1 - เสียงเรียกร้องของวงกลม
กึก กึก...
เสียงที่ดังขึ้นในห้องที่เรีกยว่าเซฟโซนของนักเรียนดังขึ้นจากนักเรียนคนหนึ่งที่นับอยู่ในห้องเพียงลำพัง เด็กคนหนึ่งในชุดนักเรียนกางเกงน้ำเงิน นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้มีพนักพิงด้วยแผ่นไม้เล็ก ๆ มองดูกระดาษที่ลงดินสอกับรูปวาดเรขาคณิตรูปหนึ่งที่เหมือนมันจะแตะตาแค่รูปแบบนี้แบบเดียว มันคือรูปที่ทุกคนต้องเห็นมันอย่างคุ้นตา
“ลูกข่าง... ชอบวาดวงกลมเหรอ”
เสียงของครูท่านหนึ่งหญิงในวัยรุ่นต้น ๆ อายุยิ่สิบกว่าเรียกได้ว่ากำลังเป็นครูใหม่ไฟแรงแม้จะอยู่มาหนึ่งปีแต่ก็ยังถือว่าไฟแรงใช้ได้ เธอชื่อครูชฎาพร เป็นครูสอนคณิตศาสตร์ประจำโรงเรียนนี้ เธอเดินเข้ามาด้วยฝีเท้าเบาดั่งอุ้งเท้าแมวจะได้ไม่รบกวนเด็กคนนี้ที่กำลังนั่งอยู่ในห้องเซฟโซน ฉันได้รับแจ้งจากครูประจำวิชาว่าลูกข่างมีปัญหาบางอย่างจนต้องพาตัวออกมาอยู่ในห้องเซฟโซนที่ทางโรงเรียนจัดให้
“ครับครู”
“ตั้งแต่ครูสอนเรื่องเรขาคณิตมา ดูท่าทางเธอจะชอบวาดวงกลมมากกว่ารูปอื่นเลยนะ มันมีเหตุผลอะไรที่เธอคิดไว้เป็นพิเศษหรือเปล่า” ฉันเองสังเกตมาสักพักแล้วว่าลูกข่างจะชอบวาดรูปลงในกระดาษมาก แล้วรูปที่เขาวาดส่วนใหญ่จะเป็นวงกลม จินตนาการของเด็กถือว่าเป็นปลายเปิดที่สามารถมองเห็นความคิดและตัวตนผ่านรูปวาดได้เลย แต่ว่าฉันสังเกตมาสักพักแล้วว่าทำไมเด็กคนนี้ถึงวาดวงกลมไม่เคยเต็มวง ถ้าวาดไม่เป็นก็คงไม่ใช่เพราะมันรูปที่วาดง่ายไม่แพ้กับรูปอื่น
“ผมเหมือนเห็นเขาอยู่กับผมตลอดเวลา”
“ลูกข่าง เธอหมายความว่ายังไง” ฉันตกใจเพราะการที่เขาพูดเหมือนเห็นอะไรที่ฉันกับเขาเห็นไม่เหมือนกันบางทีฉันก็ขนลุกเหมือนกัน แต่ว่าผู้หญิงแบบฉันเข้มแข็งระดับหนึ่งทั้งภายนอกภายใน แค่แปลกใจไม่คิดว่าเด็กตรงหน้าจะพูดออกมา
“ผมว่าวงกลมมันเป็นสิ่งมหัศจรรย์เหมือนกันนะครับ ยิ่งกว่าบูมเมอแรงไม่ว่าจะวนเส้นตรงจุดไหนมันก็จะวนกลับมาจุดเดิม”
“แต่รูปอื่นก็กลับมาได้เหมือนกันนะ”
“รูปอื่นมันมีเหลี่ยมหักมุมเหมือนชีวิตที่คาดไม่ถึงและไม่คิดว่าจะเกิด แต่วงกลมไม่มีเหลี่ยมวนกลับมาที่จุดเดิม ก็เหมือนทิ้งปัญหาไประหว่างทางแล้วครับ”
“แต่ครูว่าการที่มันกลับมาจุดเดิม ก็เหมือนเอาปัญหากลับมาที่เดิมนะ ก็เหมือนการมูฟออนเป็นวงกลม พูดง่าย ๆ คือเหมือนทิ้งเรื่องไม่สบายใจแต่ก็ไม่...” ฉันไม่รู้ว่าเด็กประถมสี่อย่างลูกข่างจะเข้าใจคำนี้ของผู้ใหญ่ไหม แต่ถึงยังไงเด็กทุกวันนี้ความคิดไปไกลกว่าผู้ใหญ่แบบฉันแล้ว ฉันว่าเขาอาจจะรู้ก็ได้ว่ามันหมายถึงอะไร
“ว่าแต่ทำไมวงกลมของเธอไม่เต็มวง”
“ผมเห็นเขาไม่ไปไหน เหมือนเส้นวงกลมที่หายไปคือสาเหตุการ...”
“เดี๋ยว อะไรกันน่ะ”
ผมยังไม่ทันได้พูดอะไร ผมได้ยินเสียงเปิดประตูดังขึ้น ผมหันหลังไปพบว่าพี่ปอนด์เข้ามาแบบไม่ให้ซุ่มให้เสียง ทั้งที่ก่อนหน้าพี่ตกลงกับผมแล้วว่าจะอยู่รอแต่ทำไมพี่เขาบุกเข้ามาในห้องเซฟโซนของนักเรียนแบบนี้
“ปอนด์ ครูว่าเธอกำลังทำให้นักเรียนไม่เป็นส่วนตัวนะ” ฉันพอจะรู้ว่าคนตรงหน้าอย่างปอนด์นิสัยเป็นแบบไหน ถึงแม้ว่าฉันจะไม่เคยสอนในรายวิชานั้นแต่ว่าฉันรู้จากครูประจำชั้นคนเก่า หลังจากเขาจบไปได้สามปีแล้วแต่วีรกรรมยังทิ้งไว้ให้คนที่โรงเรียนนี้
“แล้วครูเรียกเด้กมาคุยในห้องกว้างแบบนี้ ไม่คิดเหรอว่าจะมีคนแอบฟังหรือแอบติดเครื่องดักฟังไว้ตรงไหนก็ได้”
“ครูจะทำแบบนั้นทำไม เธอกำลังกล่าวหาครูนะ” ฉันไม่ยอมให้ใครมากล่าวหาฉันแบบนี้อยู่แล้ว ฉันเป็นครูมีความจริงใจและจรรยาบรรณไม่คิดทำอะไรเป็นการทรยศวิชาที่เรียนมาหรอก เขากำลังกล่าวหาไม่มีหลักฐานเมื่อเขาพูดอะไรที่ทำให้ฉันไม่พอใจ
“ครูนั่นแหละฆาตกร”
“พี่ปอนด์ พี่กำลังพูดเรื่องอะไร...” ผมตกใจมากเพราะผมไม่รู้ว่าพี่ของผมเสียสติหรือเมาก***าที่พี่เคยเสพก่อนกลับตัวหรือไม่ สิ่งที่พี่ผมพูดคืออาการสะสมหรือว่าเป็นเรื่องจริง ผมมึนไปหมดแล้วแล้วทำไมพี่ต้องกล่าวหาครูชฎาพรว่าเป็นฆาตกรด้วย
“ไม่มีอะไรหรอกลูกข่าง ครูว่าพี่เธอคงยังไม่ได้สติ”
“ผมไม่ได้เมาก***าและหลอนไปเอง ผมจะบอกให้ทุกคนรู้ว่าภายใต้ความมายาของครูกำลังทำร้ายลูกศิษย์เพราะความใจร้อนของคุณเอง” ฉันพยายามใจเย็นมากที่สุดเพราะนี่มันแค่ปกติ ขนาดฉันโดนผู้อำนวยการต่อว่าฉันยังอดทนได้เลย เรื่องแค่นี้ทำไมฉันจะอดทนไม่ได้ แต่ว่าทำไมปอนด์พูดเหมือนไปรู้อะไรแล้วมากล่าวหาคนอื่นมั่วไม่ตรงเป้าหมาย ฉันสามารถป้องหมิ่นประมาทได้เลยนะ แต่ถึงยังไงก็ตาม ความใจเย็นและข่มอารมณ์ต้องมาก่อนเสมอต่อให้สถานการณ์ตรงหน้าจะแย่ก็ตาม
‘เขากำลังพูดถึงอะไร...’
หนึ่งเดือนก่อน
ใจกลางเมืองแห่งหนึ่งแถวหมู่บ้านคอนกรีต หมู่บ้านจัดสรรที่ทุกบ้านจะมีสองชั้นบอกเลยว่าแถวนี้ถือว่าทันสมัยและตอบโจทย์คนเมืองที่คิดจะเช่าอยู่ที่นี่เสมอ เช่นเดียวกับเจ้าของบ้านหลังนี้ ผู้ชายวัยรุ่นอายุยี่สิบสองผู้เป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ แม้ว่าจะเป็นวัยรุ่นแต่เรื่องการดูแลครอบครัวถือว่าดีระดับหนึ่ง
ผมชื่อปอนด์ ผู้ชายตัวผอมสูงใส่ต่างหูวงกลมเหมือนมนุษย์กุ๊ย ถึงหน้าตาผมจะเหมือนแบดบอยขี้ยา แต่นิสัยและการกระทำของผมสวนทางมาก ผมเป็นผู้ชายที่ไม่ได้ชอบหาเรื่องใครก่อน ออกแนวรักครอบครัวและดูแลเด็กเป็นอย่างดี เอ็นดูไม่ให้เด็กเห็นพฤติกรรมแย่ ๆ ที่ผมแสดงออกมา กลัวจะเกิดพฤติกรรมเลียนแบบจากความไม่ตั้งใจของผม เรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก
“ลูกข่าง พี่ทำอาหารเสร็จแล้วนะ”
ผมจะเป็นคนหนึ่งที่ดูแลและให้ความอบอุ่นเป็นเซฟโซนที่ดีให้กับลูกข่าง น้องชายของผมที่ผมรักและเป็นเหมือนลูกชายคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ ผมทำอาหารเช้าเสร็จเรียกน้องชายผมลงมาตามเวลาตารางชีวิต แต่ว่าบ้านหลังนี้ผมไม่ได้อยู่คนเดียวหรอก ยังมีอีกคนที่ผมถือว่าให้ความรักเท่ากันแบบไม่แบ่งแยกใครเลย
“บล็อกตี้”
บล็อกตี้เป็นแฟนของผมและเขาเป็นผู้ชายอีกคนที่เข้าใจผมมากในระดับหนึ่ง บางทีผมก็เห็นรอยยิ้มของเขาในทุก ๆ วันแสดงความยินดีกับสถานการณ์ตรงหน้าแต่ความจริงรอยยิ้มของผมกับเขาแทบเสแสร้งกันมาก ผมไม่ได้หมายความว่าชีวิตรักของผมมีปัญหา แต่ปัญหามันอยู่ที่ผมเพราะตอนนั้นผมตัดสินใจไปกับคนอื่นและทำร้ายจิตใจคนในบ้านเยอะมาก แม้ผมจะรู้สึกผิดแต่กลับไปตอนนี้ผมก็ไม่พร้อมรับมือกับสถานการณ์ ผมยังไม่พร้อมกลับไปขอโทษเพราะทุกอย่างกำลังไปได้ดีแล้ว ไม่อยากมาเสียใจอะไรตอนนี้
“เราฝันร้าย...”
“อีกแล้วเหรอ”
ผมแปลกใจว่าพักหลังทำไมบล็อกตี้ฝันร้ายแบบไม่มีสาเหตุเลย ปกติตั้งแต่ผมรู้จักกับเขามา เขาก็เป็นคนหน้านิ่งและไม่มีพิษภัยที่จะไปทำร้ายใครเลยแต่ทำไมหลังจากนี้สีหน้าดูเปลี่ยนไปและสภาพโทรมเหมือนคนไม่ได้นอนตลอดชีวิต ผมเคยถามเขาแล้วว่าฝันร้ายเรื่องอะไรและคำตอบที่ผมได้รับก็มักจะเป็นเรื่องเดิม ๆ ที่ว่ามีใครบางคนจ้องจะทำร้ายลูกข่างและชีวิตพวกเรา
“ผมว่าผมตอบอะไรคุณไม่ได้มากหรอก”
“เราว่าเราจะไปปรึกษาหมอจิตแพทย์ เราไม่สนนะว่าใครจะมองว่าการไปหาจิตแพทย์จะต้องเป็นคนบ้า ต่างคนต่างมีเรื่องในชีวิตไม่เหมือนกัน” ผมกับปอนด์ถือได้ว่าคบกันมาไม่เคยมีปัญหาชนิดที่ทะเลาะกัน มีแค่เรื่องเล็กน้อยที่ไม่เล็กน้อยเลย ทั้งฝันร้ายและเรื่องราวประหลาดที่ผมหาคำตอบไม่ได้ ขนาดปอนด์ยังมีเรื่องคาใจเหมือนผมเช่นกัน
“เอาเถอะ เราผิดเองที่...”
“เรื่องนั้นไม่ใช่ความผิดคุณหรอก มันผิดที่เราก็ได้ที่เข้ามารู้จักนายจนทำให้นายหนีออกจากบ้านมาหาเรา เราเข้าใจว่าความรักครั้งแรกมันมีอะไรที่คาดไม่ถึง”
“ไม่เอาสิ ไม่ใช่ความผิดของบล็อกตี้นะ” ผมไม่อยากให้ผมหรือเขามาโยนความผิดกันไปมาและตอนนี้ทุกอย่างก็เกิดขึ้นไปแล้ว ผมอยากทำปัจจุบันให้ดีที่สุด การประคองความรักของบล็อกตี้และลูกข่างให้คงที่และสมดุลกันโดยไม่ทิ้งใครเป็นการถ่วงน้ำหนักเด็ดขาด
“ช่างเถอะ เราไม่ได้โกรธ นายก็ไม่ได้โกรธ งั้นเราก็ไม่จำเป็นต้องเถียงกันแล้วล่ะ”
“ปกติเวลาบล็อกตี้อารมณ์ไม่ดี ผมก็ทำโยเกิร์ตให้คุณเสมอไง” ผมรู้ใจคนที่ผมรัก เวลาเขาไม่สบายใจร่างกายต้องการความหวานเสมอ ผมทำโยเกิร์ตและผลไม้สดให้บล็อกตี้เป็นอาหารเช้าเสมอ อาหารที่มีประโยชน์ผมก็เต็มใจทำให้เสมอ ผมโรยกาโนล่าเพิ่มให้จะได้ประโยชน์มากขึ้น ผมจะใส่ใจและทำอาหารดี ๆ ให้คนในบ้านเสมอ ราวกับพ่อบ้านที่มีความรู้มากที่สุด แต่ความรู้ของผมไม่รู้จะมีประโยชน์ทุกเรื่องไหม เพราะผมรู้สึกผิดมาหลายครั้งแล้ว
เวลาต่อมา
ผมกำลังปิดบ้านและตรวจดูก่อนออกอยู่เสมอ ผมจะเป็นคนรอบคอบมากและปิดประตูบ้านไม่ให้ใครแอบเข้ามาเวลาผมออกไปข้างนอก แทบจะเป็นผีเฝ้าบ้านไปแล้ว แต่นิสัยของผมคือเป็นคนขี้ระแวงระดับหนึ่งกลัวใครมาทำอันตรายผมและทุกคนในบ้าน ผมก็ต้องปลอดภัยไว้ก่อน บ้านผมมีวงจรปิดซ่อนไว้ในที่ลับตาที่สุด เพราะฉะนั้นเกิดอะไรขึ้นผมจะรู้ก่อน กล้องอาจจะจับได้ทั้งคนเป็นและคนตายก็ได้
“ไปกันเถอะปอนด์”
ผมกับปอนด์ทำงานที่เดียวกัน เวลาเดินทางไปไหนมักจะไปด้วยกันเสมอและตอนเช้าผมจะต้องแวะไปส่งลูกข่างให้ถึงโรงเรียน และต้องถึงมือครูประจำชั้น ไม่รู้ว่าผมกับปอนด์รักลูกชนิดไข่ในหินหรือเปล่า บางทีความระแวงมันควบคุมจิตใจพวกเราไปหมดเลย ผมไม่รู้ว่าผมทำแบบนี้ถูกต้องกับทุกคนแล้วเหรอมันบอกไม่ได้เลย
“ปอนด์ เราว่ารถคันหลังเรามันแปลกมากนะ” ผมมองกระจกมองหลังที่อยู่เหนือหัวผมไปอีกหน่อย จะว่าไปผมสงสัยมาสักพักแล้วว่ารถยนต์สีดำไม่มีป้ายทะเบียนใครเป็นเจ้าของ ผมมองไม่เห็นเลยเพราะเขาติดฟิล์มทึบแสงทั้งคันรถผิดมาตรฐานการเป็นเจ้าของรถยนต์ ผมเห็นรถคันนี้ตามผมมาหลายวันแล้ว ผมไม่รู้ว่าเขาเป็นใครถึงตามมาแต่ดูแล้วไม่น่าไว้ใจเลย
“จริงด้วย เราว่ามันแปลก ๆ”
ผมพยายามตั้งสติไม่เตลิดตื่นตูม ผมขับรถให้เร็วขึ้นพร้อมทิ้งระยะห่างเปลี่ยนเลนซ้ายขวาดูท่าที แต่ไม่ว่าผมจะเปลี่ยนไปทางไหนเขาก็เปลี่ยนตามเหมือนคนขับเหมือนผมควบคุมทุกอย่างยันจิตใจ ผมว่ามันเริ่มมีอะไรไม่ชอบมาพากลแล้วล่ะ ผมต้องเปลี่ยนหนีและทำให้คนที่ตามมาไม่สงสัย
“ไม่ต้องกลัวนะบล็อกตี้ เราจะไม่ให้มันตามมาเลย” ผมคิดอะไรพิเรนทร์และไม่สนว่าจะมีเจตนาดีหรือไม่ ผมบอกให้บล็อกตี้ใส่ถุงมือและก่อนเริ่มลงมือช่วยปิดตาลูกข่างก่อนจะได้ไม่เห็นพฤติกรรมอันสะพรึงกลัวแต่จำเป็นต้องทำเพราะผมไม่ไว้ใจสถานการณ์ตอนนี้
กึก ๆ
ผมตกใจเพราะผมต้องทำอะไรบางอย่างในสถานการณ์เฉพาะหน้าและเป็นอะไรที่ผมไม่เคยทำมาก่อนในชีวิต นั่นคือการโปรยตะปูเรือใบลงบนถนนให้รถคันหลังที่ตามมาโดนเข้าเต็ม ๆ ผมตกใจแต่ต้องตั้งสติห้ามหันไปทำได้แค่ยื่นมือออกนอกรถแล้วโปรยลงยิ่งกว่าโปรยอาหารนก ผมหลับตากลัวแล้วทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมจะได้สร้างแต้มบาปหนักกว่าเดิมหรือเปล่า
“คุณไม่ต้องกลัวนะบล็อกตี้ การทำบาปกับคนเลวถือว่าไม่นับคะแนนและคุณจะไม่ตกนรกอยู่แล้ว” ผมไม่รู้ว่าปอนด์อยู่หน้าพวงมาลัยรถยนต์แล้วอาการผีนักบิดเข้าสิงเหมือนตอนขี่มอเตอร์ไซค์ไม่ทิ้งพฤติกรรมก่อนกลับตัวหรือไง ผมขนลุกทำอะไรไม่ถูกเอาเป็นว่าสิ่งที่ผมทำขอไม่หันกลับไปดูจะดีที่สุด