เมื่อธิตาภาลืมตาตื่นขึ้นมาได้สักพักก็พบเข้ากับสถาปัตยกรรมที่สวยงามโอ่อ่า ข้าวของทุกชิ้นดูราวกับหลุดมาจากซีรีส์จีนย้อนยุคอย่างไรอย่างนั้น
'ที่นี่มันคือที่ไหนกันแน่นะ? เราตายแล้วได้มาเกิดใหม่ในยุคจีนโบราณสมัยราชวงศ์ไหนกันแน่นะ?' ธิตาภาคิดขึ้นมาในใจพร้อมทั้งค่อย ๆ กะพริบเปลือกตาให้ลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างช้า ๆ
เมื่อลุกขึ้นมานั่งบนเตียงแล้ว ธิตาภาก็พบเข้ากับสายตาคู่หนึ่งที่กำลังจ้องมองมาที่ตนอยู่ด้วยความตื่นเต้นระคนดีใจอย่างปิดไว้ไม่มิด
ความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมบอกให้ธิตาภาได้รับรู้ว่าบุคคลนี้คือเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของตนในวังหลวงแห่งนี้นั่นเอง
"ชิงหลัน เจ้าฟื้นแล้ว" เสียงนางกำนัลเพียงผู้เดียวที่นั่งอยู่ข้างเตียงร้องขึ้นอย่างดีใจ
"ข้าจะรีบไปกราบทูลไทเฮาให้ทรงทราบว่าเจ้าฟื้นแล้ว"
"ช้าก่อนอย่าเพิ่งไป" เสียงหวานใสราวกับกระดิ่งเงินเอ่ยดังขึ้น
ทำให้เจ้าของร่างตุ้ยนุ้ยที่กำลังจะก้าวขาออกจากห้องหยุดชะงักไปในทันที
"เจ้ามีอะไรอีกเช่นนั้นหรือชิงหลัน? ไทเฮานั้นทรงเป็นห่วงเจ้านัก ในเมื่อเจ้าฟื้นแล้ว เหตุใดจึงยังไม่รีบให้ข้าไปกราบทูลไทเฮาอีกเล่า หรือเจ้าอยากจะไปเข้าเฝ้าไทเฮาด้วยตนเองเช่นนั้นรึ?"
"ข้าจะไปเข้าเฝ้าไทเฮาด้วยตัวของข้าเอง" ธิตาภาหรือก็คือชิงหลันในยุคจีนโบราณเอ่ยตอบขึ้น
"แล้วตอนนี้อาการของเจ้าเป็นเช่นไรบ้าง? เหตุใดถึงได้พลัดตกน้ำเอาได้เล่า?" เสี่ยวจูนางกำนัลร่างตุ้ยนุ้ยเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย
"ข้ากำลังหนีอะไรบางอย่างอยู่ เลยได้พลัดตกน้ำไป" ชิงหลันตอบพร้อมทั้งพยายามคิดทบทวนถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้อยู่จนหัวแทบจะระเบิด
"ชิงหลัน ในตำหนักของไทเฮานี้มีอะไรให้เจ้าต้องรีบร้อนหนีจนได้พลัดตกน้ำตกท่าเอาได้เช่นนั้นรึ?” เสี่ยวจูถามขึ้นด้วยความสงสัย
"ข้าไม่รู้ ข้าปวดหัว ตอนนี้ข้ายังนึกอะไรไม่ค่อยจะออกเลย" ธิตาภาเอ่ยออกมาด้วยความยากลำบากพร้อมทั้งใช้มือกุมขมับไว้แน่น
"ถ้าเช่นนั้น ข้าไม่เซ้าซี้เจ้าต่อก็ได้ ข้าขอตัวออกไปทำงานข้างนอกก่อนก็แล้วกันนะ ขณะนี้ไทเฮากำลังประทับจิบชาอยู่ที่หน้าตำหนัก เจ้าก็อย่าลืมออกไปเข้าเฝ้าด้วยล่ะ"
เสี่ยวจูเอ่ยขึ้นพร้อมทั้งเดินจากไปเงียบ ๆ แต่พอเสี่ยวจูกำลังจะก้าวขาพ้นออกไปนอกประตูห้อง ชิงหลันก็เอ่ยขึ้นมาอีกว่า "เจ้าอย่าเพิ่งไป ข้าขอถามคำถามอีกอย่างหนึ่งได้หรือไม่?"
เสี่ยวจูหันหน้ากลับมามองด้วยความสงสัยและเอ่ยขึ้นมาว่า "เจ้าจะถามอันใดข้าเช่นนั้นหรือ?"
"ตอนนี้ข้าอายุเท่าไหร่แล้ว?"
"สิบห้าจะสิบหกปีแล้ว นี่เจ้าเป็นอันใดไปหรือชิงหลัน หลังจากเจ้าฟื้นขึ้นมาจากการจมน้ำแล้ว เหตุใดถึงได้มีท่าทีที่ดูแปลกไปเช่นนั้นเล่า หรือว่าหัวของเจ้าไปฟาดกับสิ่งใดเข้าเช่นนั้นรึ ข้าดูท่าแล้วเหมือนความทรงจำของเจ้าจะขาดหายไปหลายส่วนเลยทีเดียว จนแม้แต่อายุของตนก็กลับจำไม่ได้ขึ้นมาเสียแล้วหรือนี่?" เสี่ยวจูเอ่ยถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ
"พอดีวันนี้ข้าซุ่มซ่ามหกล้มนิดหน่อย หัวเลยไปฟาดกับก้อนหินเข้า จึงมีอาการปวดหัวและนึกอะไรขึ้นมาไม่ค่อยได้อยู่บ้าง เจ้าอย่าได้ใส่ใจไปเลย" ชิงหลันเอ่ยขึ้นเสียงเบาพร้อมทั้งหลุบตาลงมองพื้น
"เชิญเจ้าออกไปทำงานของเจ้าต่อได้แล้ว อีกสักครู่ข้าจะออกไปเข้าเฝ้าไทเฮาเอง" ชิงหลันเอ่ยขึ้น
"ถ้าเช่นนั้นข้าไปก่อนนะ เจ้าก็ดูแลตัวเองดี ๆ ด้วยล่ะ ซุ่มซ่ามมาแต่ไหนแต่ไรย่อมมิใช่การดี ข้าขอเตือนเจ้าเอาไว้ด้วยความหวังดี เข้าใจหรือไม่?"
"ขอบใจเจ้ามาก ข้าเข้าใจแล้ว"
หลังจากคล้อยหลังนางกำนัลร่างตุ้ยนุ้ยไปได้สักพัก ธิตาภาหรือหรือก็คือชิงหลันในยุคจีนโบราณนี้ก็รีบลุกขึ้นจากเตียงเดินไปส่องกระจกบานใหญ่ที่ตั้งไว้อยู่ตรงมุมห้องทันที
ภาพตรงหน้าที่ปรากฏให้เห็น ทำเอาธิตาภาต้องอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึงไปชั่วขณะ "นี่มันหน้าตาพิมพ์เดียวกันกับเราตอนชาติปัจจุบันเลยนี่นา" เสียงหวานพึมพำขึ้นมาอย่างไม่ค่อยเชื่อสายตาตนเองนัก
แต่เจ้าของร่างนี้กลับดูบอบบางกว่าเป็นอย่างมาก ส่วนสูงราวหนึ่งร้อยห้าสิบห้าเซนติเมตรเท่านั้น อีกทั้งยังมีผิวพรรณที่ขาวเนียนละเอียดละออยิ่งกว่าธิตาภาในภพปัจจุบันอีกด้วย "เฮ้อ ก็เด็กน้อยอะเนอะ" ธิตาภาพูดขึ้นพร้อมทั้งถอนหายใจออกมาเสียงดัง
'ฉันจะทำยังไงต่อไปดีเนี่ย? ความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมนี้ก็ได้รับมาเพียงบางส่วนเท่านั้น ดูจากชุดเสื้อผ้าที่สวมใส่ในตอนนี้แล้ว ฉันน่าจะเป็นเพียงนางกำนัลในตำหนักของไทเฮานี่สินะ เอาวะ จะร้องไห้ฟูมฟายไปก็ไม่มีประโยชน์ ลองออกไปสำรวจดูข้างนอกก่อนดีกว่า ยัยเสี่ยวจูอะไรนั่นบอกว่าให้ฉันรีบไปเข้าเฝ้าไทเฮานี่นา' ธิตาภาคิดขึ้นมาในใจพร้อมทั้งค่อย ๆ ลุกขึ้น
ยืนเดินออกไปนอกห้องที่ตนนอนพักอยู่
เมื่อเดินออกมาได้สักพัก ก็ได้ยินเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขดังขึ้นมาอยู่เป็นระยะ พลันสายตาของธิตาภาก็พบเข้ากับหญิงงามผู้หนึ่งอายุอานามราวห้าสิบกว่าปีได้กำลังนั่งจิบชาและรับฟังเรื่องราวต่าง ๆ จากบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งอยู่อย่างตั้งใจ
"หม่อมฉันชิงหลันคารวะไทเฮาเพคะ" เสียงหวานดังขึ้นขัดจังหวะการพูดคุยนั้นอย่างไม่ตั้งใจ ทำให้การพูดคุยนั้นหยุดชะงักไปในทันที
"ลุกขึ้นได้ ไม่ต้องมากพิธี" สุรเสียงอ่อนโยนของไทเฮาตรัสดังขึ้น
"ขอบพระทัยเพคะ"
"เจ้าเป็นเช่นไรบ้างชิงหลัน? เห็นเจ้าสลบไสลไม่ได้สติไปหลายชั่วยามเช่นนี้แล้ว อายเจียใจคอไม่ค่อยดีเลย" ไทเฮาตรัสถามด้วยความเป็นห่วง
"หม่อมฉันอาการดีขึ้นมากแล้วเพคะ" ชิงหลันตอบด้วยความสุภาพเรียบร้อย พร้อมกับรู้สึกอึดอัดแปลก ๆ กับสายตาของบุรุษอีกคนที่กำลังเอาแต่จ้องมองมาที่ตนอยู่เป็นระยะราวกับจะฉีกทึ้งร่างกายของตนให้ขาดออกจากกันเป็นชิ้น ๆ เสียให้ได้
"แล้วเหตุใด เจ้าจึงได้พลัดตกน้ำที่สระบัวของอายเจียได้เล่า?" ไทเฮาตรัสถามด้วยความสงสัย
"เอ่อ...คือ พอดีหม่อมฉันเห็นว่าดอกบัวที่สระนั้นดูงดงาม ส่งกลิ่นหอมเย้ายวนใจดี ด้วยความอยากได้ดอกบัว เลยตั้งใจจะเด็ดดอกบัวขึ้นมาให้ได้ จึงได้พลัดตกน้ำไปเพคะ" ชิงหลันตอบพร้อมทั้งหลุบตาลงมองพื้นด้วยกลัว
ไทเฮาจะรู้ว่าตนนั้นได้แต่งเรื่องโกหกขึ้นมาเสียแล้ว
คำตอบของชิงหลันทำให้บุรุษหนุ่มที่นั่งฟังสถานการณ์อยู่อย่างเงียบ ๆ แต่ทีแรกนั้น ต้องส่งเสียงหัวเราะหึ ๆ ดังขึ้นพร้อมทั้งยิ้มมุมปากอย่างอารมณ์ดีขึ้นมาเสียมิได้
ทำให้ชิงหลันต้องเผลอตวัดสายตามองค้อนขวับด้วยความหมั่นไส้ แต่เพียงแค่ได้สบสายตากับบุรุษผู้นั้นไปชั่วขณะแล้วกลับทำให้ชิงหลันต้องหลบสายตาลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากสู้สายตาอันพราวระยับและความหล่อเหลาของบุรุษหนุ่มตรงหน้าของตนไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
"คราวหน้าคราวหลัง เจ้าต้องระมัดระวังตัวไว้ให้ดีเข้าใจหรือไม่ หากตำหนักนี้ไม่มีเจ้าคอยอยู่ข้าง ๆ อายเจียแล้ว จะมีผู้ใดมาคอยอ่านหนังสือให้อายเจียฟัง มาคอยบีบนวดให้อายเจียได้ผ่อนคลายอีกเล่า" ไทเฮากล่าวตัดพ้อ
"เสด็จย่าทรงลืมหลานรักผู้นี้ไปได้อย่างไรกันพ่ะย่ะค่ะ" องค์ไท่จื่อตรัสขึ้นน้ำเสียงเง้างอน
"เจ้าเป็นถึงองค์ไท่จื่อของต้าโจว ไฉนเลยจะมีเวลามาอ่านหนังสือให้ย่าแก่ ๆ คนนี้ฟังได้เล่า" ไทเฮาตรัสหยอกเย้านัดดาคนโปรดของตน
"กระหม่อมย่อมต้องมาหาเสด็จย่าได้บ่อย ๆ เป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ เพราะตำหนักของเสด็จย่านั้นมีสิ่งที่เพลิดเพลินทั้งตาและใจของกระหม่อมยิ่งนัก" องค์ไท่จื่อตรัสขึ้นอย่างอารมณ์ดี
"มีอะไรบ้างเช่นนั้นรึที่สามารถทำให้องค์ไท่จื่อผู้เพียบพร้อมเช่นเจ้าต้องเสด็จมาเยือนที่ตำหนักของอายเจียได้บ่อยครั้งเช่นนี้?" ไทเฮาตรัสถามขึ้นพร้อมทั้งยกชาขึ้นจิบรอฟังคำตอบไปด้วย
"ที่ตำหนักของเสด็จย่ามีของกินที่อร่อยยิ่งนัก อีกทั้งดอกบัวที่สระน้ำในตำหนักของเสด็จย่าก็ส่งกลิ่นหอมยั่วยวนใจ และดูสวยงามในความรู้สึกของกระหม่อมยิ่งนักพ่ะย่ะค่ะ" องค์ไท่จื่อตรัสตอบเสียงหวานแต่สายตากลับจ้องมองมาที่ชิงหลันอย่างไม่ยอมกะพริบคล้ายหวังจะให้คนตัวเล็กที่ยืนก้มหน้าก้มตาอยู่ทางด้านข้างขององค์ไทเฮาได้เข้าใจในคำตอบที่ตนนั้นสื่อความหมายให้
"ฮ่า ๆ ๆ ตอบคำถามได้ดี บุรุษสกุลโจวแต่ละคน ช่างมีคารมคมคายที่บาดลึกจับใจยิ่งนัก เชื้อไม่ทิ้งแถวกันเสียจริง ไล่มาตั้งแต่รุ่นเสด็จปู่ของเจ้าเลยทีเดียวเชียวนะ" ไทเฮาตรัสขึ้นพร้อมทั้งยกเอาพัดในมือขึ้นมาโบกสะบัดไปมาเบา ๆ
"นี่ก็เป็นช่วงบ่ายยามเซิน (เวลา 15.00 น.) แล้ว อายเจียคงต้องขอเข้าไปเอนหลังพักผ่อนสักครู่ก่อนก็แล้วกันนะ เพราะอีกครึ่งชั่วยาม(หนึ่งชั่วโมง) ข้างหน้าหมอหลวงกู้ก็จะได้เข้ามาตรวจดูชีพจรให้อายเจียแล้ว" ไทเฮาตรัสขึ้นพร้อมทั้งลุกขึ้นยืนอย่างช้า ๆ
"เจ้าก็รีบกลับไปพักผ่อนเอาแรงเสียเถิด ในแต่ละวันอายเจียเห็นเจ้าทุ่มเททำนั่นทำนี้มาตั้งมากมาย ควรพักเอาแรงเสียบ้าง หรือคนหนุ่มเขาไม่เหนื่อยกันเช่นนั้นหรืออย่างไร?"
ไทเฮาตรัสขึ้นยิ้ม ๆ พร้อมทั้งเดินจากไปกับนางข้าหลวงอาวุโสคนสนิทของตน ทำให้ชิงหลันต้องเดินรีบตามไทเฮาออกไปเช่นกัน แต่เดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าวก็ถูกขวางทางเข้าโดยบรุษที่ตัวโตกว่าตนมากนักเข้าเสียแล้ว
"เจ้ายังไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น"สุรเสียงเข้มตรัสดังขึ้น
"หม่อมฉันยังมีงานอีกมากที่ต้องทำนะเพคะ" ชิงหลันเอ่ยขึ้นพร้อมกับก้าวเดินไปข้างหน้าอีกหนึ่งก้าว
"ถ้าเจ้ายังไม่หยุดเดิน อย่าหาว่าเปิ่นไท่จื่อไม่เกรงใจ" องค์ไท่จื่อตรัสขึ้นอย่างวางอำนาจโดยเน้นคำว่า'เปิ่นไท่จื่อ'เสียงดังฟังชัด
"แล้วมิทราบว่าองค์ไท่จื่อมีอะไรจะตรัสกับหม่อมฉันเช่นนั้นหรือเพคะ?" ธิตาภาในร่างของชิงหลันเริ่มพูดขึ้นอย่างมีอารมณ์โมโหขึ้นมาหน่อยๆ
"เหตุใดเจ้าจึงต้องหลบหน้าข้า วิ่งหนีข้า จนต้องพลัดตกน้ำด้วย?"
"แล้วทำไมองค์ไท่จื่อถึงไม่ฉุกคิดบ้างเล่าเพคะว่าเพราะเหตุใดหม่อมฉันถึงต้องได้วิ่งหนีจากพระองค์" ชิงหลันถามขึ้นอย่างไม่ยอมแพ้
"ข้าเพียงแต่อยากจุมพิตเจ้าเท่านั้น เจ้าถึงกลับยอมตกน้ำตกท่า แต่ไม่ยอมให้ข้าจุมพิตเลยเช่นนั้นรึ?" องค์ไท่จื่อตรัสขึ้นอย่างไม่พอพระทัย
'ไท่จื่อ ท่านมันร้ายนักนะ กล้ากระทำการเช่นนี้ถึงในตำหนักของไทเฮาได้อย่างไรกัน?'
ธิตาภาคิดขึ้นมาในใจ พร้อมกับมีภาพความทรงจำของร่างเดิมกำลังหลั่งไหลเข้ามาสู่ความรู้สึกนึกคิดของตน
"หม่อมฉันย่อมต้องไม่ยอมอยู่แล้ว ในเมื่อองค์ไท่จื่อกับหม่อมฉัน เราไม่ได้เป็นอะไรกันเลยแม้แต่น้อย แล้วพระองค์จะทรงอยากมาจุมพิตหม่อมฉันด้วยเหตุใดกันเพคะ?"
"นี่เจ้าไม่รู้ หรือแกล้งไม่รู้จริง ๆ กันแน่ว่าข้าแอบชอบเจ้าอยู่มาตั้งนานแล้ว?" องค์ไท่จื่อตรัสขึ้นน้ำเสียงตัดพ้อ
"วันนี้หลังจากเจ้าตกน้ำไปแล้ว พอฟื้นขึ้นมาท่าทีของเจ้าก็ดูแปลกไปยิ่งนัก ราวกับไม่ใช่ชิงหลันคนเดิมที่ข้าเคยรู้จัก? ไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไรกันเช่นนั้นหรือ?" องค์ไท่จื่อตรัสถามขึ้นด้วยความสงสัย
"ก็ย่อมต้อง" ธิตาภากล่าวขึ้นมาได้เพียงเท่านั้นก็เงียบเสียงลงไปในทันที
"ก็ย่อมต้องอันใดเช่นนั้นรึ?"
"แล้วเมื่อก่อนหม่อมฉันเป็นอย่างไรบ้างเช่นนั้นหรือเพคะ?" แทนที่จะตอบคำถามขององค์ไท่จื่อ แต่ธิตาภากลับตั้งคำถามต่อองค์ไท่จื่อแทนเสียนี่ ด้วยคุ้นชินกับวัฒนธรรมของโลกยุคปัจจุบันจึงเผลอลืมตัวไปว่าตนนั้นได้มาเกิดใหม่ในยุคจีนโบราณนี่เสียแล้ว
"เมื่อก่อนเจ้าเป็นคนสงบเสงี่ยมไม่ยอมพูดจาหรือต่อปากต่อคำกับผู้ใดทั้งสิ้น โดยเฉพาะกับเพศตรงข้าม แต่พอมาวันนี้เจ้ากลับเจรจาได้เก่งนัก ทำให้ข้าอดสงสัยขึ้นมาไม่ได้" องค์ไท่จื่อตอบ
"ถ้าเช่นนั้นหม่อมฉันเข้าใจแล้วเพคะ หม่อมฉันจะกลับไปเป็นคนไม่ค่อยพูด ไม่ค่อยจาเป็นคนพูดน้อยเช่นเดิมก็ได้เพคะ" ชิงหลันพูดพร้อมทั้งพยักหน้าขึ้นลงไปด้วย
"ไม่ว่าเจ้าจะเป็นเช่นไร ข้าก็ยังจะชอบเจ้าอยู่ดี" องค์ไท่จื่อตรัสขึ้นพร้อมทั้งส่งสายตาวิบวับมาให้กับชิงหลัน
'ไท่จื่อท่านมันร้าย' ธิตาภากรีดร้องคำนี้ขึ้นมาในใจอีกเป็นรอบที่หนึ่งร้อย
'วัน ๆ ไม่ทำงานทำการอะไรหรอกหรือยังไงกัน? ถึงได้เที่ยวมาเกี้ยวนางกำนัลถึงในตำหนักของไทเฮาได้เช่นนี้?'
"หากองค์ไท่จื่อไม่มีอะไรจะตรัสกับหม่อมฉันแล้ว หม่อมฉันขอทูลลาไปก่อนนะเพคะ" ชิงหลันพูดขึ้นพร้อมทั้งย่อกายลงคำนับและเดินจากไป แต่เดินไปได้เพียงสามก้าวเท่านั้นก็ถูกคว้าตัวไว้ให้หันมารับจุมพิตกับองค์ไท่จื่อทันที ทำให้ร่างน้อยนั้นมีความรู้สึกว่าขาทั้งสองข้างของตนนั้นอ่อนแรงจนแทบจะทรงตัวไว้ไม่อยู่
"ข้าอยากจุมพิตกับเจ้า ข้าก็ต้องได้จุมพิต ข้าเป็นองค์ไท่จื่อของต้าโจว ข้าอยากจะได้สิ่งไหน ข้าก็ย่อมต้องได้ในสิ่งนั้น โดยเฉพาะเจ้า ขอให้เจ้าจงจำใส่สมองน้อย ๆ ของเจ้าเอาไว้ด้วยนะ" องค์ไท่จื่อตรัสออกมาเพียงเท่านั้นจึงเดินจากไป ทิ้งให้ชิงหลันต้องเหม่อมองตามออกไปด้วยความไม่เข้าใจว่า ผู้ชายในยุคจีนโบราณเขารุกหนักกันขนาดนี้ด้วยหรือ?