บทที่ 4
หญิงสาวจากตระกูลต่าง ๆ เริ่มออกมาทำการแสดงอย่างสุดความสามารถ เรียกรอยยิ้มให้กับทุกคนภายในงานได้เป็นอย่างดี ยกเว้นก็แต่ลู่เหมยหลินที่นั่งชมการแสดงด้วยสีหน้าเรียบเฉย ใบหน้าที่ไร้อารมณ์ของนางทำให้อ๋องหลวนหลงนึกแปลกใจกับท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด แต่ไหนเลยหญิงสาวจะสนใจ เพราะความสุขของนางคือการได้นั่งดื่มชาร้อน ๆ เพียงเท่านั้น
จนเมื่อมาถึงการแสดงของลู่หลินเหลียนน้องสาวต่างมารดา หญิงสาวแอบเบ้ปากเล็กน้อย ก่อนจะยกถ้วยชาขึ้นจิบอีกครั้ง สายตาก็มองการแสดงร่ายรำของน้องสาวในท่วงท่าที่สวยงามไปด้วย ครั้นเมื่อการแสดงจบลง เสียงปรบมือก็ดังขึ้นไปทั่วบริเวณ
“ต่อไปเป็นการแสดงของท่านพี่แล้วนะเจ้าคะ” น้ำเสียงนั้นอ่อนหวานทว่ากลับแฝงไว้ด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
“หลินเอ๋อร์ เจ้าจะแสดงอะไรให้เปิ่นกงดูอย่างนั้นหรือ”
เหนียงฮองเฮานึกสนุกจึงได้เอ่ยถามหญิงสาว เพราะอยากรู้ว่านางจะแก้สถานการณ์นี้อย่างไร
ดวงตาหงส์คู่งามกวาดมองไปรอบ ๆ ก็เห็นว่าผู้คนภายในงานล้วนมองมาที่นางเป็นสายตาเดียวกัน หญิงสาวถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ จากนั้นจึงได้กล่าวไปตามตรงว่า “หม่อมฉันต้องขอประทานอภัยฮองเฮาด้วยนะเพคะ หม่อมฉันไม่ได้เตรียมการแสดงมาแต่อย่างใด เนื่องจากอาการป่วยของหม่อมฉันในตอนนี้ ทำให้ร่างกายอ่อนแอเกินไปเพคะ” นางจงใจใช้คำว่า'ป่วย' ขึ้นมาเป็นเหตุผลในการหลีกเลี่ยงที่จะแสดง จริงอยู่ที่ในความเป็นจริงนางต้องออกไปแสดงต่อหน้าพระพักตร์ แต่ในเวลานี้นางยังไม่พร้อมจริง ๆ
“เปิ่นกงเข้าใจเจ้า ถ้าเช่นนั้นก็พักรักษาตัวให้หายดีเสียก่อน”
“ขอบพระทัยเพคะฮองเฮา” ริมฝีปากประดับรอยยิ้มละไม
“คาดไม่ถึงว่าคนอย่างเจ้าจะกลายเป็นคนอ่อนแอเช่นนี้”
อ๋องหลวนหลงเอ่ยด้วยน้ำเสียงดูแคลน
“ถ้าพระองค์เลือกที่จะใส่ใจหม่อมฉันสักนิด พระองค์จะไม่ทรงพูดกับหม่อมฉันเช่นนี้เลยเพคะ” นางตอบกลับพร้อมส่งยิ้มหวานไปให้แต่ทว่ากลับเต็มไปด้วยคำพูดประชดประชัน
“เสด็จพ่อ เสด็จแม่ ลูกมีเรื่องที่อยากจะทูลขอพ่ะย่ะค่ะ”
อ๋องหลวนหลงรีบใช้โอกาสนี้ในการขอถอนหมั้นกับนาง ก่อนที่งานเลี้ยงในครั้งนี้จะจบลง เขาไม่อยากเสียเวลามากกว่านี้
“เจ้าจะขออะไรอย่างนั้นหรือ” เหนียงฮองเฮาทรงล่วงรู้ความคิดของลูกชายดี ว่าเขาคิดที่จะทำอะไร
“ลูกอยากจะขอถอนหมั้นกับลู่เหมยหลินพ่ะย่ะค่ะ” เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง สร้างความแตกตื่นให้กับทุกคนภายในงานได้เป็นอย่างดี
"เจ้าคิดดีแล้วใช่ไหม" พระนางถามย้ำอีกครั้ง
"ลูกคิดดีแล้วพ่ะย่ะค่ะ เสด็จแม่" เขาตอบ... สายตายังคงมองไปที่ร่างของหญิงสาวที่มองมาที่เขาอยู่ก่อนแล้ว นางเหยียดยิ้มด้วยสีหน้าพึงพอใจอยู่หลายส่วน
"ถ้าเจ้าคิดดีแล้ว แม่ก็จะไม่ห้ามเจ้า แต่..."
“หม่อมฉันยินดีและเต็มใจที่จะถอนหมั้นเพคะ” ยังไม่ทันที่ฮองเฮาจะทันได้ตรัสถามอะไรออกมา นางที่รอจังหวะอยู่ก่อนแล้วก็รีบเอ่ยแทรกขึ้นมาทันที เพราะไม่อยากให้ใครเข้าใจผิดว่านางยังรักเขาอยู่
“เจ้าคิดดีแล้วหรือ หลินเอ๋อร์” พระนางตรัสถามอีกครั้ง เพราะรับรู้ได้ถึงความรู้สึกที่แปลกไป
“เพคะ หม่อมฉันคิดดีแล้ว ในเมื่อท่านอ๋องไม่ได้มีใจรัก
หม่อมฉันมาตั้งแต่ต้น อีกทั้งยังพยายามที่จะขอถอนหมั้นอยู่หลายครั้ง หม่อมฉันจึงคิดได้ว่า หากเลือกที่จะปล่อยเขาให้เป็นอิสระ มันก็อาจจะดีต่อเราทั้งสองฝ่ายเพคะ”
หญิงสาวซุกซ่อนความเจ็บปวดที่ยังคงหลงเหลืออยู่ไว้ข้างใน เอ่ยด้วยน้ำเสียงขมขืนว่า “ความจริงหม่อมฉันรับรู้มาตลอดเพคะ ว่าท่านอ๋องรักอยู่กับน้องสาวของหม่อมฉัน ถึงแม้นางจะมาทีหลัง แต่หม่อมฉันเป็นพี่สาว ย่อมต้องเสียสละเพื่อน้องสาวได้เพคะ” หญิงสาวจงใจใช้น้ำเสียงหวานใสแต่แฝงไว้ด้วยความขมขืน นัยน์ตาสีดำเอ่อล้นไปด้วยหยาดน้ำตา สร้างความสะเทือนใจให้กับทุกคนภายในงานได้เป็นอย่างดี
“ท่านพี่... ข้าไม่เคยคิดที่จะแย่งท่านอ๋องไปจากท่านพี่เลยนะเจ้าคะ” ลู่หลินเหลียนรีบเข้ามาคุกเข่าลงต่อหน้าพี่สาวก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเทา หยาดน้ำตาไหลรินอาบแก้ม จนอ๋องหลวนหลงต้องรีบเข้ามาประคองร่างบางให้ลุกขึ้น พลางจ้องเขม็งไปยังร่างระหงที่ยังคงยืนสงบนิ่งอยู่
“เจ้าทำเกินไปแล้วนะลู่เหมยหลิน อย่างน้อยนางก็เป็นน้องสาวของเจ้า” อ๋องหลวนหลงเอ่ยเสียงแข็งกร้าว แต่นางกลับทำเพียงแค่ส่งยิ้มหวานกลับไป
“หม่อมฉันทำอะไรเกินไปหรือเพคะ พระองค์ทรงตอบหม่อมฉันได้หรือไม่ ว่าสิ่งที่นางทำเมื่อครู่ หม่อมฉันได้พูดอะไรกับนางแล้วหรือยัง” นางเหยียดยิ้มพร้อมกับเอ่ยขึ้นต่อว่า “พระองค์ก็ทรงเห็นมิใช่หรือเพคะ ว่าหม่อมฉันยังไม่ทันได้ทำอะไร นางก็วิ่งเข้ามาคุกเข่าลงตรงหน้าของหม่อมฉันแล้ว” คำพูดของนางทำให้เขาถึงกับพูดไม่ออก
“ท่านพี่... ข้ากับท่านอ๋องรักกันจริง ๆ นะเจ้าคะ ท่านพี่โปรดให้อภัยข้าด้วยเถิดเจ้าคะ” หลินเหลียนยังคงแสร้งบีบน้ำตา เพื่อหวังทำให้พี่สาวของนางกลายเป็นนางร้ายในสายตาของผู้คน โดยที่นางไม่รู้เลยว่า สิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่นั้น มันก็ไม่ต่างอะไรกับการขุดหลุมฝังตัวเอง
“เหลียนเอ๋อร์ พี่ไม่ใช่คนใจร้ายเสียหน่อย คำว่ารักที่เจ้าเอ่ยออกมานั้น พี่ล้วนดีใจกับเจ้า การที่พี่ยอมเสียสละให้กับเจ้านั้น ย่อมเป็นเรื่องน่ายินดี แต่มีสิ่งหนึ่งที่พี่อยากจะสอนเจ้า สตรีที่ดีไม่ควรแย่งคู่หมั้นของพี่สาวตัวเอง” นางฉีกยิ้มร้ายซึ่งมีเพียงหลินเหลียนเท่านั้นที่เห็นถึงความน่ากลัว
หลินเหลียน เจ้าคิดที่จะกำจัดข้าโดยไม่ดูสถานะของตัวเอง ก็จงแบกรับความอับอายนั้นไว้เสียเถิด และจงลิ้มรสความเจ็บปวดที่ข้าได้มอบไว้ให้กับเจ้า
“เอาล่ะ ๆ พอได้แล้ว ในเมื่อพวกเจ้าทั้งสองคนตกลงปลงใจที่จะคืนอิสระให้กัน เจิ้นก็จะให้ตามที่พวกเจ้าร้องขอ” สุรเสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้นเพื่อตัดปัญหา ด้วยรู้ว่าถ้าขืนปล่อยไว้เรื่องคงไม่จบง่าย ๆ แน่
“ขอบพระทัยที่ทรงเมตตาเพคะ”
ต่างจากอ๋องหลวนหลงที่มองหญิงสาวที่กำลังจะกลายเป็นอดีตคู่หมั้นอย่างไม่เข้าใจตัวเอง นางในตอนนี้เปลี่ยนไปราวกับคนละคน เปลี่ยนไปจนเขาเองก็นึกหวั่นใจ เพราะในอดีตนั้น ไม่ว่าเขาจะทำร้ายจิตใจนางสักเพียงใด นางก็จะอดทนและปฏิเสธที่จะถอนหมั้นกับเขามาโดยตลอด จนกระทั่งวันนี้ที่เขากล้าเอ่ยปากขอถอนหมั้นต่อหน้าผู้คนมากมายเพื่อป้องกันไม่ให้นางสามารถปฏิเสธเขาได้อีก นางกลับยินยอมถอนหมั้นด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ราวกับว่านางล่วงรู้แผนการของเขาอยู่ก่อนแล้ว รอยยิ้มที่อ่อนหวานแต่แฝงไว้ด้วยความเยือกเย็น สายตาที่เย็นชาและแข็งกร้าวนั้น ทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดใจอย่างบอกไม่ถูก เขาควรจะยินดีที่นางยอมถอนหมั้นกับเขาง่าย ๆ สิ เพราะคนที่เขารักและอยากให้เป็นพระชายามีเพียงลู่หลินเหลียน แต่ทำไมเขาถึงรู้สึกคันยุบยิบในหัวใจอย่างบอกไม่ถูกเช่นนี้ หรือข่าวลือที่ว่านางเปลี่ยนไปราวกับคนละคนจะเป็นเรื่องจริง นี้เขาพลาดอะไรไปอย่างนั้นหรือ ถ้าเช่นนั้นเขาคงปล่อยนางไปไม่ได้เสียแล้ว
“เสด็จพ่อ ลูกเปลี่ยนใจแล้ว การหมั้นระหว่างลูกกับนางยังคงเป็นเช่นเดิมพ่ะย่ะค่ะ”
“ท่านอ๋อง”
เหมยหลินที่กำลังนั่งจิบน้ำชาอย่างสบายอารมณ์ในตอนแรก ถึงกับสำลักน้ำชาเมื่ออ๋องหลวนหลงเอ่ยประโยคนั้นออกมา
เกิดบ้าอะไรขึ้นมาอีกล่ะ
“เมื่อครู่นี้ท่านอ๋องทรงพูดว่าอะไรนะเพคะ หม่อมฉันได้ยินไม่ถนัด” หญิงสาวถามย้ำอีกครั้ง เพื่อยืนยันว่าเมื่อครู่นางไม่ได้หูฝาด
“เปิ่นหวางจะไม่มีวันถอนหมั้นกับเจ้า”
ครั้งนี้หญิงสาวได้ยินชัดเจนทุกถ้อยคำ เขาบอกว่าจะไม่มีวันถอนหมั้นนาง นี้เขากำลังคิดจะทำอะไร ไม่ใช่ว่าเกิดนึกเสียดายนางขึ้นมาหรอกนะ หึ จะยังไงก็แล้วแต่ นางไม่มีวันยอมหรอก ในเมื่อต้องการที่จะจบเรื่องราวรักสามเส้าอยู่แล้ว มิสู้เด็ดขาดไปเลยไม่ดีกว่าหรือ
หญิงสาวถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ กล่าวว่า “แล้วที่ผ่านมาคืออะไรหรือเพคะ มิใช่ว่าเป็นพระองค์เองหรอกหรือที่พยายามขอถอนหมั้นกับหม่อมฉันมาโดยตลอด ครั้นเมื่อหม่อมฉันยินยอมถอนหมั้น พระองค์ก็กลับมาเปลี่ยนใจ ท่านอ๋องเป็นคนที่มีจิตใจลังเลตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” นางจะไม่มีวันเข้าไปอยู่ในจวนอ๋องตลอดชีวิตแน่
ชายหนุ่มถึงกับพูดอะไรไม่ออก เพราะสิ่งที่นางกล่าวออกมาเมื่อครู่นั่น ล้วนเป็นความจริงทั้งหมด เป็นเขาที่พยายามขอถอนหมั้นกับนางมาโดยตลอด แต่พอเอาเข้าจริง ๆ เขากลับรู้สึกแปลก ๆ ราวกับว่ากำลังจะสูญเสียอะไรบางอย่างไป
ลู่เหมยหลินพยายามปรับเปลี่ยนสีหน้าให้กลับมาเป็นปกติ หญิงสาวกำลังวางตัวเป็นพี่สาวที่แสนดี และคิดที่จะเสียสละคู่หมั้นให้กับน้องสาวอันเป็นที่รัก ครั้นเมื่อหันไปมองทางน้องสาวก็ได้แต่ลอบยิ้มในใจ คงเจ็บปวดมากสินะที่คนรักเริ่มเอนเอียงไปทางพี่สาวของตัวเอง แต่ไม่ต้องห่วงหรอก ข้าจะทำให้เจ้าสมหวังอย่างแน่นอน
“หรือพระองค์เกิดเสียดายหม่อมฉันขึ้นมา ถึงได้เปลี่ยนใจไม่ยอมถอนหมั้น”
“ทำไมเจ้าถึงคิดว่าเปิ่นหวางเกิดเสียดายเจ้ากันล่ะ”
“ถ้าเช่นนั้นก็ทรงทำตามเจตนาเดิมสิเพคะ พระองค์ทรงรอโอกาสที่จะได้แต่งงานกับน้องสาวของหม่อมฉันอยู่แล้วไม่ใช่หรือ ตอนนี้มีโอกาสแล้ว ไยถึงไม่รีบใช้โอกาสนี้ทำตามเจตนาเดิมของตัวเองเล่า
เพคะ”
คำพูดของนางล้วนมีเหตุผล ทุกคนภายในงานต่างเห็นด้วย ไม่นานเสียงกระซิบพูดคุยก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“ที่นางพูดมาก็ถูกนะ ในเมื่อท่านอ๋องต้องการที่จะถอนหมั้นกับนางอยู่แล้วนี่”
“คำพูดของบุรุษก็เป็นเช่นนี้ล่ะ กลับไปกลับมาราวกับจะเล่นขายของ”
“นั้นสิ ข้าก็เห็นด้วย ไหนจะน้องสาวของนางอีก เป็นแค่ลูกอนุแท้ ๆ แต่ทำตัวราวกับเป็นผู้สูงศักดิ์ ข้าละเกลียดคนเช่นนี้จริง ๆ”
“แย่งคู่หมั้นของพี่สาวตัวเองว่าแย่แล้ว ดูก็รู้ว่านางแสร้งบีบน้ำตา”
เสียงซุบซิบดังขึ้นไม่ดังไม่เบา แต่ลู่หลินเหลียนกลับได้ยินทุกคำพูด นางได้แต่ก้มหน้านิ่งด้วยความอับอาย นางอุตส่าห์คิดแผนการที่จะเปิดโปงพี่สาวต่อหน้าทุกคน แต่ทำไมกลับกลายเป็นนางเสียเองที่ถูกเปิดโปง
หญิงสาวกระตุกยิ้มมุมปากอย่างชอบอกชอบใจ โดยที่ไม่รู้เลยว่าการกระทำของนางทั้งหมดได้ตกอยู่ในสายตาของฮ่องเต้และฮองเฮามาโดยตลอด ทั้งสองพระองค์ต่างนั่งชมการแสดงของนางอย่างเงียบ ๆ ทั้ง ๆ ที่ในใจก็รู้สึกขบขันยิ่งนักที่ได้เห็นโอรสของตนถึงกบไปไม่เป็นเมื่อเจอความเจ้าเล่ห์ของนาง
“งานเลี้ยงในวันนี้สนุกดีนะเพคะ ฝ่าบาททรงเห็นด้วยกับหม่อมฉันไหม” พระนางทรงยิ้มอย่างอารมณ์ดี ซึ่งฝ่าบาทเองก็ทรงเห็นด้วย
“นั้นสิ เจิ้นเองก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าเรื่องราวจะจบลงเช่นไร”