดฉีกยิ้มกว้างรับการคารวะจากแขกเหรื่อที่อาวุโสน้อยกว่า และพร้อมจะก้มโค้งคำนับให้แขกเหรื่อที่มีอาวุโสมากกว่าตนอย่างไม่ถือเนื้อถือตัว
แอบแค่นหัวเราะในลำคอเมื่อเห็นว่าดวงตาของบุตรชายนั้นเหม่อลอยไร้แววรับรู้ใดๆ นอกจากจะพิการเดินไม่ได้แล้ว ยังเป็นใบ้ไม่ยอมพูดจา มีดวงตาว่างเปล่าดั่งคนสติหลุดลอย
กลายเป็นคุณชายผู้ไร้ค่า!
แรกทีเดียวนางอยากจะวางแผนฆ่าซ้ำอีกครั้งให้ตายตกตามบิดา แต่กลัวว่าจะกลายเป็นจุดสนใจและทำให้ถูกเพ่งเล็งขุดคุ้ยถึงสาเหตุ จึงจำต้องปล่อยลูกเลี้ยงให้มีชีวิตรอดอย่างเสียไม่ได้ แต่นับว่าสวรรค์เข้าข้างที่เหวินหลงกลายเป็นชายไร้สติสัมปชัญญะโดยสิ้นเชิง
นางจึงกลายเป็นผู้ปกครองจวนสกุลโจวแต่เพียงผู้เดียวโดยไร้ข้อกังขา
“อาเหวิน...แม่หวังให้เจ้ามีความสุขมากที่สุด เจ้ารู้หรือไม่เล่าว่าทั้งชีวิตของแม่มีเพียงเจ้าเป็นดั่งดวงใจ แม้จะไม่ใช่แม่แท้ๆ แต่ก็รักและห่วงใยเจ้ายิ่งกว่าชีวิตของตนเอง ดังนั้นแม่จึงเลือกเฟ้นสตรีที่ดีพร้อมมาเป็นภรรยาคอยปรนนิบัติเจ้า เพราะหวังเหลือเกินว่าความรักจะทำให้เจ้ากลับมาเป็นอาเหวินคนเดิมที่สดใสอีกครา”
ฮูหยินโจวยอบกายลงคุกเข่าเบื้องหน้าบุตรชาย ก่อนจะยื่นมือไปแตะที่ปลายคางและใบหน้าหล่อเหลาที่ไร้ชีวิตราวกับรักมากมาย และนั่นทำให้เหล่าเครือญาติสกุลโจวที่มาร่วมงานถึงกับน้ำตารื้น
‘ฮูหยินโจวช่างดีเหลือเกิน แม้เป็นมารดาเลี้ยงแต่ก็รักคุณชายโจวดั่งบุตรแท้ๆ’
‘ดูสิประมุขโจวก็มาด่วนตายจาก อีกทั้งบุตรชายยังมาเป็นเช่นนี้ แต่ฮูหยินโจวกลับเข้มแข็งและปกครองสกุลโจวได้อย่างดีเยี่ยม ช่างเป็นยอดสตรีที่เข้มแข็งเสียเหลือเกิน’
‘นับเป็นวาสนาของตระกูลโจวแล้วที่มีฮูหยินเปรียบดั่งร่มไม้ใหญ่คอยให้ร่มเงาเช่นนี้’
‘ความจริงฮูหยินโจวไม่ต้องจัดหาหญิงสาวให้บุตรชายพิการไร้ความสามารถก็ย่อมได้ แต่เพราะความรักดั่งมารดาแท้ๆ ทำให้ฮูหยินยอมทำทุกอย่างเพื่อความสุขของบุตรชาย’
เสียงซุบซิบพูดคุยเซ็งแซ่ทำให้ฮูหยินโจวเล่อเสียถึงกับลอบยิ้มอย่างมีชัยชนะ แค่เล่นละครตบตานิดๆ หน่อยๆ แสร้งทำเป็นมารดาที่แสนดีและพร้อมจะเสียสละ คนพวกนี้ก็หลงเชื่อจนหัวปักหัวปำเสียแล้ว
ในขณะที่โจวเหวินหลงเองก็แค่นหัวเราะในลำคอไม่ต่างกัน ยิ่งเห็นมารดาเลี้ยงลำพองใจมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งแน่ใจว่าใครคือคนร้าย และพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อกระชากหน้ากากสารเลวของหญิงผู้นี้ออกมาประจานให้จงได้
ยิ่งนานวันธาตุแท้ของสตรีผู้นี้ก็ยิ่งปรากฏ เสียดายที่เขาเคยรักและเทิดทูนคิดดั่งนางเป็นมารดาแท้ๆ
“มาเถอะเสี่ยวเหวิน ข้าจะพาเจ้าไปรับเจ้าสาวลงจากเกี้ยว เจ้าจะต้องชอบนางแน่ๆ เพราะนางเป็นสตรีที่เรียบร้อย ขยันขันแข็ง ซื่อสัตย์ และพร้อมจะเป็นภรรยาที่ดีคอยอยู่เคียงข้างเจ้าไม่จากไปไหน”
แม้พูดกับบุตรชายแต่แสร้งเปล่งเสียงดังให้คนอื่นๆ ได้ยิน เพื่อที่จะได้รับคำชื่นชมยกย่อง ก่อนจะลงแรงดันรถเข็นบุตรชายไปรอรับเจ้าสาวที่หน้าจวนด้วยตนเอง
จงซือห้าวคนสนิทของคุณชายโจวเหวินหลงเป็นคนยื่นมือรับเจ้าสาวลงจากเกี้ยวก่อนจะพามาหาผู้เป็นเจ้านายที่ไม่อาจยืนขึ้นรับเจ้าสาวลงจากเกี้ยวด้วยตนเอง
“เชียงเอ๋อร์ยินดีต้อนรับสู่สกุลโจวของเรา”
ฮูหยินเล่อเสียรับบทแม่สามีแสนดี เอ่ยเรียกลูกสะใภ้อย่างสนิทสนม พลางทอดสายตาเอ็นดูมองสะใภ้ก่อนจะจับมือเจ้าสาวไปวางไว้บนมือเจ้าบ่าว
“คารวะท่านพี่เจ้าค่ะ”
หวางเชียงอิงมองหน้าเจ้าบ่าวไม่ชัดนัก ด้วยมีผ้าสีแดงผืนใหญ่คลุมใบหน้าเอาไว้ กระนั้นนางกลับเห็นว่าเขาเป็นชายรูปงามที่มีใบหน้าคุ้นตา
‘ท่านผู้นั้น!’
ละ...ลูกค้าที่ชอบนั่งเงียบๆ อยู่ในมุมที่มืดที่สุดในโรงน้ำชาหัวถนนนั่นเอง นางมักแอบมองท่วงท่าสง่างามของเขาอยู่เสมอๆ แต่ไม่เคยพูดคุยเป็นการส่วนตัวเลยสักครั้ง
ปากเล็กอวบอิ่มอ้าขึ้นน้อยๆ ด้วยไม่คาดคิดว่าลูกค้ารูปงามผู้นั้นคือคุณชายโจวเหวินหลงที่จะมาเป็นสามีของนาง หัวใจพลางเต้นแผ่วด้วยความรู้สึกสงสารจับใจที่ต้องมาเห็นเขากลายเป็นชายพิการ อีกทั้งยังเป็นใบ้ไร้ความรู้สึกนึกคิดเช่นนี้
พลันหยาดน้ำตาก็หยาดหยดลงมาเป็นสาย แม้จะถูกซ่อนอยู่ภายใต้ผ้าคลุมเจ้าสาว แต่แรงสะอื้นก็ส่งผ่านมือเล็กๆ ที่กำลังกุมมือหนาของโจวเหวินหลงผู้เป็นเจ้าบ่าวเอาไว้
คนตัวโตกะพริบเปลือกตาช้าๆ มองเจ้าสาวด้วยความฉงนไม่น้อย ด้วยไม่คิดว่าจะได้รับความเห็นใจจากสตรีที่เพิ่งก้าวเข้ามาในฐานะภรรยาที่ราวกับคนแปลกหน้าต่อกัน
ในขณะที่มารดาเลี้ยงและเหล่าญาติมิตรกลับไม่มีใครแสดงความรู้สึกจากใจจริงออกมา ทุกคนล้วนเสแสร้งแกล้งทำเป็นห่วงเขาต่อหน้าฮูหยินโจว แต่กลับพูดจาสาดเสียเทเสียเมื่ออยู่กับเขาตามลำพัง เพราะคิดว่าเขาไม่รับรู้เรื่องราวใดๆ อีกต่อไปแล้ว จึงค่อนขอดเย้ยหยันความพิการของเขาราวกับเห็นเป็นเรื่องขบขัน
คนเหล่านั้นทำราวดั่งเขาไม่ใช่มนุษย์คนหนึ่ง เป็นเพียงคนไร้ค่าไร้ราคา เป็นเพียงสัญลักษณ์หนึ่งที่ต้องดำรงอยู่ในจวนสกุลโจวอย่างไม่อาจผลักไสก็เท่านั้นเอง
ทว่า...
หวางเชียงอิงผู้นี้กลับเห็นอกเห็นใจเขางั้นหรือ