หลังจากนั้น
ระหว่างเข้าแถว ก้านไม้ยืนอยู่ในแถวประถมสี่ตามชั้นเรียนที่ยืนอยู่ ผมสังเกตมาได้พักหนึ่งแล้วว่าครูชฎาพรจะเป็นคนติดหวานเหมือนกันเพราะครูเขาชอบพกแก้วน้ำมาใส่น้ำหวานหรือซื้อจากร้านข้างนอกมาดื่มในโรงเรียนเสมอ จะว่าไปครูเขาเป็นคนติดคาเฟอีนเหมือนกันนะเนี่ย เด็กแบบผมกินมากเท่าผู้ใหญ่ไม่ได้หรอก ตาค้างนอนไม่หลับเสียเวลานาฬิกาชีวิต
“เห้ย ลูกข่างมึงเป็นคนไม่มีจุดยืนในสังคมเหรอ จุดในแถวมึงชิดคนข้างหน้าเหรอ เว้นไปหนึ่งจุดทำไม”
“ก็มีคนยืนอยู่อะจะให้เราไปยืนแทรกทำไม”
“ไหนวะ มึงหลอนยาตั้งแต่ปอสี่เหรอ” ผมไม่เห็นใครยืนอยู่ข้างหน้าลูกข่างมีแต่จุดที่ไม่รู้จะเว้นให้มันกินที่คนอื่นทำไม ทำเหมือนเว้นที่ให้ผียืนไปได้และมีแต่เขาเป็นคนเห็นเท่านั้น ผมใช้โอกาสที่เขาไม่ได้พูดกับผมผลักมันไปข้างหน้าให้มันไปยืนอยู่จุดที่เว้นว่างไว้ ผมไม่เข้าใจว่ามันจะเว้นทำไม
“มาผลักเราทำไม”
“ตอนนี้ปกป้องตัวเองได้แล้วเหรอ” ผมเห็นลูกข่างเป็นคนไม่ค่อยพูดมากแต่เวลาผมแกล้งมันโวยวายต่อต้านผม ปกป้องตัวเอง ปกติมันไม่ทำแบบนี้ด้วยซ้ำแล้วทำไมอาการเหมือนเปลี่ยนไปคนละคนเลย ผมชักไม่แน่ใจแล้วว่าลูกข่างเป็นอะไรทำไมถึงทำเช่นนี้
ผมชะงักไปครู่หนึ่งเพราะพื้นอาคารกิจกรรมจะสะท้อนเงาตกกระทบ เงาของลูกข่างมันแปลกไปมาก จากเด็กตัวเล็กกลายเป็นตัวใหญ่ขึ้นมาเล็กน้อย ความสูงเพิ่มขึ้น ผมเงยหน้าถึงกับชะงักเพราะคนที่ผมเห็นคือเด็กในห้องที่หายไปจากสมาชิกห้องนี้แล้ว
ครื้ดดด...
“เชี่ยยย”
ผมตกใจกรีดร้องออกมาขณะยืนเข้าแถว ผมแทบตั้งสติไม่ได้เลยเพราะสิ่งที่ผมเห็นราวกับผมเจอดีเข้าให้แล้ว คนตรงหน้าไม่ใช่ลูกข่างแต่เป็นร่างของเด็กคนหนึ่งซ้อนภาพหลอนให้ผมเห็นเป็นอีกคน มันส่งยิ้มในเงามืดใต้พื้นแล้วกระชากเงาผมให้หายไปจากการสาดส่องดวงอาทิตย์ให้เกิดเงา
“อีกแล้วนะเวกเตอร์”
ครูชฎาพรชักไม่พอใจแล้วที่เวกเตอร์ชอบแกล้งเพื่อนแล้วยังเรียกร้องความสนใจให้ทุกคนหันมามองเหตุการณ์ด้วยความตกใจ ฉันเดินเข้าไปหาแล้วจับแยกทันที ฉันดึงเข้าไปอีกแถวดูสิว่าการออกจากสมาชิกห้องนี้เหมือนเป็นส่วนเกินหลอกตัวเองว่าอยู่อีกห้อง ทั้งที่จริงไม่ใช่สมาชิกห้องนั้น
“ครูชฎาพรครับ ครูจะทำแบบนี้กับผมไม่ได้นะ”
“เธอมีเส้นสายงั้นเหรอ ต่อให้จะมีเส้นสายหรือเป็นลูกใคร ถ้ามาอยู่ที่นี่แล้วทุกคนเท่าเทียมทั้งฐานะ เพศสภาพและทุกอย่าง เธอไม่ได้เหนือกว่าคนอื่นจำไว้ด้วย” สิ่งที่ฉันแสดงออกมา นักเรียนต้องเข้าใจว่าฉันดุด่าอย่างมีเหตุผลรองรับไม่ใช่ไม่มีเหตุผลด่าลามปามครอบครัวไม่สมอาชีพที่ทำอยู่
“มันไม่ใช่คน”
“ครูบอกแล้วไงว่านี่มันโลกแห่งความจริง เธอจะเห็นคนอื่นเป็นผีงั้นเหรอ” ฉันว่าเวกเตอร์มีปัญหาทางสมองหรือดวงตา ถ้าฉันมีเวลาจะพาไปตรวจสมองและสายตาไม่รู้ว่าสาเหตุอะไรมาทำให้เขากระทบกระเทือนใช้ชีวิตด้วยความระแวง รอบก่อนเรื่องเหมือนจบแต่ก็ไม่จบ คราวนี้เริ่มก่อปัญหามากกว่าเดิม
ลูกข่างเห็นครูชฎาพรต่อว่าเวกเตอร์ ผมเข้าใจอยู่แล้วว่าครูทำตามหน้าที่และเตือนอย่างมีเหตุผล ผมไม่ได้กลัวอะไรมากเรียกได้ว่าเป็นการแสดงหลอกตาผู้อำนวยการสมจริงจนผมต้องมอบตุ๊กตาทองคำสาขานักแสดงหญิงยอดเยี่ยมไปให้ ว่าแต่ทำไมครูเขาพูดเด็ดขาดกับเรื่องนี้มาก
ผมยืนเข้าแถวพร้อมกับนักเรียนในห้อง หลังจากยืนสวดมนต์และทำกิจกรรมเสร็จแล้ว ช่วงผู้อำนวยการขึ้นพูดบอกเลยว่าสิบนาทีไม่มีจริงนั่งจนเข้าเรียนคาบแรก มันก็จริงอยากที่เขาพูดเพราะผู้อำนวยการโรงเรียนถือว่าตำแหน่งใหญ่สุด ขนาดนักเรียนหรือครูยังต้องก้มไหว้ด้วยความตกใจเล็กน้อย ทำตัวไม่ถูกเพราะคนละระดับ เล่นหัวไม่ได้เลย
ผมเห็นครูฉายหลิง จะเรียกครูเต็มตัวก็ยังไม่ใช่เพราะพี่เขามาฝึกประสบการณ์สอน อาจจะยังทำตัวไม่คุ้นเคยสังคมโรงเรียน พี่เขายิ้มให้นักเรียนห้องผมหลายคนจ้องมองทางนี้ทางเดียวราวกับชอบนักเรียนคนไหนเป็นพิเศษ
“ครูเขามองใครวะ”
เวกเตอร์รู้สึกว่าเพื่อนสะกิดผมแล้วถามอะไรบางอย่างด้วยความสงสัย ผมมองสายตาพี่ฉายหลิงแล้ว เหมือนเขาแอบมองใครอยู่หรือเปล่า มันทำให้ผมสงสัยมาก แต่ถ้าดูจากระดับสายตาการจับจ้องแล้วเหมือนมองผมคนเดียว ผมทำตัวไม่ถูกขนลุกมาก ถ้าจ้องผมแล้วคิดเกินเลย ผมบอกแม่ผมจัดการได้ทันที
‘มองแบบนี้ขนลุกมากเลยว่ะ...’
ในห้องเรียน
“นายชอบครูฉายหลิงเหรอ”
ลูกข่างถามก้านไม้ด้วยความสงสัยจะว่าไปผมเห็นพี่เขามาฝึกประสบการณ์สอนอยู่ที่โรงเรียนแห่งนี้มาได้พักหนึ่งแล้ว ผมมักจะเห็นเพื่อนผมอย่างก้านไม้เข้าหาครูนักศึกษามาก ปกติที่โรงเรียนนี้ทางมหาวิทยาลัยส่งมาเสมอ แต่ปีนี้ผู้ชายเยอะกว่าผู้หญิงแถมหน้าตาดีด้วย แล้วเพื่อนผมอย่างก้านไม้หน้าหวานนึกว่าผู้หญิง หลายคนยังทักผิดเลยคิดว่าผู้หญิง อย่าลืมว่าที่นี่โรงเรียนชายล้วนและเครื่องแบบนักเรียน สีกางเกงถือว่าสีเดียวกันหมดทั้งโรงเรียนอยู่แล้ว
“คำว่าชอบของนายตีความแบบไหนเหรอ”
“ไม่รู้สิ แฟนมั้ง”
“ไม่ได้ไหม ครูเขาอยู่ในหน้าที่จะมารักนักเรียนมากกว่านั้นได้ยังไง เดี๋ยวครูเขาโดนส่งกลับหรอก” ผมบอกแล้วว่าครูเขาแค่มองนักเรียนและเอ็นดูด้วยความรัก ไม่ได้คิดเกินเลยขนาดจ้องตาเป็นมันพร้อมยัดเยียด แล้วเขตนี้เด็กประถมทั้งนั้นจะมาพรากผู้เยาว์ไม่กลัวตำรวจมันก็ไม่ใช่เรื่อง
“นายนี่คิดอะไรแปลก ๆ เหมือนกันนะลูกข่าง” ผมไม่รู้ว่าลูกข่างมีความคิดแบบไหน เห็นอะไรก็ตีความมากกว่าเด็ก จะว่าไปนิสัยแบบลูกข่างเหมือนใครที่ผมเคยเจอมาก่อน เอาเป็นว่าตัวตนเขาต่างจากก่อนหน้าเล็กน้อย ผมก็เลยสงสัยเท่านั้นเอง
ผมจำได้ว่าผมลืมวงเวียนไว้ที่โรงเรียน และคนที่โยนเข้าไปคือเวกเตอร์ ผมเดินไปที่โต๊ะหลังห้องตั้งชิดตัวเดียว ผมสอดมือเข้าไปใต้โต๊ะหยิบวงเวียนสีฟ้าออกมา แต่ทำไมผมหยิบได้สีแดง แบบเดียวกันแต่ไม่ใช่ของผม ผม ผมมองดูมีคราบสีแดงเปื้อนตรงปลายแหลมจุดยึดให้ปลายดินสอกางวาดวงกลมได้
“มันเหมือนอะไรสีแดงเลย”
ผมก้มโค้งมมองใต้โต๊ะมันมืดแปลกตาผมมาก ทั้งที่ตอนนี้กลางวันแสงแดดสาดส่องให้แสงเพียงพอ แต่ใต้โต๊ะมืดจนมองไม่เห็น ผมว่ามันแปลกดีแล้วโต๊ะเรียนนี้เป็นของใคร
ขณะที่ลูกข่างเดินกลับไปโต๊ะเรียน ในเงามืดกลืนการมองเห็นใต้โต๊ะเรียนหนึ่งตัวยังเป็นปริศนา ของบางอย่างกลิ้งออกมาตกลงพื้นไม่มีใครมองเห็นเพราะมันบังตาไว้ ปากกาเมจิกสีแดงกลิ้งมาที่ขาโต๊ะลูกข่างรอเวลาเขาเห็นพร้อมเก็บมันขึ้นมาเมื่อสายตาจับจ้องเห็นมันในเวลาเหมาะสม
ช่วงพักกลางวัน
“ขอบคุณนะครูนันทนินทร์ที่ช่วยอีกแรง” ครูชฎาพรเดินเข้ามาตรวจดูอาการของนักเรียนก่อนที่นักเรียนจะพักกลางวันอีกไม่ถึงยี่สิบนาที ปกติเวรอาหารกลางวันครูทุกคนแค่ตักอาหารเพิ่มความสะดวกให้นักเรียนเท่านั้น ไม่ได้ลงมือทำเพราะโรงเรียนมีแม่ครัวจำนวนมากอยู่แล้ว
ฉันเปิดดูหม้อรวมใบใหญ่พบว่าแม่ครัวทำข้าวผัดกุ้งไว้ ฉันแปลกใจว่าไม่ผัดใส่ผักรวมกันเหรอ ทำไมต้นหอม แครอทหั่นเต๋าแยกให้ตักเองล่ะมันดูเหมือนไลน์อาหารมากไปหรือเปล่า เอาเถอะนักเรียนกินได้ก็ดีไประดับหนึ่ง แม้คำว่ากินเพื่ออยู่ไม่ใช่อยู่เพื่อกินจะย้ำตลอดไป แต่ใช้ได้กับอาหารดีมีคุณภาพไม่เน่าเสีย ใช่ว่ากินไม่สนใจความเป็นไป
“อีกยี่สิบนาทีขึ้นไปดูนักเรียนกันต่อเถอะ” ฉันเรียกครูนันทนินทร์ขึ้นไปดูนักเรียนบนห้องก่อน หากปล่อยไว้ลำพังเด็กเล่นกันแล้วบาดเจ็บ คนที่โดนสวดยับก่อนคือครู ลามไปถึงผู้ปกครองจบที่ติดทัณฑ์บน โรงเรียนนี้ถือว่างานไม่หนักแต่ดุดันต่อแรงกดดันได้ดีตามนิสัยรักเด็กมากของผู้อำนวยการ
เวลาต่อมา
“ฉายหลิงลงมาเร็วจัง”
ผมนั่งอยู่ในโรงอาหารช่วงใกล้หมดเวลาเรียนคาบที่สี่ของทุกห้องในอาคารประถมศึกษา ผมไม่มีสอนคาบก่อนพักกลางวันก็เลยลงมาสั่งอาหารกับแม่ค้าก่อน ผมชอบสปาเกตตี้เบค่อนผัดพริกแห้ง สั่งทีละสามจาน อีกหนึ่งชามเป็นน้ำซุป ผมบอกแล้วว่าผมเป็นคนติดกินน้ำซุปมาก โซเดียมจะถามหาผมก่อนถึงวัยอันควรไหมเนี่ย
ระหว่างผมกินไปได้คำสองคำ ครูโลมาและเพื่อนครูลงมา ครูเขาไม่ได้อยู่เวรตักอาหารช่วงกลางวัน ลงมาแบบไม่ต้องกังวลอะไร ไม่ต้องห่วงเวรหรือหน้าที่อะไรตอนนี้ วันนี้ผมขอนั่งกินคนเดียวสบายใจแล้วกัน ผมทักครูโลมาแล้วกินอาหารต่อทันที
“ครูตักให้ผมเยอะ ๆ นะครับ”
ก้านไม้เป็นเด็กคนหนึ่งชอบเข้าหาครูน่ารักและใจดีมาก ต่อรองขอให้ตักอาหารใส่จานเยอะ ๆ แต่ผมเข้าใจว่าครูเขาเป็นห่วงกลัวนักเรียนกินไม่หมดแนะนำให้กินจานก่อนหน้าหมดแล้วค่อยมาเติม ผมได้อาหารแล้วรีบไปนั่งกับลูกข่างทันที
“ครูนันทนินทร์ ครูว่ามันแปลก ๆ ไหม”
“อะไรล่ะ”
ครูนันทนินทร์แปลกใจเล็กน้อยเมื่อครูชฎาพรกวักมือให้ฉันมาดูในหม้อ แล้วเธอบอกว่ามีอะไรผิดปกติ ฉันสังเกตดูพบว่าสิ่งที่ผิดปกติคือมีของบางอย่างในหม้อใหญ่หายไปหมดจนไม่เหลือว่าผสมรวมกับข้าว สิ่งที่หายไปคือกุ้งแก้ว ทั้งที่แม่ครัวผัดใส่ไม่หวงของ จะว่าโรงเรียนโกงอาหารกลางวันไม่ได้หรอก ผู้ปกครองรู้ด่ายับไม่เหลือชิ้นดียิ่งผู้ปกครองบางคนความคิดเป็นเจ้าของโรงเรียนแล้ว
“กุ้งหายไป...”
“ฉันว่าพวกเราเจอดีแล้วล่ะ”
“แกติดจากน้องเวกเตอร์หรือไง รายนั้นยิ่งมีปัญหากับทุกคนอยู่แล้ว” ฉันไม่อยากให้เพื่อนสนิทของฉันคิดอะไรเหนือความเป็นจริง ของแบบนี้ไม่มีในโลก ไสยศาสตร์ถูกแต่งเติมเสริมจินตนาการเท่านั้น แต่มันก็น่าแปลกนะที่กุ้งหายไปอย่างไร้ร่องรอย เท่ากับผัดข้าวเปล่าโกงนักเรียนไปแบบนั้น
“ไม่กินข้าวนักเรียนบ้างเหรอ”
ครูโลมาเดินเข้ามาวางจานข้าวผัดให้ผม ผมปฎิเสธอย่างสุภาพเพราะผมไม่กินของนักเรียน อาหารของครูกับนักเรียนแบ่งส่วนกันแล้ว ผมจะไปแย่งก็ดูไม่ดีหรอก ผมหากินเองได้อยู่แล้ว
“ครูกินข้าวผัดเปล่า ๆ เหรอครับ”
ครูโลมาแปลกใจกับสิ่งที่ฉายหลิงสงสัย ผมจับช้อนส้อมคุ้ยข้าวไปมาทั่วจาน ผมรู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติเพราะตอนแจ้งและตอนได้ต่างกันเห็นได้ชัดมาก ผมว่ามันไม่แน่ใจแล้วล่ะว่าสิ่งที่ผมเห็นคืออะไร
“ครูจำได้นะว่าวันนี้กลางวันเป็นข้าวผัดกุ้งแล้วกุ้งหายไปไหน”
“ดีแล้วครับ ผมแพ้กุ้งกินไม่ได้อยู่แล้ว”
ครูโลมาพยายามหากุ้งแต่ไม่พบในจาน หรือผมตักไม่โดนกุ้งกันแน่หรือมันไม่มีตั้งแต่แรกแล้ว น่าแปลกเหมือนกันนะหรือแม่ครัวลืมใส่มา
“ครูโลมาครับบบ”
ผมตกใจแทบจะดีดช้อนส้อมขึ้นกลางอากาศตามเสียงตะโกนของนักเรียนไม่ทันตั้งตัว ผมบอกให้นักเรียนช่วยตั้งสติค่อย ๆ พูดออกมาว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วผมได้รับเรื่องน่าตกใจถึงกับขีดเส้นตาย
“งั้นผมรับจบเรื่องนี้เองครับ”
ผมพอจะดูอาการของนักเรียนได้ อาการนี้ร้ายแรงถึงตายได้ ผมพอจะทำให้อาการทุเลาก่อนรถพยาบาลจะมาถึง ผมขอจัดการเรื่องนี้ให้เห็นว่าผมพอช่วยคนได้ อาการนี้ผมถือว่าไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ และไม่ใช่อาการมาหลอกเพื่อนได้
ช่วงเย็น
ปอนด์กลับมาที่บ้านพร้อมกับทุกคน ผมเข้าไปประกอบอาหารพักหนึ่งแล้วหยิบออกมาเสิร์ฟให้กับทุกคน เวลาผมตั้งใจทำอะไรผมมักใส่ความอร่อยและความใส่ใจเสมอ เช่นเดียวกับตอนนี้ ผมหยิบจานข้าวผัดกุ้งและชาเขียวไวท์มอลต์เสิร์ฟให้บล็อกตี้เป็นกรณีพิเศษ
“นายชอบคิดว่าเราติดคาเฟอีนขนาดนั้นเลยเหรอ” ผมไม่เข้าใจว่าทำไมปอนด์เอาใจใส่ผมมากขนาดนี้ ทำชาเขียวไวท์มอลต์ให้ผมเสมอแต่ว่าผมดื่มมันแทบจะทุกวันได้แล้ว การทานอาหารเดิม ๆ ทำให้ผมรู้สึกเอียนเหมือนกันเพราะลิ้นสัมผัสรสชาติอาหารเดิม ๆ จนคุ้นเคยแล้ว ผมอยากทานอะไรใหม่ ๆ ล้างคอบ้าง
“บล็อกตี้บอกเองนี่ว่าชอบกินอะไรก็จะกินแทบทุกวันไง”
“เราบอกแบบนั้นเหรอ” ผมไม่รู้ว่าผมเคยบอกปอนด์ตอนไหนว่าผมชอบกินอะไรแล้วจะกินมันแทบทุกวัน ที่ผมชอบเพราะมันรสชาติดีไม่มีติ ใจจริงผมชอบไวท์มอลต์อยู่แล้วแต่กินบ่อยแบบนี้ หน้าผมจะกลายร่างเป็นไวท์มอลต์เข้าไปทุกทีแล้ว
“ถ้าบล็อกตี้ไม่ชอบเราเว้นระยะให้ก็ได้นะ” ทำไมผมรู้สึกว่าปอนด์เหมือนยัดเยียดให้ผมดื่มมันเสมอ ทุกวันราวกับจะเปลี่ยนร่างกายผมให้เป็นชาเขียวไวท์มอลต์เข้าไปทุกทีแล้ว ผมอาจจะคิดมากไปเองแหละแต่ถึงยังไงผมต้องพูดกับปอนด์ตรง ๆ จะได้ไม่มีปัญหากัน
“เราเข้าใจแล้วบล็อกตี้”
ผมไม่ได้น้อยใจที่เขาไม่กินดื่มของที่ผมทำ แค่มันเหมือนทุกวันทุกประการคุ้นลิ้นจนเบื่อแล้วเท่านั้น
“ลูกข่าง ช่วงนี้ทำไมไม่ค่อยคุยกับพี่เลยล่ะ” ผมสงสัยว่าลูกข่างเป็นอะไรคุยกับผมน้องนิดไม่แพ้บล็อกตี้ หรือเขาติดเพื่อนในห้องเรียนล่ะ ผมจำได้ว่าน้องเขาสนิทกับก้านไม้ เดี๋ยวนี้ติดเพื่อนแล้วไม่คุยกับเราสองคนไม่ได้นะ
“ติดเพื่อนก็บอกมาเถอะ”
“ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ”
“ว่าแต่ชอบกินกุ้งขนาดนี้เลยเหรอ” ผมทำข้าวผัดกุ้งใช้ข้าวญี่ปุ่นดีที่สุด แล้วลูกข่างกินอย่างอร่อย ยิ้มรับทุกคำอาหารแสดงว่าผมใส่ความจริงใจมันอยู่หมัด ผมยิ้มกินไปพร้อมกับน้องแต่ทันใดนั้นผมต้องชะงักเพราะน้องบอกเรื่องที่เกิดขึ้นตอนกลางวัน
“อะไรนะ”
“มันน่าแปลกนะครับที่ผมกับก้านไม้กินกุ้งเยอะกว่าคนอื่นเต็มจานทั้งที่ไม่มีนักเรียนคนไหนกินมัน” ผมกับบล็อกตี้หันมามองหน้ากันอย่างไม่นัดหมาย ผมไม่รู้ว่าน้องพูดอะไรทำไมผมรู้สึกขนลุก อาหารที่น้องกินจะไม่ยุติธรรมกับคนอื่นได้ยังไง มันดูแปลกมากเลยเหมือนกุ้งลอยมาให้ลูกข่างกินเท่านั้น
“งั้นกินเยอะ ๆ นะลูกข่าง”
ผมไม่พูดอะไรมากกลัวจะสร้างความหลอนมากกว่าเดิม ผมมองไปด้านข้างมือขวาของน้องมันมีอะไรบางอย่างทับไว้ พอน้องยกมือออกเองพบว่าสิ่งที่ผมเห็นคือวงกลมสีแดงเส้นขาดหายไม่เต็มวง ทำไมมันปรากฏบนโต๊ะอาหารทั้งที่ไม่ใช่ลายพื้นโต๊ะ บ้านผมโต๊ะอาหารพื้นขาวล้วน มันมาจากไหน
ในคืนนั้น
บล็อกตี้นอนอยู่บนเตียงหลังปิดไฟแล้ว ผมไม่ได้กลัวความมืดแต่ระแวงตลอดเวลา ผมมีผ้าปิดตาปิดไว้เป็นเซฟโซน เวลาผมเผลอลืมตามาจะได้ไม่เห็นอะไรควรเห็น ผมค่อย ๆ ข่มตาหลับไปจะได้ผ่านช่วงเวลายาวนานไป เข้าสู่โหมดการนอนจริงจังตื่นเช้ามาอย่างสดใส แต่ดูเหมือนทุกคืนคำขอผมไม่เป็นไปตามต้องการ
“เอ๊ะ...”
ผมยืนอยู่หน้าบ้านตนเอง ผมเห็นรถยนต์คันหนึ่งวิ่งมาหยุดตรงหน้าผมเปิดประตูออกเอง ผมขนลุกมากเพราะมันไม่มีคนขับและคนในรถยนต์ มันเหมือนต้องการให้ผมนั่งไป ผมขึ้นไปก่อนที่รถจะวิ่งไปตามถนนในหมู่บ้านทางหลักที่เชื่อมทุกซอยเข้าด้วยกัน แต่ทางไกลด้านหน้ามีกำแพงกั้นไว้เรียกว่าสุดทางแล้ว มันวิ่งไปผ่านซอยหกแต่พอเข้าซอยเจ็ด ผมเริ่มเห็นภาพรอบข้างเลือนหายขาดเหมือนสัญญาณโทรทัศน์หายไป พอเข้าซอยแปลดภาพเริ่มมืดพอสุดทางทุกอย่างดำมืดสนิท
“เชี่ยย”
ผมตกใจเมื่อผมอยู่ห้องเรียนปิดตายมีเพียงโต๊ะเก้าอี้เสียหายพัง มีเพียงโต๊ะเก้าอี้หนึ่งตัวอยู่กลางห้อง ผมถูกมัดไว้ ทุกอย่างเหมือนต้องการฆาตกรรมผมให้ตาย ผมกรีดร้องให้คนช่วยแต่ไม่มีใครได้ยิน ทุกอย่างไร้การช่วยเหลือ ผมเห็นอะไรอยู่ทางขวารูปร่างเหมือนมนุษย์ก็ไม่ใช่ กางขาเหมือนตามระเบียบแต่ความจริงมันคือวงเวียน
ฟังไม่ผิดหรอกมันคือวงเวียนที่เอาไว้วาดวงกลม
ผมเห็นวงเวียนกลางปักปลายเท้า อีกด้านกางแล้ววาดวงกลมให้หมุนไปเกือบครบรอบเห็นมันหยุดอีกฝั่ง มันคือวงกลมไม่เต็มวง ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร ก่อนที่ผมจะเห็นคำเตือนลอยแปะหน้าราวกับก่อนเริ่มฉายรายการอะไรจะต้องมีเรตคำเตือนขึ้นก่อนเสมอ มันเตือนด้วยป้ายสามเหลี่ยมพร้อมอัศเจรีย์หลายครั้งแล้วทันใดนั้นปลายแหลมวงเวียนทิ่มแทงผมให้รู้สึกตัว
ฉึกก ฉึกกก
“อ๊ากกกกก”