เวลาผ่านไปเนิ่นนานกว่าตาเฒ่าเจ้าเล่ห์จะยอมปล่อยชิงหลันให้เป็นอิสระจากจุมพิตเพชรฆาตนั่นเสียที
เมื่ออีกฝ่ายยอมถอนจุมพิตออกจากริมฝีปากบางแล้วก็ทำเอาชิงหลันถึงกับต้องรีบสูดลมหายใจเข้าไปลึก ๆ ทันที ซึ่งอาการที่ชิงหลันแสดงออกมานั้นทำให้บุรุษตรงหน้าอดที่จะหัวเราะขบขันขึ้นมาด้วยความเอ็นดูมิได้
"อาการของเจ้าทำราวกับว่าตนเป็นลูกสุนัขตัวน้อย ๆ ที่กำลังจะจมน้ำขาดอากาศหายใจตายอย่างไรอย่างนั้นเลยนะ"
เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นอย่างอารมณ์ดี
"ข้าอยากขอตัวกลับตำหนักของไทเฮาแล้วเจ้าค่ะ อยู่กับใต้เท้าไปก็ไม่เห็นจะมีอะไรดีขึ้นมาเลยสักนิดเดียว"
ชิงหลันพูดขึ้นมาด้วยความโมโหหน่อย ๆ พร้อมทั้งขยับตัวออกห่างจากบุรุษที่พยายามให้ตนเรียกว่า"พี่เฉิน" ให้จงได้
"หากเจ้าอยากจะกลับตำหนักของไทเฮาก็ย่อมได้ แต่เจ้าอย่าลืมว่าเวลาที่เจ้าตกลงว่าจะอยู่กับข้าคือสองชั่วยาม ในเมื่อวันนี้เจ้ารักษาเวลาและคำพูดของเจ้าไม่ได้ อนาคตข้างหน้าข้าจะคิดทั้งบัญชีและดอกเบี้ยกับเจ้าอย่างมหาศาลเลยทีเดียว" บุรษหนุ่มตรงหน้าเอ่ยขึ้นอย่างช้า ๆ ทว่ากลับหนักแน่นในทุกคำพูดของตนยิ่งนัก
"ถ้าเช่นนั้น ข้าขอตัวกลับก่อนนะเจ้าคะ" ชิงหลันพูดขึ้นและเดินออกจากหอสมุดมาด้วยความรวดเร็ว
เมื่อกลับไปถึงตำหนักของไทเฮาแล้ว ชิงหลันก็พบว่าไทเฮากำลังจิบชาอยู่พอดีจึงรีบเดินเข้ามาหาไทเฮาและส่งยิ้มอย่างประจบให้กับองค์ไทเฮาทันที
"เจ้าเป็นเช่นไรบ้างชิงหลัน อายเจียได้ข่าวมาว่าเจ้าเป็นลมเป็นแล้งที่หอสมุดด้วยเช่นนั้นหรือ?"
"ใช่แล้วเพคะ หม่อมฉันรู้สึกเวียนหัวเล็กน้อยจึงได้หมดสติไปเพียงชั่วครู่เท่านั้นเองเพคะ พอฟื้นขึ้นมาแล้วหม่อมฉันก็รีบกลับมาหาไทเฮาทันทีเลย
เพคะ"
"เจ้าช่างปากหวาน รู้จักเจรจานักนะเจ้าเด็กคนนี้" ไทเฮาตรัสขึ้นยิ้ม ๆ
"มาเถอะมานวดไหล่ให้อายเจียที แก่แล้วนอกจากจะเดินเหินไม่สะดวกแล้วยังชอบปวดเมื่อยตามร่างกายอีกด้วย"
"เพคะ" ชิงหลันรับคำอย่างว่าง่ายก่อนจะลงมือบีบนวดไหล่ให้ไทเฮาอย่างเบามือ ผ่านไปได้นานราวสองเค่อ ไทเฮาจึงมีรับสั่งให้ชิงหลันกลับไปพักผ่อนได้
ชิงหลันเดินออกมานอกตำหนักด้วยใจที่เหม่อลอย เนื่องด้วยชีวิตของตนเพิ่งพบเจอกับความสูญเสียมาหมาด ๆ ทำให้ตนนั้นยากที่จะสลัดความเศร้าที่เกาะกุมอยู่ข้างในจิตใจออกไปได้
เมื่อกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้ว ชิงหลันก็พบว่าตำหนักที่ไทเฮาประทับอยู่นั้นมีชื่อว่า ตำหนักฮวาชิงเจี้ยน กินเนื้อที่โดยรอบกว้างขวางใหญ่โตยิ่งนัก อีกทั้งยังมีอุทยานดอกไม้และลำธารใสไหลเย็น มีต้นไม้มากมายที่คอยปกคลุมให้ความร่มรื่นกับตำหนักอยู่เสมอ
ชิงหลันเดินเล่นไปได้สักพัก จึงได้หยุดยืนบนสะพานหินที่ทอดผ่าน
ลำธารสายหนึ่ง เพื่อให้ร่างกายได้สัมผัสกับสายลมเย็น ๆ ที่พัดมาอย่างแผ่วเบาก่อนจะหลับตาพริ้มลงอย่างผ่อนคลาย
"ในเมื่อเจ้าชอบนางมากขนาดนี้ ทำไมถึงไม่ให้บิดาของเจ้าไปสู่ขอตบแต่งนางมาเป็นภรรยาของเจ้าเสียเลยเล่า หากเอาแต่ลอบเฝ้ามองนางเช่นนี้ มิกลัวว่าจะเสียนางไปให้กับผู้อื่นหรอกหรือ?" บุรุษหนุ่มผู้หนึ่งเอ่ยกระซิบขึ้นเสียงแผ่วเบาราวกับเกรงกลัวว่าดรุณีน้อยผู้อยู่ห่างไกลตั้งครึ่งลี้จะได้ยินในถ้อยคำเมื่อครู่ของตน
"หากข้าพบเจอนางอีกครั้ง ข้าจะลองพูดคุยกับนางดู" บุรุษหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่เอ่ยขึ้นเสียงเบาด้วยความเหนื่อยใจ
"เจ้าอยู่แต่ในกองทัพ มิทราบว่าเจ้าจะได้มีโอกาสไปพูดคุยกับนางตอนไหนเช่นนั้นรึ เห็นแก่ที่เจ้าเป็นเพื่อนรักกันกับข้ามานาน ข้าจะช่วยสงเคราะห์เจ้าสักครา เจ้าว่าดีหรือไม่?" บุรุษหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งเอ่ยขึ้นอย่างกระตือรือร้นเมื่อตนคิดแผนการดี ๆ ขึ้นมาได้อย่างหนึ่ง
"ข้าไม่ขอเชื่อใจเจ้าอย่างเด็ดขาด กุนซือกองทัพเช่นเจ้าดูจากสีหน้าท่าทางแล้ว คงมิแคล้วมีแผนชั่วร้ายอีกใช่หรือไม่?"
"ข้าย่อมต้องไม่ทำร้ายเจ้าแน่ท่านแม่ทัพเพื่อนรัก" บุรุษรูปร่างสูงโปร่งกล่าวขึ้นก่อนจะตวัดมีดสั้นของตนลงบนหลังมือซ้ายของคนที่ตนเรียกว่าเพื่อนรัก และใช้พลังวัตรซัดฝ่ามือเข้าใส่ ส่งให้ร่างสูงใหญ่นั้นตกลงบนปลายสะพานข้าง ๆ ชิงหลันทันที
เสียงวัตถุหนักที่ตกกระทบพื้นทางด้านขวามือของตน ทำให้ชิงหลันต้องลืมตาขึ้นมาด้วยความตกใจ เมื่อกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วก็พบเข้ากับบุรุษผู้หนึ่งที่สวมชุดเกราะเหมือนแม่ทัพที่กำลังเตรียมความพร้อมในการออก
รบกำลังนั่งอยู่บนปลายสะพานพร้อมทั้งกุมหลังมือของตนเอาไว้แน่น
เมื่อมองเห็นใบหน้าของบุรษผู้นั้นชัดเจนขึ้น ชิงหลันถึงกับอุทานออกมาด้วยความตกตะลึงว่า "พี่เข้ม นั่นมันพี่เข้มชัด ๆ นี่นา หรือพี่เข้มจะตายแล้วย้อนมาเกิดใหม่ยังยุคจีนโบราณเหมือนกันกับเรากันนะ"
ก่อนจะมีผู้ใดเอื้อนเอ่ยคำใดออกมา ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาเสียก่อนว่า "ท่านแม่ทัพ ท่านแม่ทัพเจ็บหนักตรงส่วนใดหรือไม่ขอรับ?"
"เอ๋ ท่านแม่ทัพอย่างนั้นหรือ ดูท่าแล้วคงจะไม่ใช่พี่เข้มหรอกกระมัง" ชิงหลันพึมพำขึ้นมาเสียงเบา ก่อนจะเดินเข้าไปหาบุรุษสองคนที่ยังคงนั่งอยู่บนพื้นพร้อมทั้งส่งสายตามาให้กันราวกับจะฆ่ากันตายทางสายตาเสียให้ได้
"ทะ ท่านบาดเจ็บ หลังมือของท่านมีเลือดไหลออกมาเยอะเลย"
ชิงหลันพูดพร้อมทั้งหันหน้าไปพบเข้ากับใบไม้สีเขียวที่ขึ้นอยู่ในบริเวณนั้นพอดี จึงหยิบใบไม้มาขยี้และโปะลงไปบนบาดแผลที่หลังมือของบุรุษผู้นั้นก่อนจะกดห้ามเลือดให้อย่างรวดเร็ว
"เจ็บมากหรือไม่เจ้าคะ?"
ด้วยความที่ยังตกตะลึงไม่หาย เมื่อคนที่ตนแอบตกหลุมรักมาเนิ่นนาน แต่ทำได้แค่แอบเฝ้ามองอยู่ห่าง ๆ มาบัดนี้นั้นกลับได้อยู่ใกล้ชิดจนหน้าห่างกันเพียงหนึ่งคืบเท่านั้น อีกทั้งยังกำลังทำแผลให้ตนอย่างอ่อนโยน และซักถามอาการด้วยความเป็นห่วง จึงทำให้โม่หานหลงถึงกับตกตะลึงจนใบ้กินไปชั่วขณะ ร้อนถึงกุนซือเพื่อนรักคนสนิทของตนต้องตอบแทนออกไปว่า
"ข้าดูแล้วท่านแม่ทัพน่าจะเจ็บหนักไม่เบา เพราะถูกอาวุธลับจากฝ่ายตรงข้ามซัดมาโดนหลังมือเอาเต็ม ๆ เช่นนี้ บางทีอาจจะมียาพิษปะปนอยู่ด้วยก็เป็นได้"
"ร้ายแรงถึงเพียงนี้เชียวหรือเจ้าคะ?" ชิงหลันพูดด้วยความตกใจ
"ถ้าเช่นนั้นข้าว่ารีบพาท่านแม่ทัพไปหาหมอหลวงจะไม่ดีกว่าหรือเจ้าคะ?"
"พิษนี้ไม่ต้องใช้ยาอันใดรักษาให้ยุ่งยากมากความไป เพียงแต่"
บุรุษหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งเอ่ยขึ้นเพียงเท่านั้นก็นิ่งเงียบไป
"เพียงแต่อันใดหรือเจ้าคะ?" ชิงหลันเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย
"เพียงแต่แม่นางช่วยเป่าลมขับไล่พิษออกไปให้ท่านแม่ทัพ เพียงเท่านี้พิษก็เจือจางลงไปมากโขแล้ว"
"เหตุใดจึงต้องเป็นข้าที่ต้องเป็นคนเป่าลมพิษออกไปด้วยล่ะเจ้าคะ?"
"พิษนี้ไม่มีผลกับตัวผู้หญิงเลยแม้แต่น้อย แต่ส่งผลร้ายแรงต่อผู้ชายยิ่งนัก อีกทั้งยังส่งผลร้ายได้ไวยิ่ง หากแม่นางไม่ยอมช่วย ท่านแม่ทัพคงได้ขาดใจตายภายในวันนี้เป็นแน่"
"เจ้าก็กล่าวหนักไปแล้วจิ้นเหอ" โม่หานหลงกล่าวปรามเสียงเข้ม
"ขอแม่นางอย่าได้ใส่ใจกับวาจาไร้สาระเลื่อนลอยของเขาเลย เรารีบไปกันเถอะ" โม่หานหลงพูดพร้อมทั้งค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนอย่างช้า ๆ
"ขอบใจแม่นางยิ่งนักที่ช่วยทำแผลให้ข้าในวันนี้ เอาไว้ข้าจะตอบแทนบุญคุณในครั้งหน้าก็แล้วกันนะ"
"เรื่องแค่นี้เอง ไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะ” ชิงหลันพูดขึ้นก่อนจะมองตามแผ่นหลังของบุรุษทั้งสองคนไปอย่างตะขิดตะขวงใจ และตัดสินใจวิ่งตามไปด้วยความรวดเร็ว
"ท่านแม่ทัพเจ้าคะ ท่านแม่ทัพ" เสียงเรียกจากทางด้านหลังที่ดังขึ้นทำให้โม่หานหลงต้องหันกลับมามองด้วยความประหลาดใจ
"ข้าทราบมาว่า การช่วยชีวิตคนนั้นประเสริฐกว่าการสร้างเจดีย์เจ็ดชั้นเสียอีกนะเจ้าคะ เพราะฉะนั้นเพียงแค่การเป่าลมไล่พิษข้าย่อมต้องช่วยท่านได้อยู่แล้วเจ้าค่ะ" คำพูดของชิงหลันทำเอากุนซือคนสนิทอย่างจิ้นเหอต้องลอบอมยิ้มด้วยความยินดีปรีดาที่แผนกามเทพแผลงศรของตนประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดี
"ขอข้าดูแผลท่านแม่ทัพอีกทีเถิดนะเจ้าคะ"
ชิงหลันพูดพร้อมทั้งใช้มือเล็กของตนปัดเศษใบไม้ที่ตนใช้ห้ามเลือดออก และก้มใบหน้าลงเป่าลมออกจากริมฝีปากของตนอย่างแผ่วเบาถึงสามครั้งด้วยกัน ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาถามว่า "อาการของท่านแม่ทัพดีขึ้นบ้างหรือไม่เจ้าคะ?"
"ขอบใจแม่นางมาก ตอนนี้ข้าดีขึ้นมากแล้ว หากข้าจะขอทราบชื่อของแม่นางจะได้หรือไม่?" โม่หานหลงพูดออกมาติด ๆ ขัด ๆ
"ข้าน้อยแซ่หวัง ชื่อชิงหลันเจ้าค่ะ แล้วไม่ทราบว่าพวกท่านทั้งสองชื่ออะไรกันบ้างหรือเจ้าคะ"
"ข้าชื่อโม่หานหลง ส่วนผู้นั้นชื่อจิ้นเหอ" โม่หานหลงกล่าวแนะนำตัว
"เจ้าค่ะ ข้าทราบแล้ว เช่นนั้นข้าขอตัวกลับตำหนักของไทเฮาไปก่อนนะเจ้าคะ" ชิงหลันพูดขึ้นพร้อมทั้งเงยหน้าดูพระอาทิตย์ที่กำลังจะลาลับขอบฟ้าไปในเวลาอีกไม่นาน
"ข้าขอร้องอะไรแม่นางอีกอย่างหนึ่งจะได้หรือไม่?" จิ้นเหอเป็นฝ่ายพูดขึ้น
"จะขอร้องอันใดข้าหรือเจ้าคะ?"
"ขอให้แม่นางอย่าได้บอกให้ผู้ใดรู้ว่าพบเจอกับพวกข้าสองคนที่นี่ เพราะนี่เป็นเขตพระราชฐานชั้นใน ซึ่งถือเป็นเขตหวงห้าม บุรุษอื่นนอกจากองค์ฮ่องเต้แล้วไม่สามารถย่างกรายเข้ามาได้หากไม่ได้รับพระบรมราชานุญาตจากพระองค์"
"ข้าน้อยทราบแล้วเจ้าคะ ว่าพวกท่านสองคนนั้นถูกทำร้ายจึงได้พลัดมาถึงที่นี่ หาได้ตั้งใจเข้ามาในเขตพระราชฐานชั้นในนี้โดยพละการไม่"
ชิงหลันกล่าวขึ้นเพื่อให้บุรุษหนุ่มตรงหน้าของตนสบายใจ
"ขอบใจแม่นางยิ่งนัก เจ้าช่างมีน้ำใจงดงามยิ่ง" จิ้นเหอเอ่ยขึ้นพร้อมทั้งลอบมองไปยังท่านแม่ทัพเพื่อนรักของตนที่เอาแต่ยืนบื้อไม่ยอมพูดไม่ยอมจาสิ่งใดแล้วก็อดที่จะเบ้ปากกลอกตาขึ้นมองบนไม่ได้
"เช่นนั้นข้าน้อยขอตัวไปก่อนนะเจ้าคะ" ชิงหลันพูดพร้อมทั้งหันหลังเดินจากไป โดยไม่รู้ตัวเลยว่าตนได้ทำที่ติดผมรูปดอกไม้หล่นลงบนพื้นเสียแล้ว
โม่หานหลงรีบเก็บที่ติดผมนั้นมาไว้กับตนด้วยความรวดเร็วก่อนจะพากันใช้วิชาตัวเบาเหาะลอยขึ้นไปในอากาศเพียงชั่วพริบตาเดียว
เมื่อออกห่างจากวังหลวงได้ราวห้าลี้ จิ้นเหอก็เป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อนว่า "เมื่อเรากลับถึงค่ายทหารแล้ว ไม่ทราบว่าท่านแม่ทัพจะให้ของรางวัลอันใดกับกามเทพผู้หล่อเหลาคนนี้บ้างหรือขอรับ"
"ลงโทษโบยห้าสิบไม้ โทษฐานสาระแนไม่เข้าเรื่อง"
โม่หานหลงตอบเสียงเข้มก่อนจะยกที่ติดผมรูปดอกไม้ขึ้นมาสูดดมกลิ่นหอมเข้าปอดไปอย่างมีความสุขพร้อมทั้งลอบคิดถึงดรุณีน้อยรูปงามผู้ที่ทำให้ตนต้องตกอยู่ในห้วงแห่งความรักอยู่ตลอดเวลาอย่างมีความสุขอยู่ภายในใจ