เสียงเอะอะดังมาจากหน้าตลาด คล้ายกับเสียงคนกำลังทะเลาะวิวาทกัน ซึ่งมันก็เป็นไปตามคาดเดา ตอนนี้กลุ่มชายฉกรรจ์ราวหกคนกำลังชกต่อยกันอุตลุด ผู้คนที่มาจับจ่ายใช้สอยในตลาดก็เริ่มมุงดู
ณัฐรวีเดินถือถุงหลายใบหลังจากซื้อของเสร็จ หล่อนมุ่งหน้าเดินกลับไปร้านกาแฟ แต่ก็ต้องเดินผ่านหน้าตลาดที่กำลังมีเรื่องชกต่อยกันพอดี ตอนแรกหล่อนจะไม่สนใจกลุ่มคนที่มีเรื่อง ตั้งใจจะเดินเลี่ยง แต่แล้วขาทั้งสองข้างของหล่อนก็ต้องหยุดยืนอยู่กับที่ เมื่อชายคนหนึ่งที่เหวี่ยงแหวกวงล้อมของไทยมุงมานอนใกล้ร่างณัฐรวี
“มึงซ่านักเหรอ ซ่าผิดที่แล้วมึง”
คนพูดชื่อเข้ม ท่าทางแข็งขึง หน้าตาเหี้ยมใส่ เท้ากดอยู่บนอกคู่อริ ในมือถือมีดเล่มยาว หมายจะจ้วงแทงอีกฝ่าย
“พี่เข้มอย่า” เสียงณัฐรวีดังขึ้น เข้มมองหน้าคนห้าม คนกำลังถูกทำร้ายก็เงยหน้ามองต้นเสียง “อย่าทำอย่างนี้พี่เข้มจะเป็นคดีความเปล่าๆ”
“แต่มันกวนตีน มันหยามพี่” เข้มตอบ
“เขาหยามพี่ พี่แค่โมโหและโกรธ แล้วมันจะคุ้มกับที่พี่คิดฆ่าเขาเหรอคะ แค่นี้เขาก็เจ็บมากแล้ว ดูสิน่วมเลย” ณัฐรวีก้มมองดูคนถูกเข้มทำร้าย “อีกอย่างคุณเมฆอยู่ร้านกาแฟ ถ้ามาเห็นว่าพี่เป็นอันธพาลแบบนี้ พี่เดือดร้อนแน่ แยกย้ายกันเถอะพี่ รวีขอร้อง”
พอได้ยินชื่อเมฆา เจ้านายที่มีทั้งความใจดีและโหดเหี้ยมอยู่ในตัว ทำให้ท่าทางของเข้มถึงกับอ่อนลง
“วันนี้มึงโชคดี ถ้าครั้งหน้ากูเจอมึงอีก มึงตายคาตีนกูแน่...อัก” เข้มส่งท้ายด้วยการกระแทกเท้าลงบนหน้าอกของอีกฝ่ายเต็มแรง คนถูกทำร้ายจุกจนตัวงอ “ไปโว้ย ไอ้ชาติ ไอ้ก้าน นายอยู่แถวนี้ด้วย มาเจอเรามีเรื่องได้เจอตีนคุณเมฆแน่”
ชาติกับก้านที่กำลังกระทืบคู่อริอีกสองคนถึงกับตกใจ รีบเดินตามเข้มไปทันที ณัฐรวีวางถุงหลายใบลงบนพื้น ย่อตัวลงประคองร่างคู่อริของเข้มให้ลุกขึ้นนั่ง
“เจ็บมากไหมคะ ไปหาหมอไหมคะ”
น้ำเสียงอ่อนโยนเอ่ยถามก้องเกียรติ จอมอันธพาลตัวพ่อในจังหวัดเชียงใหม่ ที่บิดาเป็นคนใหญ่คนโตที่นั่น และเป็นนักเลงใหญ่ในจังหวัดกระบี่ จังหวัดที่มารดาเป็นเศรษฐีใหญ่ ที่วันนี้มาเที่ยวจังหวัดเชียงราย กร่างไม่ดูสถานที่จึงโดนเข้มกับพวกตะลุมบอน
ก้องเกียรติมองหน้าคนถาม ปกติแล้วเขาใกล้ชิดสาวสวยหรือหน้าตาน่ารักถูกใจเมื่อใดจะต้องก้อร่อก้อติกใส่ แต่กับสาวสวยคนนี้ไม่ใช่ แววตาของหล่อนดูเศร้าในเวลาเดียวกันก็ชวนมอง และที่สำคัญ ในใจเขานึกสงสารหล่อนขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“ไม่ต้อง ฉันไม่เป็นอะไรมาก” ก้องเกียรติพูด ขณะที่ลูกน้องอีกสองคนที่มีสภาพไม่ต่างกัน หน้าตาบวมช้ำจากการชกต่อยเดินเข้ามาช่วยประคองร่างเจ้านายให้ลุกขึ้นยืน “ขอบใจมากที่ช่วยฉันไว้”
“ไม่เป็นไรค่ะ แถวนี้นักเลงเยอะค่ะ” ณัฐรวีบอก “ฉันขอตัวก่อนนะคะ”
“เดี๋ยวสิ เธอชื่ออะไร” ก้องเกียรติถาม “ฉันชื่อก้อง”
“ฉันชื่อรวีค่ะ” ณัฐรวีตอบพร้อมคลี่ยิ้ม
“ขอบใจอีกครั้งนะรวีที่ช่วยฉัน”
ก้องเกียรติไม่เคยขอบคุณใครบ่อยนัก แต่เขากลับให้คำนี้กับสาวตรงหน้าถึงสองครั้ง ณัฐรวีไม่มีคำพูดใดเอื้อนเอ่ย มีเพียงรอยยิ้มสวยงามที่ทำให้ดวงหน้าหล่อนงดงามน่ามองยิ่งนักส่งให้เขา ก่อนก้มลงหยิบถุงขึ้นมาถือไว้ แล้วเดินไปยังร้านกาแฟโดยมีสายตาก้องเกียรติมองตามไปด้วยความรู้สึกและความคิดที่ว่า
เขาจะได้พบหล่อนอีกครั้ง...เร็วๆ นี้
เช้าตรู่ในวันคล้ายวันเกิดกิ่งโพยม เมฆาพาเจ้าของงานไปทำบุญที่วัดเช่นทุกปี แต่ปีนี้พิเศษที่ว่า มีการถวายภัตตาหารเช้าพระสงฆ์และสามเณร และทำโรงทานให้คนที่มาทำบุญที่วัดและชาวบ้านละแวกนั้นได้ทานอาหารทั้งคาวและหวาน รวมทั้งผลไม้สดหวานจากไร่ ยังไม่หมด ยังมีซุ้มชา กาแฟสดไว้บริการอีกด้วย
งานบุญในช่วงเช้าผ่านพ้นไปด้วยดี ต่อมาก็คืองานเลี้ยงฉลองวันคล้ายวันเกิดในตอนเย็น ที่ปีนี้จัดใหญ่กว่าทุกปีเช่นกัน มีวงดนตรีมาให้ความสนุกครื้นเครง งานเลี้ยงเป็นแบบบุฟเฟ่ต์ร้านอาหารดังขึ้นชื่อ แขกเหรื่อที่เชิญมาร่วมงานนอกจากจะเป็นคนกันเอง คนบ้านใกล้เรือนเคียง ยังมีนักการเมืองท้องถิ่น คนงานในไร่ที่ได้รับเกียรติมาร่วมงานเลี้ยงค่ำคืนนี้ด้วย และที่ขาดไม่ได้คือ คนในครอบครัวของนาง เนาวรัตน์ เมฆาและแก้วตา
“สวยแล้ว ลงไปกันได้แล้วแหละ” เสียงแก้วตาดังขึ้น เมื่อวางที่ปัดแก้มลงบนกล่องเครื่องสำอางของตน “วันนี้รวีสวยมากเลยนะ”
ณัฐรวีมองดูใบหน้าตัวเองในกระจก ค่ำนี้ใบหน้าหล่อนแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางที่จะพูดได้ว่า เป็นครั้งแรกในชีวิต เนื่องจากหล่อนไม่ใช่คนรักสวยรักงาม ไม่ชอบแต่งหน้า ล้างหน้าเสร็จก็ทาด้วยแป้งฝุ่น และไม่มีความจำเป็นจะต้องแต่งหน้าด้วย ณัฐรวีรู้สึกแปลกตา ไม่คุ้นเคยกับดวงหน้าตนตอนนี้เลย
“ดูแปลกๆ นะ ดูไม่เป็นตัวเองเลย”
“ก็รวีไม่เคยแต่งหน้าทาปากอย่างนี้นี่ แต่งบ่อยๆ เดี๋ยวก็ชินไปเอง” แก้วตาพูด “ชุดรวีก็สวย ยิ่งทำให้รวีสวยมากขึ้น”
“คงไม่ได้แต่งบ่อยๆ หรอก ไม่รู้จะแต่งให้ใครดูด้วย” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความตัดพ้อ
“ก็แต่งให้ตัวเองดูไง เราไม่จำเป็นต้องแต่งให้ใครดู เราแต่งตัว แต่งหน้าเพื่อให้ตัวเองดูดี ให้ดูมีคุณค่า ใครจะมองไม่มองก็เรื่องของคนอื่นสิ แคร์คนอื่นมากไร้ความเป็นตัวตนกันพอดี” แก้วตาพูดดี ทว่าแฝงประสงค์ร้าย “แก้วตาเชื่อคำพูดที่ว่า ความดีชนะทุกอย่าง รวีคิดดี ทำดี ไม่เคยคิดทำร้ายใคร เชื่อเถอะว่า สักวันความดีของรวีจะชนะทุกอย่าง”
ณัฐรวีหันมองหน้าผู้พูด ในความรู้สึกของหล่อน ประโยคที่ได้ยินสร้างกำลังใจให้ตนมาก ทว่าใจหนึ่งก็คิดว่า แล้วเมื่อไหร่ความดีจะปรากฏให้ทุกคนที่มอบความเกลียดชังให้ตนเห็นเสียที นานหลายปีแล้วที่หล่อนเพาะบ่มความดี ความอดทน อดกลั้นเพื่อมารดา แต่ดูเหมือนว่า ความดีจะถูกกลืนกินด้วยความแค้นเคืองจนสิ้น คนทำความดีเช่นหล่อนมีท้อแท้อยู่หลายครั้ง บางครั้งก็คิดอยากหนีไปจากไร่ดุจตะวัน ไปจากคนใจร้ายใจดำ แต่พอนึกถึงคำขู่ที่จะตามล่ารุ่งวดีมาลงโทษตามแบบฉบับของเมฆา ซึ่งหล่อนรู้ดีว่า บทลงโทษของเขาไม่ธรรมดา
“อืม รวีก็หวังว่าอย่างนั้น” ณัฐรวีมีความหวังลึกๆ ในใจ
“แก้วตาว่า เราลงไปข้างล่างกันเถอะ จวนจะทุ่มนึงแล้ว แขกคงมาเยอะแล้ว” แก้วตาบอก ฉุดมือณัฐรวีให้ลุกขึ้นยืน “รวีต้องมั่นใจในตัวเองนะ วันนี้รวีสวยมาก รับรองว่าใครเห็นต้องตะลึงแน่ๆ”
“ถ้าคนอื่นจะมองรวี มองแก้วตาไม่ได้กว่าเหรอ แก้วตากำลังจะเป็นหมอในอนาคต หน้าตาก็สะสวย ฐานะก็ดี ทุกอย่างดีหมด ดีกว่ารวีหลายร้อยเท่า”
เรื่องการศึกษาเป็นเรื่องที่ณัฐรวีปรารถนาที่สุด ทว่าความฝันถูกระงับในวันที่มารดาหนีตามชายชู้ไป และทำให้เชษฐาเสียชีวิต ตนจึงไม่ได้เรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย และเป็นทาสอยู่ที่นี่นับแต่นั้น