ชิงหลันเดินกลับไปยังตำหนักของไทเฮาด้วยความสับสนกับหลายสิ่งหลายอย่างที่ตนได้พบเจอในวันนี้ อีกทั้งยังอดประหลาดใจขึ้นมาไม่ได้ว่าการพบเจอบุรุษแต่ละคนนั้นเป็นเพราะอะไรกันแน่สวรรค์ลิขิตหรือผีผลักกันแน่นะ?
เมื่อเดินเหม่อลอยมาถึงตำหนักของไทเฮาแล้ว ชิงหลันก็พบว่าเสี่ยวจูกำลังกินข้าวเย็นอยู่อย่างเอร็ดอร่อยจึงอดที่จะอมยิ้มขึ้นมาน้อย ๆ ด้วยความ
เอ็นดูมิได้
"มา ๆ ๆ ชิงหลัน มานั่งกินข้าวด้วยกันนี่มา"
เสี่ยวจูร้องเรียกเมื่อเห็นชิงหลันเดินมาถึงหน้าเรือนพักของเหล่านางกำนัลพอดี
"กับข้าวเย็นนี้ มีตุ๋นซี่โครงหมู ผัดผักสามสหาย กับข้าวสวยร้อน ๆ เลยนะ ข้าแบ่งไว้ให้เจ้าด้วยแล้ว" เสี่ยวจูพูดขึ้นอย่างมีความสุข
"ขอบใจเจ้ามากนะ" ชิงหลันพูดขึ้นพร้อมทั้งยกชามข้าวขึ้นมาและคีบผัดผักสามสหายส่งเข้าปากของตนก่อนจะเคี้ยวกลืนลงคอไปอย่างช้า ๆ
'อร่อยมาก รสชาติถือว่าใช้ได้เลยทีเดียว นับว่าการได้ชีวิตใหม่ที่เป็นเพียงแค่นางกำนัลในวังหลังแห่งนี้ก็ยังไม่ได้เลวร้ายมากจนเกินไปนัก อย่างน้อยก็มีข้าวให้กิน มีที่อยู่ให้ซุกหัวนอน' ชิงหลันคิดขึ้นมาในใจก่อนจะเอ่ยถามออกไปว่า
"เรานอนพักกันที่ไหนหรือเสี่ยวจู?"
"เมื่อก่อนเจ้าก็พักรวมกันกับข้าในห้องนี้แหละ แต่เมื่อสองสัปดาห์ก่อน องค์ไท่จื่อได้มาทูลขอให้ไทเฮาทรงพระราชทานเรือนน้อยให้เจ้าได้อยู่อาศัยแยกออกไปจากเหล่านางกำนัลต่างหากอีกหนึ่งหลัง" เสี่ยวจูจีบปากจีบคอพูดพร้อมทั้งซัดข้าวเข้าปากไปอย่างไม่ยั้ง
"เอ๋!! เพราะเหตุใดกันข้าถึงต้องได้อยู่แยกห่างจากพวกเจ้าด้วยล่ะเสี่ยวจู?" ชิงหลันเอ่ยถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ
"เห็นว่าเจ้าได้รับหน้าที่ให้ดูแลรับผิดชอบยานวดอันล้ำค่า และตำราต่างๆ ของไทเฮา ซึ่งไทเฮาได้ทรงมีรับสั่งให้เจ้าเข้าไปนอนพักในเรือนน้อยนั้นเพื่อเป็นการเฝ้าสิ่งของอันล้ำค่าของไทเฮานั้นด้วยตัวของเจ้าเอง" เสี่ยวจูตอบ
"มีหน้าที่เช่นนี้ในวังหลวงนี้ด้วยเช่นนั้นรึ?" ชิงหลันถามขึ้นด้วยความอัศจรรย์ใจ
"แล้วนอกจากการนอนเฝ้าสิ่งล้ำค่าพวกนั้นแล้ว ในแต่ละวันข้ามีหน้าที่อื่นใดอีกหรือไม่เสี่ยวจู?"
"หน้าที่ของเจ้าก็คือดูแลปรนนิบัติรับใช้องค์ไทเฮาตั้งแต่เช้าจรดค่ำอย่างไรกันเล่า ไทเฮาทรงมีรับสั่งเช่นไร เจ้าก็ทำตามรับสั่งไปแค่นั้นก็เป็นอันสิ้นเรื่อง" เสี่ยวจูตอบด้วยความไม่ทุกข์ร้อน
"เรือนน้อยที่ข้าต้องเฝ้าของล้ำค่านั้นอยู่ที่ใดกันหรือเสี่ยวจู?"
"อยู่ทางปีกตำหนักตะวันตกตรงมุมโน้น" เสี่ยวจูพูดพร้อมทั้งชี้นิ้วมือกลมป้อมของตนไปทางทิศตะวันตกของตำหนักซึ่งห่างจากเรือนที่พักของนางกำนัลไปได้ราวหนึ่งลี้ (ห้าร้อยเมตร)
"เหตุใดเรือนน้อยที่ข้าต้องได้ไปพักอาศัยอยู่ ถึงได้อยู่ห่างไกลจากเรือนที่พักของเหล่านางกำนัลที่เจ้าพักอยู่นักล่ะ?" ชิงหลันถามขึ้นมาด้วยความสงสัย
"ไทเฮาทรงพระราชทานเรือนน้อยนั้นให้เจ้าพักเป็นสัดส่วนอยู่แต่เพียงผู้เดียวไม่ต้องอยู่แออัดเช่นเดียวกันกับพวกข้าก็นับว่าดีนักหนาแล้ว เจ้าก็อย่าถามอันใดให้มันมากความนักเลย ข้าเคยบอกกับเจ้าว่าเช่นไร การขี้สงสัยกับการไม่สำรวมอาจจะนำภัยมาสู่ตัวเองได้ เจ้าจำมิได้หรือ?" เสี่ยวจูกล่าวเตือนสติ
"อ้อ" ชิงหลันกล่าวขึ้นมาเพียงเท่านั้นก็วางชามข้าวลง และลุกขึ้นยืนด้วยความรวดเร็ว
"แล้วนั่น!! เจ้ากินข้าวอิ่มแล้วหรือนั่น?" เสี่ยวจูร้องถามขึ้นเมื่อพบว่า
ชิงหลันกำลังก้าวเดินตรงไปยังเรือนน้อยทางปีกตะวันตก
"ข้าอิ่มแล้ว ขอบใจเจ้ามากนะ สำหรับอาหารมื้อนี้ ข้าขอตัวไปก่อนนะ วันนี้ข้ารู้สึกเหนื่อยเพลียเล็กน้อย จึงจะรีบกลับไปพักผ่อนเอาแรงเสียหน่อย" ชิงหลันพูดขึ้นพร้อมกับก้าวขาเดินไปที่เรือนน้อยทางทิศตะวันตกด้วยความรวดเร็ว เมื่อเปิดประตูเข้าไปแล้วก็พบว่าเรือนน้อยนี้มีขนาดกว้างคูณยาว หกเมตรคูณสี่เมตร มีฉากกั้นตรงมุมห้องสำหรับใช้ในการอาบน้ำ ถัดมาเป็นเตียงนอนไม้กระดานยกพื้นสูงประมาณหกสิบเซนติเมตร มีเครื่องนอนจำนวนหนึ่งและตู้เสื้อผ้าสำหรับไว้ใส่เสื้อผ้าอยู่อีกหนึ่งหลังเพียงเท่านั้น
ถัดมาอีกฝั่งหนึ่งของห้องใช้เป็นที่เก็บตำราต่าง ๆ ของไทเฮา ซึ่งวางเรียงอยู่บนชั้นอย่างเป็นระเบียบ และมีตลับยานวดต่าง ๆ มากมายบรรจุอยู่ในหีบไม้อย่างดี อีกทั้งยังส่งกลิ่นหอมอ่อน ๆ ออกมาอีกด้วย
ชิงหลันก้าวขาไปยังมุมห้องตรงที่อาบน้ำก่อนจะเปลื้องชุดของตนออกและอาบน้ำอย่างสบายใจ ใช้เวลาอาบน้ำนานไม่ถึงหนึ่งเค่อ ร่างบางก็พาตัวเองมาใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อนจะนอนลืมตาคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยจนเผลอหลับไปไม่รู้ตัว เมื่อยามซวี (เวลา 20.00น.) นี้เอง
ทางด้านตำหนักหยางซินโหว..........
เมื่อยามห้าย (เวลา 21.00น.) มาเยือน อู่กงกงก็เอาแต่แอบลอบมองมายังประมุขของแผ่นดินด้วยแววตาหวาดหวั่นละคนคิดหนักไม่แพ้กัน พร้อมทั้งเดินไปมาหน้าห้องทรงพระอักษรขององค์ฮ่องเต้จนนับครั้งไม่ถ้วน
เมื่อตัดสินใจได้แล้วจึงรวบรวมความกล้า ถือถาดใส่ถ้วยชาอันหอมกรุ่นเข้าไปยืนข้างโต๊ะทรงพระอักษร และเอ่ยขึ้นอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ ว่า
"ทูลฝ่าบาท นี่ก็เป็นช่วงเวลายามห้ายแล้ว มิทราบว่าจะทรงโปรดให้พระสนมองค์ใดมาถวายการปรนนิบัติหรือพ่ะย่ะค่ะ" แต่เมื่อพบว่าองค์ฮ่องเต้นั้นนอกจากจะไม่ตอบคำถามของตนแล้วยังเอาแต่จ้องมองไปยังฎีกาฉบับหนึ่งอยู่ อู่กงกงจึงเอ่ยต่อไปว่า
"กระหม่อมนำชาผู่เอ๋อร์ที่ฝ่าบาททรงโปรดปรานมาถวายด้วยนะ
พ่ะย่ะค่ะ"
"อืม วางไว้แล้วเจ้าออกไปได้" สุรเสียงเข้มตรัสดังขึ้น
"พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท" อู่กงกงกล่าวขึ้นมาเพียงเท่านั้นก็กลับไปยืนสงบนิ่งตรงหน้าห้องทรงพระอักษรต่อไปอีกอย่างเงียบเชียบ
"อู่กงกงขอรับ" เสียงขันทีน้อยผู้หนึ่งเอ่ยดังขึ้น
"คืนนี้ฝ่าบาททรงโปรดให้พระสนมองค์ใดเข้าเฝ้าถวายการปรนนิบัติหรือขอรับ?"
"ฝ่าบาทยังไม่ทรงมีรับสั่งให้พระสนมองค์ใดมาปรนนิบัติทั้งนั้น"
อู่กงกงเอ่ยขึ้นอย่างเคร่งเครียด เนื่องด้วยองค์ฮ่องเต้นั้นทรงมีพระโอรส
เพียงสามพระองค์ พระธิดาองค์เล็กเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น โดยไท่จื่อนั้นเป็นพระโอรสองค์โตที่ประสูติแต่องค์ไทเฮาอายุได้สิบเก้าปี องค์ชายรองที่ประสูติแต่พระสนมขั้นเฟยอายุได้สิบแปดปี องค์ชายสามที่ประสูติแต่พระสนมขั้นกุ้ยเฟยอายุได้สิบเจ็ดปี และองค์หญิงพระธิดาองค์เล็กที่ประสูติแต่พระสนมขั้นเฟยอีกหนึ่งพระองค์ที่มีอายุได้เจ็ดปีเพียงเท่านั้น ซึ่งถือได้ว่ารัชกาลของพระองค์นั้นนับจำนวนเชื้อพระวงศ์ได้น้อยนักนั่นเอง
เหล่าบรรดาพระสนมแต่ละองค์ที่ได้เข้ามาถวายตัวปรนนิบัติองค์ฮ่องเต้หลังการถวายตัวแต่ละครั้งจะถูกพระราชทานยาห้ามการตั้งครรภ์ทั้งสิ้นโดยไม่มีข้อยกเว้น
แม้ว่าเหล่าบรรดาขุนนางจะพากันยื่นฎีกาขอให้องค์ฮ่องเต้ทรงมีพระโอรสหรือพระธิดาเพิ่มก็ล้วนไม่เป็นผลใด ๆทั้งสิ้น
เหล่าขุนนางที่พากันถวายบุตรีของตนเข้ามาเป็นพระสนมต่างก็ล้วนต้องผิดหวังไปตาม ๆ กัน เนื่องด้วยองค์ฮ่องเต้ไม่ทรงยอมมีพระโอรสหรือธิดาเพิ่มขึ้นอีกเป็นอันขาด โดยทรงให้เหตุผลว่า การบริหารจัดการบ้านเมืองดูแลเหล่าอาณาประชาราษฎร์นั้นคือหน้าที่และหัวใจสำคัญของพระองค์ หาใช่การหมกมุ่นแต่ในกามารมณ์เพื่อมุ่งหวังจะมีบุตรเพียงแต่อย่างเดียวเท่านั้นนั่นเอง
ผ่านไปได้นานราวสองเค่อ องค์ฮ่องเต้จึงทรงมีรับสั่งขึ้นมาว่า
"อู่กงกง เทศกาลล่าสัตว์ที่กำลังจะมาถึงในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้านี้ จัดเตรียมไปถึงขั้นตอนใดแล้วบ้าง?"
อู่กงกงจึงได้เดินเข้ามาในห้องทรงพระอักษรอีกครั้งและตอบไปว่า
"ทูลฝ่าบาท กระหม่อมได้ให้เหล่าองครักษ์ฝีมือดีไปจัดเตรียมสถานที่และดูแลเส้นทางการเดินทางไว้ล่วงหน้าแล้วพ่ะย่ะค่ะ" อู่กงกงตอบด้วยความนอบน้อม
"เอ่อ คือกระหม่อม" อู่กงกงเอ่ยออกมาเพียงเท่านั้นก็ไม่กล้าพูดสิ่งใดออกมาให้เป็นที่ขุ่นเคืองพระทัยอีก
องค์ฮ่องเต้ทรงปรายสายพระเนตรมาดูก็พบว่าอู่กงกงกำลังยืนถือถาดใส่ป้ายรายชื่อพระสนมไว้ด้วยมืออันสั่นเทาอยู่ จึงตรัสขึ้นมาอย่างเสียมิได้ว่า
"วันนี้ถึงรอบของพระสนมองค์ใดที่ต้องมาปรนนิบัติข้าเช่นนั้นหรือ?"
เมื่อได้ยินองค์ฮ่องเต้ตรัสขึ้นมาดังนั้น อู่กงกงจึงรีบประคองถาดรายชื่อพระสนมเข้าไปยื่นตรงหน้าพระพักตร์ด้วยความตื่นเต้น
"หลี่ผิน เหตุใดถึงได้มีชื่อนางบ่อยนักนะ?" องค์ฮ่องเต้แสร้งตรัสขึ้นอย่างไม่จริงจังนัก
"เอ่อ คือ" อู่กงกงตอบอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ก่อนจะกลั้นใจเอ่ยต่อไปว่า "วันนี้เป็นรอบของพระสนมขั้นผิน กับกุ้ยเหรินที่ต้องมาปรนนิบัติฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ"
องค์ฮ่องเต้ทรงพิจารณาป้ายชื่อของเหล่าสนมอีกครั้งก่อนจะตรัสขึ้นมาว่า "ข้าจะเข้านอนแล้ว นี่ก็ดึกมากแล้ว พวกเจ้าก็ไปพักผ่อนกันได้แล้ว" หลังกล่าวจบองค์ฮ่องเต้ก็ลุกขึ้นเสด็จเข้าห้องบรรทมของตนไป
ทางด้านอู่กงกงนั้นด้วยความที่เป็นคนช่างสังเกตและหูไว ตาไวเป็นพิเศษ จึงพบว่าฎีกาที่องค์ฮ่องเต้ทรงเอาแต่จดจ้องทำทีอ่านเป็นนานสองนานนั้นมีรูปวาดของนางกำนัลผู้หนึ่งอยู่ อีกทั้งยังมีลายพระหัตถ์ขององค์ฮ่องเต้ เขียนกำกับไว้ด้วยว่า
ชมโฉมเจ้าดั่งต้อง มนตรา
ดุจดั่งจันทร์บนนภา แน่แล้ว
แสงดาวส่องสกาว ยังหม่นหมองมัว
เพียงหนึ่งเจ้าในหล้า นี่หนาหาใดเทียม
"นะ นะ นี่ เป็นรูปนางกำนัลจากตำหนักใดกันนะ ถึงทำเอาฝ่าบาททรงจ้องมองได้นานถึงเพียงนี้? ถึงขนาดแอบมาวาดรูปนางในห้องทรงพระอักษร และทรงแต่งกลอนกำกับเอาไว้ด้วย อาการราวกับบุรุษผู้ที่กำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความรักอย่างไรอย่างนั้นมิมีผิด" อู่กงกงรำพึงขึ้นมาด้วยความตกตะลึงและขยี้ตาตัวเองไปมาอีกหลายครั้งอย่างไม่เชื่อสายตาของตนนัก
'สวรรค์ทรงมีเมตตาต่อเหล่าอาณาประชาราษฎร์และวังหลวงแห่งนี้แล้วสินะ นานเพียงไรแล้วที่ข้าไม่ได้เห็นพระโอรสและพระธิดามาวิ่งเล่นกันด้วยความสนุกสนานในวังหลวงแห่งนี้ ไม่ได้แล้ว!! ข้าคงต้องรีบตามหาตัวนางกำนัลผู้นั้นให้พบ เพื่อที่ฝ่าบาทจะได้มีบุตรอีกในอีกเร็ววันนี้' อู่กงกงคิดอย่างหมายมาดอยู่ภายในใจ
ส่วนทางด้านองค์ฮ่องเต้ผู้ที่ตรัสว่าตนกำลังจะเข้าบรรทมไปแล้วนั้น นอกจากจะบรรทมหลับไม่ลงแล้ว กลับเอาแต่มายืนทอดพระเนตรมองดวงดาวบนท้องฟ้าด้วยใจที่เหม่อลอยไปถึงใครบางคนอยู่เงียบ ๆ พร้อมกับรำพึงขึ้นมาเสียงเบาว่า "ข้าไม่ต้องการสนมนางใดอีก (นอกจากเจ้า) เจ้าลูกแมวน้อยของข้า พี่เฉินคนนี้"