2 - ส่วนของวงกลมที่หายไป
ทางด้านฉายหลิง
ผมรับหน้าที่ขัดสระว่ายน้ำของโรงเรียน วันนี้ถือว่าเป็นวันทำความสะอาดที่โรงเรียนลงวันเวลาไว้ เมื่อปล่อยน้ำออกจากสระแล้ว ผมและครูโลมาลงไปช่วยขัดสระว่ายน้ำ ล้างทำความสะอาดจะได้มีความปลอดภัย ผมต้องฆ่าเชื้อและต้องดูกระเบื้องสระว่ายน้ำ หากมีรอยแตกต้องส่งซ่อมทันที รอบก่อนนักเรียนลงสระแล้วกระเบื้องบาดเท้า ผู้ปกครองเขาไม่ได้เอาเรื่องจริงจังเท่าผู้อำนวยการหรอก สกิลด่าก็ต้องเจ้าของโรงเรียนที่นี่เลย
“เหนื่อยหน่อยนะฉายหลิง โรงเรียนนี้เธออาจจะไม่รู้ แต่ถ้ามาอยู่นาน ๆ เธอจะพบอะไรคาดไม่ถึงอีกเยอะเลย”
“ขนาดนั้นเลยเหรอครับครูโลมา” ผมเข้ามาฝึกประสบการณ์สอนในโรงเรียนนี้ได้พักหนึ่งแล้ว ผมไม่เคยรู้เลยว่าโรงเรียนนี้จะมีอะไรที่ดูเป็นผลกระทบสภาวะทางจิตใจมาก แต่ไม่ว่าจะยังไงผมก็พร้อมจะสู้กับมัน แม้ว่าจะเจออะไรเป็นอุปสรรคตั้งแต่แรก
“เอาจริงนักศึกษาฝึกสอนก็เหมือนคนนอก จะรู้เรื่องราวในโรงเรียนทุกเรื่องก็ไม่ได้หรอก เอาเป็นว่าเธอรู้แค่ตอนที่ฝึกอยู่ที่นี่ก็แล้วกันนะฉายหลิง” ผมอยากบอกฉายหลิงให้เขารู้เฉพาะตอนที่มาฝึกประสบการณ์ที่โรงเรียนนี้เท่านั้น เรื่องบางเรื่องผมไม่อยากให้เขารู้แล้วเอาไปพูดต่อกับนักศึกษากันเอง ผมว่าเขาควรอยู่ในขอบเขตของตัวเองดีที่สุด
“ที่นี่ไม่อะไรมาก แต่ก็ใช่ย่อยไม่แพ้กัน” ผมฟังจากปากครูโลมาแล้ว มันทำให้ผมเหมือนตื่นตัวพร้อมรับมือตลอดเวลา แต่ไม่ว่าเหตุการณืไหนจะเข้ามาหาผม ผมก็จะตั้งรับพร้อมตั้งสติก่อนสตาร์ทเสมอเพราะถ้าผมทำอะไรแบบไม่คิด เปลี่ยนอนาคตผมได้ทันที
“ครูโลมาครับ ตรงนี้มันรอยอะไรครับ ทำไมผมขัดไม่ออก” ผมพยายามขัดรอยสีแดงตรงขอบสระแล้วแต่มันไม่ออก ผมคิดว่ามันเหมือนคราบอะไรบางอย่างที่เหมือนน้ำสีแดงเหลวจากร่างกายมนุษย์ ผมไม่รู้ว่าครูโลมาเห็นแล้วจะลงความเห็นตรงกันไหม แต่ผมเห็นแบบนี้ใจคอไม่ดีเลย
“เอ่อ... เด็กล้มหัวฟาดขอบสระแต่ไม่เป็นไรมาก”
“ผมเห็นแบบนี้ถือว่าไม่ใช่เรื่องเล็กนะครับ” ผมเรียนสายนี้มาจรรยาบรรณและการรักศิษย์ถือว่าเป็นเรื่องที่ต้องย้ำเตือนเสมอ เห็นแบบนี้แล้วผมไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นเมื่อไหร่ แต่ถ้าตอนนี้เขาปลอดภัยนี้ก็ถือว่าแต้มบุญยังมีอยู่ แต่เหตุการณ์เกิดขึ้นไปแล้ว ถือว่าเป็นกรณีตัวอย่างจะได้หาวิธีป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีก
“เธอนี่รักเด็กเหมือนกันนะครับ”
“ผม รัก เด็ก มากเลยครับ ผมก็ต้องดูแลความปลอดภัยอย่างดี ผมเคยมีน้องมาก่อน แต่ว่าเขาไม่อยู่แล้ว”
“เธอหมายความว่าเขาไม่อยู่บนโลกนี้แล้วเหรอ” ผมไม่รู้ว่าผมไปรับรู้เรื่องราวของนักศึกษาเองโดยที่ผมไม่ได้ตั้งใจถามหรือเปล่า แต่ว่าผมได้ยินแล้วสงสารเหมือนกัน ไม่แปลกที่เขาจะรักเด็กชนิดห้ามใครเข้ามาทำร้าย มันก็เป็นผลดีที่มนุษย์คนหนึ่งทำกัน
“เรื่องที่ผ่านไปแล้ว ขอให้คนที่ยังอยู่ทำใจเพื่อต่อลมหายใจจนกว่าจะถึงคราวเราล่ะ”
“มันก็จริงครับ ไม่มีใครเป็นอมตะตลอดไปหรอก” ผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่ได้เพ้อฝัน และเชื่อเรื่องจริงมากกว่า ถ้าผมยังมีลมหายใจอยู่ ผมจะทำทุกอย่างให้จบแบบไม่ค้างคาค่อยจากไป แต่คนแบบผมกลัวตายไม่รีบไปไหนหรอก ร่างกายผมยังแข็งแรง พร้อมเอาแรงสู้ต่อไปผมถือคติว่าวันพรุ่งนี้จะเป็นทุกวันของผมเสมอ ผมช่วยครูโลมาจัดการขัดสระว่ายน้ำ เรียกได้ว่าเป็นรุ่นพี่หน้าหล่อแต่ทำงานไม่ห่วงหล่อเลย หน้าตาก็แค่แรงดึงดูดความสนใจคนเท่านั้นแต่ถ้าดึงใจคงยาก
เวลาต่อมา
ฉายหลิงลงมาที่โรงอาหารของโรงเรียนแห่งนี้ ที่โรงอาหารไม่ได้กว้างเท่าศูนย์อาหารที่ผมชอบไปในศูนย์การค้า อาหารที่โรงเรียนผมก็พอกินได้ ดีหน่อยที่โรงเรียนมอบอาหารฟรีให้นักศึกษาฝึกสอน ผมและเพื่อนที่มาด้วยกันถือว่าได้รับความเท่าเทียมจากครูประจำทุกวิชา งานไม่หนักมากแต่ก็มาเรื่อย ๆ ผมทนได้ถ้ามันสมเหตุสมผล
“ฉายหลิง มานั่งกับครูก็ได้นะ” ครูโลมาเรียกผมให้มานั่งทานอาหารกลางวันด้วยกัน ถือว่าเป็นโอกาสดีที่ผมจะได้อยู่กับกลุ่มครูด้วยกัน ผมเป็นนักศึกษายังปรับตัวเวลาเข้าโรงเรียนยังไม่ได้ เพราะตอนอยู่มหาวิทยาลัยผมนั่งกับเพื่อนไม่ได้นั่งกับอาจารย์จะได้ซ้อมไว้ก่อนมาโรงเรียนด้วยซ้ำ
ผมนั่งกับครูโลมาและเพื่อนครูเขา ผมมาอยู่ในโรงเรียนได้สักพักแล้วบอกเลยว่านักเรียนจะติดครูนักศึกษาก็ไม่แปลก เพราะพวกเขาใจดีและปล่อยเลยตามเลยบางเรื่องได้ แต่ก็ต้องเตือนตัวเองเสมอว่าอย่าไปให้ความเท่าเทียมกับระดับบุคคลมากเพราะเด็กจะไม่เกรงกลัว
“ฉายหลิงเธอชอบกินเฟรนฟรายซ์เหรอ” จะว่าไปตั้งแต่ผมรู้จักกับนักศึกษาฝึกสอนอย่างฉายหลิงมา เวลาเขาพักกลางวันจะต้องมาซื้อเฟรนฟรายซ์จำนวนมากแทบจะโกยจากนักเรียนแล้ว ผมว่าเขาดูติดมากและอีกอย่างเขาชอบกินน้ำซุปเวลาสั่งข้าวจากโรงอาหารเสมอ
“เป็นคนติดกินโซเดียมเหมือนกันนะ”
“ครับ มันเป็นของโปรดผม ผมชอบอะไรอร่อยนัวก็เลยติดถึงทุกวันนี้” ผมยอมรับว่าผมชอบกินเฟรนฟรายซ์มาก แทบจะแย่งนักเรียนได้แล้วแต่อยากอื่นผมก็คิดจะแย่งนักเรียนเหมือนกัน เวลาอยู่ในโรงเรียนประถมผมเหมือนแย่งความเป็นเด็กจากคนอื่นไปในตัว ผมผ่านช่วงเวลานี้ไปตั้งนาน ใครก็อยากย้อนเวลาจะได้หวนคิดถึง
“กินได้แต่กินมากไม่ดีนะ เรียนสุขะพละก็ต้องดูแลร่างกายมากกว่าเอกอื่นด้วย”
“ไม่จำเป็นต้องเอกพละอย่างเดียวสิครับ ไม่ว่าจะเอกไหนก็คนเช่นกันการดูแลตัวเองถือว่าสำคัญยิ่งกว่าเงินทองซะอีก” ผมเป็นคนหนึ่งมองบวกและชอบอะไรที่เป็นประโยชน์กับตัวเองอยู่แล้ว ระหว่างที่ผมกำลังทานอาหารอย่างสบายใจ ผมเห็นฟองสบู่ลอยไปมาทั่วตัวผม ผมหันขวาไปพบว่าเด็กคนหนึ่งเป่าใส่เพื่อความสนุกและอยากเล่นด้วย
“พี่ฉายหลิง”
ก้านไม้จะเป็นเด็กคนหนึ่งที่ไม่เรียกผมว่าครู เรียกเหมือนผมเป็นรุ่นพี่ในมหาวิทยาลัย ผมก็ไม่ว่าอะไรแต่ครูโลมาเตือนนักเรียนเสมอว่าบุคลากรหรือคนที่ทำงานในโรงเรียนต้องเรียกตำแหน่งเพราะพวกเขาไม่ใช่เพื่อนเล่นเหมือนนักเรียนด้วยกัน ต่างวัยต่างความคิดจะโยงเข้าหากันไม่ได้
“เดี๋ยวครูไปอาคารกิจกรรมนะครับ”
ผมบอกกับน้องก้านไม้อย่างมีมารยาท ผมยังไม่สะดวกจะเล่นกับน้องตอนนี้ ผมกำลังทานอาหารอยู่เอาเป็นว่าผมเสร็จธุระเมื่อไหร่จะแวะไปหานักเรียนก็แล้วกัน ทางโรงเรียนก็บอกเสมอว่าให้เข้าหานักเรียนอย่างมีขอบเขตห้ามสนิทมากเพราะเดี๋ยวพวกเขาจะคิดว่าเป็นเพื่อนเล่น
“เธอนี่ก็เด็กติดเหมือนกันนะ”
“ไม่แปลกหรอกครับ ครูพละแถมสอนว่ายน้ำด้วย เด็กก็ชอบเพราะมันไม่ต้องเรียนอะไรหนักหนา”
“เธอคิดว่าว่ายน้ำ เรียนพละไม่ต้องคิดอะไรมากเหรอ โยนบาส เตะฟุตบอล ว่ายน้ำแบบไม่กำหนดท่าทางตายตัว งั้นจะมีวิชานี้ทำไม”
“ความคิดเด็กเขาก็ไม่ชอบอะไรยุ่งยากไงครับ ผมว่าผมไม่เด็ดขาดพอแต่ก็จะปรับได้ ทุกวันนี้นักเรียนชอบต่อรองไม่ให้ผมสั่งการบ้าน เพื่อนผมสอนคณิตยังโดนเลย” มันก็ตลกดีนะกับความต้องการของเด็กสมัยนี้ แต่เอาเถอะโลกเปลี่ยนไปแล้ว ผู้ใหญ่แบบผมและคนอื่นต้องเปลี่ยนตาม จะได้ตามความคิดเด็กทัน ไม่อยากตกยุคและล้าสมัย
“ครูชอบความคิดเธอนะ ถ้าทำตัวดีปีหน้ามาเป็นสมาชิกในโรงเรียนนี้ดีไหม” ผมยังไม่พร้อมรับข้อเสนอจากครูท่านไหนในโรงเรียนทันทีหรอก ผมอาจจะมีความคิดไปทำอย่างอื่น ขอแค่เรียนจบและมีใบปรญญาไปต่อยอดก่อนแล้วกัน ผมไม่ใช่คนปล่อยโอกาสหลุดลอยแต่โอกาสที่ได้ต้องเหมาะสมและดีต่อใจกับผมไม่ใช่คว้าได้คว้าเลย ไม่อยากผิดพลาดทีหลังก็แค่นั้น
ทางด้านบล็อกตี้
ผมเดินออกมาจากที่ทำงาน มันเป็นงานออฟฟิศที่เงินเดือนพอประมาณแต่งานหนักใช้ได้เลยทีเดียว ผมมีเวลาทำงานสี่วันต่อสัปดาห์ตามนโยบายของบริษัทนี้ ที่นี่หัวหน้างานไม่ได้บ้าอำนาจถือว่าเป็นคนมีเหตุผล แทบไม่มีบริษัทส่วนใหญ่หลงเหลือให้เห็นแล้ว ผมถือว่าโชคดีขนาดไหนได้ทำงานดั่งสวรรค์และไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง
“อ้าวปอนด์ ลงมาก่อนไม่บอกเราอะ”
ผมเดินมาฝั่งตรงข้ามของออฟฟิศพบว่าปอนด์มานั่งอยู่ในร้านกาแฟ ผมแปลกใจว่าเขาลงมาก่อนผมตั้งนานไม่คิดว่าจะถือโอกาสแวะมานั่งรอเสียเลย เขาชอบเซอร์ไพรส์ผมได้ทุกเรื่องจริง ๆ
“ก็เห็นว่าบล็อกตี้ยังไม่ลงมาอะ เราก็เลยลงมาก่อน”
“งั้นเราไปสั่งเครื่องดื่มก่อนนะ” ผมมีตัวเลือกอยู่ในใจแล้ว เครื่องดื่มโปรดที่ผมชอบคือ ชาเขียวไวท์มอล์ต จะเรียกว่าติดรสชาติเพราะสาเหตุไหนผมบอกไม่ได้ชัดเจนแต่ผมชอบไวท์มอลต์ก็เลยติดตั้งแต่ตอนนั้นมา ผมเดินไปที่หน้าเคาว์เตอร์ เจ้าของร้านคือป้าวัยกลางคนดูสวยร้อยวันพันปี ผมกำลังเงยหน้าชี้ดูว่าจะสั่งอะไรเผื่อมีอะไรมาทำให้ผมเปลี่ยนใจ
“ได้ละจ้ะ”
ผมยังไม่ทันสั่งเครื่องดื่มอะไรเลย ป้าแกทำให้ผมเหมือนสั่งงานห้าวินาทีได้ทันที ผมมองดูในแก้วพบว่าป้าทำชาเขียวไวท์มอลต์ให้ผมถูกต้องโดยที่ผมไม่ต้องเอ่ยปากสั่ง ผมไม่รู้ว่าป้าอ่านใจผมออกหรือเปล่า ผมรับไปก่อนจะชำระเงินพร้อมสั่งเค้กส้มและเครปเค้กสายรุ้งไปด้วย
“ปอนด์ ป้าเขารู้ได้ไงว่าเราจะดื่มอะไร”
“เขาสังเกตว่าบล็อกตี้ชอบไวท์มอลต์หรือเปล่า เห็นมาทีไรสั่งแต่เครื่องดื่มตัวนี้ ป้าเลยทำให้โดยที่นายไม่ต้องเอ่ยปากไง”
“แต่บางวันเราอาจเปลี่ยนใจก็ได้นะ”
“แล้วแฟนแบบเราเปลี่ยนได้เหรอ” ปอนด์เป็นคนที่เติมเต็มความรักให้ผมเสมอเลยเหรอ เวลาได้ยินอะไรมักจะเป็นคำหวาน นี่แหละหนาความรักมันทำให้ผมหลงเชื่อทุกอย่างหูหนวกตาบอดก็ยังเชื่อทั้งใจ แน่นอนว่าถ้าเชื่อใจกันทุกอย่างก็ไม่เป็นปัญหา ผมดื่มเครื่องดื่มแก้วโปรดพร้อมทานขนมหวานจะได้มีแรงไปทำงานกับปอนด์ต่อ
ที่โรงเรียน
เวกเตอร์เดินมาตามทางเดินของอาคารเรียน สีหน้าของผมบูดและไม่อยากมีอารมณ์ร่วมพร้อมคุยกับใคร สิ่งที่ผมทำกับลูกข่าง ทำให้ครูชฎาพรไม่พอใจเรียกผมมาคุย ขนาดเด็กประถมสี่แบบผมและเหนือกว่าคนอื่นยังเอาครูชฎาพรไม่ลงเช่นกัน ถ้าจะมีแต่ลิฟต์ที่เอาเธอลงได้ ผมไม่ต้องเคาะประตูอะไรเดินเข้าไปเลยก็ได้เพราะนี่มันห้องทำงานส่วนตัวของครูเขา
“เธอคิดว่านี่ห้องส่วนตัวเธอเหรอ ถึงเข้ามาไม่ต้องให้ใครอนุญาต”
“ถ้าสนิทกัน ผมไม่จำเป็นต้องขออนุญาต”
“เธอคิดว่าที่นี่คือบ้านของเธอหรือไง เข้ามาแล้วปิดประตูไม่ต้องให้คนนอกมาฟังเรื่องของครูกับเธอหรอก” ฉันไม่อยากให้คนนอกมาฟังวีรกรรมจากตัวตนของเวกเตอร์ ฉันจะได้คุยส่วนตัวกับเด็กคนนี้และเช็กบิลไปในตัวเลยว่าการกระทำที่เกิดขึ้นในคาบเรียนต้องการอะไร ถึงไประรานแล้วแกล้งสลบหนีความผิด
“ไหนเธอยืนทำคณิตศาสตร์สิ”
ฉันส่งใบงานใบหนึ่งให้เวกเตอร์ทำ ให้เขายืนเอากระดานรองเขียนถือไว้ที่มือข้างหนึ่งอีกข้างเขียนคำตอบ ระหว่างที่เขาทำฉันก็พูดให้ดังและต่อเนื่องราวกับบ่นอะไรไม่เป็นเนื้อความ เริ่มประโยคแรกเขายังปกติแต่พอผ่านไปหนึ่งนาทีเขารำคาญทนไม่ไหวเพราะมันรบกวนสมาธิ
“ครูเงียบหน่อยได้ไหม ผมไม่มีสมาธิเลย”
“ถ้าเธอเป็นลูกข่าง เธอจะเงียบเหมือนเขาไหม” ฉันเปรียบเทียบตอนที่เวกเตอร์ดีดหนังสติ๊กใส่แก้วน้ำจนน้ำหกใส่งาน ถ้ามีอะไรมารบกวนขณะใช้สมาธิจะรู้สึกรำคาญไหม บางคนเขาไม่พูดแต่ใช่ว่าจะไม่รู้สึก
“ครูจะยกตัวอย่างก็ไม่ต้องเอาผมเข้าไปเกี่ยวข้องนะครับ”
ฉันปล่อยให้เวกเตอร์ยืนต่อไป ถ้าฉันกระชากต่างหูที่เขาหวงจนทำให้โวยวายได้ก็ดูจะผิดมหันต์ แต่ฉันใจดีแค่ไหนสอนเขาแบบไม่ต้องเจ็บตัวแค่เจ็บใจก็เหมือนจะสำนึกแล้ว ระหว่างที่ฉันปล่อยให้เขายืนสำนึก ต่อให้จะยืนกอดอกคาบไม้ลูกอมแบบไม่สุภาพ ฉันก้ต้องอบรมเขาตลอดเวลาเพราะเด็กคนเดียวก็จริงจะสู้กับผู้ใหญ่แบบนี้ก็ไม่ไหวหรอก
“ชอบดื่มน้ำหวานมากเหรอครับ เดี๋ยวเบาหวานถามหาหรอก” ฉันบอกเลยว่าฉันเป็นคนติดน้ำหวานแทบจะดื่มแทนน้ำเปล่าแล้ว แต่ฉันถือว่าดื่มอย่างมีขอบเขตแล้วตอนนี้เด็กคนนี้กำลังถามฉันเหมือนกวนประสาท ฉันนิ่งก่อนจะหยิบใบงานที่ส่งมาของเขาให้มาดูตรงหน้า
“ครูให้วาดรูปเรขาคณิตประยุกต์แล้วไอ้ที่วาดมาเนี่ยคือสิ่งที่ครูต้องการเหรอ”
“แล้วหน้าคนในรูปเป็นสี่เหลี่ยมไม่ใช่เรขาคณิตเหรอ”
“แต่มีคำด่าและชี้ว่าเป็นตัวครู เธอมีปัญหาอะไร” ฉันว่าเวกเตอร์นอกจากจะหาเรื่องคนอื่นแล้ว ยังหาเรื่องฉันไม่หยุดหย่อน ฉันโกรธแต่เก็บอาการลุกขึ้นค่อย ๆ เอียงแก้วน้ำทำอะไรบางอย่างให้เขาดูถือว่าการทำอะไรไว้กับใครแล้วถ้าเขาเอาจริงจะมากกว่าที่ตัวเองทำ
“มันจะมากไปแล้วนะ ไอ้สัตว์”
“เธอพูดแบบนี้ได้ยังไง ฉันเป็น...” เวกเตอร์โวยวายขาดสติเพราะฉันต้องการทำให้ตัวเองเหมือนกระจกสะท้อนพฤติกรรมที่เขาทำกับใครแล้วจะกลับมาแบบนั้น ในขณะที่ฉันโวยวายฉันได้ยินเสียงเคาะประตู เรียกเขามาโดยไม่ทันคิดเผลอหลุดความโกรธออกมา ฉันรีบเลี้ยงกลับลำแล้วทำเหมือนฉันเป็นฝ่ายโดนกระทำ
“ครูเป็นอะไรไปครับ” ก้านไม้ตกใจเมื่อครูกำลังตกใจมือไม้สั่นทำอะไรไม่ถูก ผมไม่รู้ว่าเวกเตอร์เข้าไปก่อเรื่องอะไรทำไมถึงได้ทำอะไรไม่ไว้หน้าครูเลย เทน้ำใส่งานตัวเองเรียกร้องความสนใจบอกตัวเองว่าไม่ผิด ผมไม่รู้เพื่อนผมมันสำนึกหรือแกล้งทำเป็นสำนึก ขนาดครูชฎาพรยังไม่เว้น
“ครูไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ เดี๋ยวค่อยจัดการทีหลังแล้วกัน ก้านไม้พาเพื่อนออกไปก่อน” ฉันพูดกับนักเรียนอย่างใจเย็นที่สุดบอกให้พาเพื่อนออกไปก่อน ครูจัดการสอนและให้บทเรียนเขาไปแล้ว ยังดีที่ฉันเกือบหลุดปากพูดอะไรบางอย่างออกไป ถ้าใครได้ยินจะทำให้ฉันเสียภาพลักษณ์มาก เอาเป็นว่าฉันต้องตั้งสติและห้ามหลุดอะไรไม่ควรออกไปจะดีที่สุด
‘เกือบไปแล้วไหมล่ะ’