ยั่วยวน ที่ 4 รอรับเจ้าสาว

1612 คำ
ยั่วยวน ที่ 4 รอรับเจ้าสาว ความจริงใจ หัวหน้าสาวใช้มารับตัวหวางเชียงอิงตั้งแต่ดวงอาทิตย์ยังไม่โผล่พ้นขึ้นจากโค้งขอบฟ้า พาว่าที่เจ้าสาวไปยังบ้านพักหลังหนึ่งของจวนสกุลโจว เพื่อตระเตรียมนางให้พร้อมแก่การเป็นเจ้าสาว ที่นั่นมีสาวใช้อยู่ทั้งหมดห้าคนคอยรอท่าอยู่ก่อนแล้ว เมื่อไปถึงหวางเชียงอิงก็ถูกจับเปลื้องผ้าออกจนหมดสิ้น เพื่อขัดถูผิวพรรณที่หยาบกระด้างจากการตากแดดกรำงานหนักให้ผุดผาดนวลเนียนน่าสัมผัส ชโลมอาบเรือนร่างด้วยสมุนไพรต่างๆ มากมาย จากนั้นจึงชโลมเรือนกายด้วยน้ำมันหอม เหล่าสาวใช้ใช้มือนวดจนน้ำมันเหล่านั้นซึมเข้าไปในผิวกายจนดูฉ่ำวาวสะท้อนแสงอาทิตย์ที่เริ่มโผล่พ้นจากกิ่งก้านต้นไม้ใหญ่ ผมยาวจดเอวถูกเกล้ามวยขึ้น จับช่อถักเป็นเปียแล้วม้วนดั่งดอกไม้ก่อนจะประดับด้วยปิ่นทองคำงดงาม ซึ่งเครื่องประดับศีรษะทั้งหมดนี้เป็นของที่ฮูหยินเล่อเสียเบิกมาจากคลังของตระกูลโจวเพื่อให้เจ้าสาวได้ใช้ประดับในวันเข้าพิธี เป็นสินทรัพย์ส่วนหนึ่งของอดีตฮูหยินโจวผู้ล่วงลับ การใช้ปิ่นทองคำนี้จะยิ่งทำให้เหล่าเครือญาติยกย่องว่าฮูหยินโจวเล่อเสียใจกว้างและใส่ใจบุตรชายดั่งบุตรในอุทรของตน แป้งและชาดแดงถูกแต่งแต้มลงบนใบหน้าหวานและริมฝีปากอวบอิ่ม ขีดเขียนคิ้วโค้งให้เข้มขึ้นส่งผลให้ดวงตากลมโตยิ่งกระจ่างใสดุจดวงดารา เพียงไม่กี่อึดใจต่อมาชุดวิวาห์สีแดงมงคลก็ถูกสวมลงบนเรือนร่างที่มีกลิ่นหอมของเหมยฮวาอวลกำจาย เอวบาง แขนขายาวเรียวเมื่อสวมชุดวิวาห์ยิ่งทำให้ดูน่าทะนุถนอมดุจตุ๊กตาแก้วเจียระไนชั้นเลิศ “ช่างเป็นสตรีที่งดงามเหลือเกิน ยิ่งแต่งตัวก็ยิ่งสง่าดุจเทพเซียนจนแทบลืมหายใจ” หัวหน้าสาวใช้เอ่ยออกมาอย่างพึงพอใจ แม้จะเป็นงานแต่งงานเล็กๆ แต่เครือญาติของตระกูลโจวหลายคนล้วนมาร่วมงานนี้เพื่อเป็นสักขีพยาน การจะจัดหาเจ้าสาวหน้าตาบ้านๆ อย่างขอไปทีนั้นรังแต่จะทำให้ฮูหยินโจวเป็นที่ครหา ทว่าเจ้าสาวที่งดงามปานจะล่มเมืองเช่นนี้คงไม่มีใครกล้าว่ากล่าวนินทาลับหลังได้แน่ อีกทั้งจะยิ่งพร้อมใจกันยกย่องให้ฮูหยินโจวเป็นมารดาเลี้ยงแสนดีที่ทำทุกอย่างเพื่อบุตรชายพิการน่าสงสาร “ได้เวลาแล้ว พาเจ้าสาวขึ้นเกี้ยวเถอะ เราจะแห่เกี้ยวเจ้าสาวไปยังจวนสกุลโจว ณ บัดนี้” “เจ้าค่ะหัวหน้าสาวใช้” สาวใช้ขานรับแข็งขัน รีบประคองเจ้าสาวจำยอมให้ขึ้นนั่งบนเกี้ยว เชียงอิงยอมทำตามทุกอย่างโดยไม่ปริปากออกมาแม้เพียงครึ่งคำ ด้วยรู้ดีว่านางทำหน้าที่นี้แลกกับเงินที่จะทำให้ครอบครัวสุขสบายนั่นเอง “ขบวนเกี้ยวเจ้าสาวมาถึงแล้ว!” เกี้ยวเจ้าสาวเดินทางมาอย่างเรียบง่ายไม่เอิกเกริก มีเพียงหัวหน้าสาวใช้ สาวใช้อีกห้านาง และทหารแบกเกี้ยวเท่านั้น นั่นเพราะทางฝั่งเจ้าสาวมาจากตระกูลที่ล่มสลาย ไม่มีบิดามารดา ตัดขาดไร้ญาติมิตร “อาเหวินดีใจหรือไม่ ในที่สุดเจ้าก็จะได้แต่งงานมีครอบครัวแล้วนะ” ฮูหยินโจวเป็นคนเข็นรถเข็นบุตรชายของสามีออกมาด้วยตนเอง นางแต่งกายงดงามประณีตด้วยเสื้อผ้าที่ตัดเย็บจากห้องเสื้อชั้นนำจากเมืองหลวง ริมฝีปากสีสดฉีกยิ้มกว้างรับการคารวะจากแขกเหรื่อที่อาวุโสน้อยกว่า และพร้อมจะก้มโค้งคำนับให้แขกเหรื่อที่มีอาวุโสมากกว่าตนอย่างไม่ถือเนื้อถือตัว แอบแค่นหัวเราะในลำคอเมื่อเห็นว่าดวงตาของบุตรชายนั้นเหม่อลอยไร้แววรับรู้ใดๆ นอกจากจะพิการเดินไม่ได้แล้ว ยังเป็นใบ้ไม่ยอมพูดจา มีดวงตาว่างเปล่าดั่งคนสติหลุดลอย กลายเป็นคุณชายผู้ไร้ค่า! แรกทีเดียวนางอยากจะวางแผนฆ่าซ้ำอีกครั้งให้ตายตกตามบิดา แต่กลัวว่าจะกลายเป็นจุดสนใจและทำให้ถูกเพ่งเล็งขุดคุ้ยถึงสาเหตุ จึงจำต้องปล่อยลูกเลี้ยงให้มีชีวิตรอดอย่างเสียไม่ได้ แต่นับว่าสวรรค์เข้าข้างที่เหวินหลงกลายเป็นชายไร้สติสัมปชัญญะโดยสิ้นเชิง นางจึงกลายเป็นผู้ปกครองจวนสกุลโจวแต่เพียงผู้เดียวโดยไร้ข้อกังขา “อาเหวิน...แม่หวังให้เจ้ามีความสุขมากที่สุด เจ้ารู้หรือไม่เล่าว่าทั้งชีวิตของแม่มีเพียงเจ้าเป็นดั่งดวงใจ แม้จะไม่ใช่แม่แท้ๆ แต่ก็รักและห่วงใยเจ้ายิ่งกว่าชีวิตของตนเอง ดังนั้นแม่จึงเลือกเฟ้นสตรีที่ดีพร้อมมาเป็นภรรยาคอยปรนนิบัติเจ้า เพราะหวังเหลือเกินว่าความรักจะทำให้เจ้ากลับมาเป็นอาเหวินคนเดิมที่สดใสอีกครา” ฮูหยินโจวยอบกายลงคุกเข่าเบื้องหน้าบุตรชาย ก่อนจะยื่นมือไปแตะที่ปลายคางและใบหน้าหล่อเหลาที่ไร้ชีวิตราวกับรักมากมาย และนั่นทำให้เหล่าเครือญาติสกุลโจวที่มาร่วมงานถึงกับน้ำตารื้น ‘ฮูหยินโจวช่างดีเหลือเกิน แม้เป็นมารดาเลี้ยงแต่ก็รักคุณชายโจวดั่งบุตรแท้ๆ’ ‘ดูสิประมุขโจวก็มาด่วนตายจาก อีกทั้งบุตรชายยังมาเป็นเช่นนี้ แต่ฮูหยินโจวกลับเข้มแข็งและปกครองสกุลโจวได้อย่างดีเยี่ยม ช่างเป็นยอดสตรีที่เข้มแข็งเสียเหลือเกิน’ ‘นับเป็นวาสนาของตระกูลโจวแล้วที่มีฮูหยินเปรียบดั่งร่มไม้ใหญ่คอยให้ร่มเงาเช่นนี้’ ‘ความจริงฮูหยินโจวไม่ต้องจัดหาหญิงสาวให้บุตรชายพิการไร้ความสามารถก็ย่อมได้ แต่เพราะความรักดั่งมารดาแท้ๆ ทำให้ฮูหยินยอมทำทุกอย่างเพื่อความสุขของบุตรชาย’ เสียงซุบซิบพูดคุยเซ็งแซ่ทำให้ฮูหยินโจวเล่อเสียถึงกับลอบยิ้มอย่างมีชัยชนะ แค่เล่นละครตบตานิดๆ หน่อยๆ แสร้งทำเป็นมารดาที่แสนดีและพร้อมจะเสียสละ คนพวกนี้ก็หลงเชื่อจนหัวปักหัวปำเสียแล้ว ในขณะที่โจวเหวินหลงเองก็แค่นหัวเราะในลำคอไม่ต่างกัน ยิ่งเห็นมารดาเลี้ยงลำพองใจมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งแน่ใจว่าใครคือคนร้าย และพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อกระชากหน้ากากสารเลวของหญิงผู้นี้ออกมาประจานให้จงได้ ยิ่งนานวันธาตุแท้ของสตรีผู้นี้ก็ยิ่งปรากฏ เสียดายที่เขาเคยรักและเทิดทูนคิดดั่งนางเป็นมารดาแท้ๆ “มาเถอะเสี่ยวเหวิน ข้าจะพาเจ้าไปรับเจ้าสาวลงจากเกี้ยว เจ้าจะต้องชอบนางแน่ๆ เพราะนางเป็นสตรีที่เรียบร้อย ขยันขันแข็ง ซื่อสัตย์ และพร้อมจะเป็นภรรยาที่ดีคอยอยู่เคียงข้างเจ้าไม่จากไปไหน” แม้พูดกับบุตรชายแต่แสร้งเปล่งเสียงดังให้คนอื่นๆ ได้ยิน เพื่อที่จะได้รับคำชื่นชมยกย่อง ก่อนจะลงแรงดันรถเข็นบุตรชายไปรอรับเจ้าสาวที่หน้าจวนด้วยตนเอง จงซือห้าวคนสนิทของคุณชายโจวเหวินหลงเป็นคนยื่นมือรับเจ้าสาวลงจากเกี้ยวก่อนจะพามาหาผู้เป็นเจ้านายที่ไม่อาจยืนขึ้นรับเจ้าสาวลงจากเกี้ยวด้วยตนเอง “เชียงเอ๋อร์ยินดีต้อนรับสู่สกุลโจวของเรา” ฮูหยินเล่อเสียรับบทแม่สามีแสนดี เอ่ยเรียกลูกสะใภ้อย่างสนิทสนม พลางทอดสายตาเอ็นดูมองสะใภ้ก่อนจะจับมือเจ้าสาวไปวางไว้บนมือเจ้าบ่าว “คารวะท่านพี่เจ้าค่ะ” หวางเชียงอิงมองหน้าเจ้าบ่าวไม่ชัดนัก ด้วยมีผ้าสีแดงผืนใหญ่คลุมใบหน้าเอาไว้ กระนั้นนางกลับเห็นว่าเขาเป็นชายรูปงามที่มีใบหน้าคุ้นตา ‘ท่านผู้นั้น!’ ละ...ลูกค้าที่ชอบนั่งเงียบๆ อยู่ในมุมที่มืดที่สุดในโรงน้ำชาหัวถนนนั่นเอง นางมักแอบมองท่วงท่าสง่างามของเขาอยู่เสมอๆ แต่ไม่เคยพูดคุยเป็นการส่วนตัวเลยสักครั้ง ปากเล็กอวบอิ่มอ้าขึ้นน้อยๆ ด้วยไม่คาดคิดว่าลูกค้ารูปงามผู้นั้นคือคุณชายโจวเหวินหลงที่จะมาเป็นสามีของนาง หัวใจพลางเต้นแผ่วด้วยความรู้สึกสงสารจับใจที่ต้องมาเห็นเขากลายเป็นชายพิการ อีกทั้งยังเป็นใบ้ไร้ความรู้สึกนึกคิดเช่นนี้ พลันหยาดน้ำตาก็หยาดหยดลงมาเป็นสาย แม้จะถูกซ่อนอยู่ภายใต้ผ้าคลุมเจ้าสาว แต่แรงสะอื้นก็ส่งผ่านมือเล็กๆ ที่กำลังกุมมือหนาของโจวเหวินหลงผู้เป็นเจ้าบ่าวเอาไว้ คนตัวโตกะพริบเปลือกตาช้าๆ มองเจ้าสาวด้วยความฉงนไม่น้อย ด้วยไม่คิดว่าจะได้รับความเห็นใจจากสตรีที่เพิ่งก้าวเข้ามาในฐานะภรรยาที่ราวกับคนแปลกหน้าต่อกัน ในขณะที่มารดาเลี้ยงและเหล่าญาติมิตรกลับไม่มีใครแสดงความรู้สึกจากใจจริงออกมา ทุกคนล้วนเสแสร้งแกล้งทำเป็นห่วงเขาต่อหน้าฮูหยินโจว แต่กลับพูดจาสาดเสียเทเสียเมื่ออยู่กับเขาตามลำพัง เพราะคิดว่าเขาไม่รับรู้เรื่องราวใดๆ อีกต่อไปแล้ว จึงค่อนขอดเย้ยหยันความพิการของเขาราวกับเห็นเป็นเรื่องขบขัน คนเหล่านั้นทำราวดั่งเขาไม่ใช่มนุษย์คนหนึ่ง เป็นเพียงคนไร้ค่าไร้ราคา เป็นเพียงสัญลักษณ์หนึ่งที่ต้องดำรงอยู่ในจวนสกุลโจวอย่างไม่อาจผลักไสก็เท่านั้นเอง ทว่า... หวางเชียงอิงผู้นี้กลับเห็นอกเห็นใจเขางั้นหรือ
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม