บทที่ 2 อาลัยอาวรณ์

1747 คำ
พอเครื่องยนต์คันหรูดับลง พันธดนย์ก็ไม่รอช้าที่จะลงจากรถ อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมอิงลดามานั่งอยู่ที่ซุ้มไม้หน้าบ้าน ราวกับว่ากำลังรอเขาอย่างไรอย่างนั้น “กลับมาไวกว่าที่คิดนะคะ” เธอเปล่งเสียงออกมาก่อน อิงลดาพยายามควบคุมน้ำเสียงให้เป็นปกติ “ทำไม แล้วเป็นไร...มารอฉัน?” เขาเลิกคิ้วข้างหนึ่งอย่างคนสงสัยสุดขีด ปกติแล้วเจ้าหล่อนไม่ได้สนใจเขาเสียด้วยซ้ำ วันนี้ผีเข้าหรืออย่างไร “ปะเปล่า ฉันก็แค่มาเล่นโทรศัพท์หน้าบ้าน ดูพระจันทร์ปกติ” เธอว่าพร้อมกับยกมือยกไม้ไปด้วย มือไม้ช่างระเกะระกะเสียจริง “เหรอ แต่วันนี้คืนเดือนดับนะ” ชายหนุ่มว่าพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าไปด้วย เช่นเดียวกับอิงลดาที่เงยหน้าขึ้นมอง เธอกะพริบเปลือกตาปริบ ๆ ก้อนน้ำลายตีตื้นมาจุกที่ลำคอ ก่อนที่เธอจะฝืนกลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงคอ “ก็ดูดาวแทนไง” “หึ...” เขาส่ายหน้าเบา ๆ อิงลดาโกหกคนเป็นที่ไหน เธอทำอย่างกับเขาเป็นคนโง่ “มารอฉันก็บอก” “_” “ทำไม รอเพราะเป็นวันครบรอบ?” น้ำเสียงของเขานั้นดูราบเรียบ แต่คนฟังไม่ได้รู้สึกราบเรียบตามไปด้วย “จำได้ด้วยเหรอคะ” เธอว่าด้วยน้ำเสียงสดใส มุมปากเล็กนั้นกระตุกยิ้มบาง ๆ ก่อนที่จะค่อย ๆ หุบยิ้มลงเมื่อได้ยินคำพูดต่อมาของเขา “จำได้สิ ฉันก็นับวันรอที่จะได้เป็นอิสระสักที” เขายกแขนขึ้นมากอดอก พันธดนย์มองหน้าผู้หญิงที่ขึ้นชื่อว่าเป็นภรรยาในนามคนนี้ อิงลดาในวัยยี่สิบแปดต่างจากเดิมมากน้อยแค่ไหนเขารู้ดี ด้วยความที่เติบโตมาด้วยกัน ตอนนี้เธอสวยมากแค่ไหนเขาก็รู้ดีเช่นกัน “อีกแค่ปีเดียวค่ะ ฉันก็รอเหมือนกัน” เธอว่าเสียงแข็งกระด้างเหมือนกับที่ผ่านมา ให้เขารู้ว่าการแต่งงานกับผู้ชายที่ไม่ได้รักนั้นมันขมขื่นมากแค่ไหน “ก็ดี...เดี๋ยวฉันจะทยอยเก็บของออกจากบ้าน” “เก็บของ?” “ใช่ ฉันจะซื้อบ้านใหม่” นิสาเป็นคนรุ่นใหม่ หัวสมัยใหม่ เธอชอบบ้านสไตล์โมเดิร์นไม่ใช่บ้านสไตล์ไทยโบราณ แน่นอนว่าเขาต้องตามใจคู่ชีวิตคนใหม่ “ตะแต่ว่า...คุณอาบอกว่าเราต้องอยู่ด้วยกันจนครบห้าปีไม่ใช่เหรอคะ” น้ำเสียงของเธอดูแปลกไป หางเสียงมันดูอาลัยอาวรณ์อย่างไรชอบกล พันธดนย์รู้สึกแปลก ๆ แต่ก็ไม่อยากคิดไปเอง ชายหนุ่มรู้ดีว่าอิงลดาเองก็ไม่ได้รักเขา “ก็ย้ายของออกก่อนไง ของฉันเยอะเธอก็รู้” จะไม่ให้เยอะได้อย่างไร ก็เขาอยู่บ้านหลังนี้ตั้งแต่เกิด แถมส่วนใหญ่ยังเป็นผลงานศิลปะที่เจ้าตัวชอบไปประมูลมาอีกด้วย “อ้อ...” “ส่วนเธอ...จะอยู่นี่ต่อ หรือจะไปอยู่ที่อื่นก็ได้” เขาไม่ติดใจหากว่าอิงลดาจะอยู่ที่นี่ต่อ ด้วยความที่บ้านหลังนี้เหลืออยู่ไม่กี่คน หากว่าเขาไม่อยู่ บ้านหลังใหญ่ก็คงรกร้างไป “ฉัน...” เธอลังเล หันไปมองบ้านที่เต็มไปด้วยความทรงจำเหล่านี้ หากอยู่ที่นี่ก็คงรู้สึกอบอุ่น แต่ถ้าไปจากที่นี่ก็จะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่แบบจริงจัง ทว่าพอคิดก็เกิดใจหายขึ้นมา แต่พอจะตอบเขาก็หมุนตัวกลับเข้าบ้านไป โดยไม่รอฟังคำตอบจากเธอแม้แต่คำเดียว อิงลดายืนมองแผ่นหลังหนาที่จากไปด้วยความรู้สึกหว้าเหว่ในอก “เฮ้อ...เป็นไรเนี่ย” เธอส่ายหน้าเบา ๆ อย่างคนนึกรำคาญตัวเอง หัวใจที่ว้าวุ่นนี้ไม่เคยเป็นมาก่อนเลยสักครั้ง แต่ทำไมมาเป็นเอาป่านนี้ อิงลดากุมขมับเดินกลับเข้าบ้าน วันนี้ก็คงนอนไม่หลับ... เช้าวันต่อมา... ดอกไม้ช่อโตถูกวางลงที่หน้าโกฏิสำหรับใส่เถ้ากระดูก อิงลดามองรูปภาพของผู้มีพระคุณทั้งสองด้วยความรู้สึกเสียใจ ระลึกถึงอย่างสุดซึ้ง พ่อแม่ของเขาคนนั้นรักและเอ็นดูเธอเหมือนกับลูกแท้ ๆ แม้นว่าจะรับมาเลี้ยงจากสถานสงเคราะห์ด้วยความที่อยากมีลูกสาว “คิดถึงจังค่ะ” ห้าปีมาแล้วตั้งแต่ที่ท่านทั้งสองประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ หัวใจของเธอเจ็บหน่วงยามที่คิดถึง ไม่ง่ายเลยที่จะยอมรับการจากไปอย่างกะทันหันนั้นได้ แม้นว่าจะไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ขณะเดียวกันที่ลูกแท้ ๆ อย่างพันธดนย์ เขาเสียศูนย์ไปหลายเดือนเลยทีเดียว ในตอนนั้นเหมือนกับมีหมอกร้ายมาปกคลุมบ้านหลังนี้ เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นเขาร้องไห้ ปกติแล้วพันธดนย์เข้มแข็งมากแค่ไหนเธอรู้ดี “จะหมดสัญญาแล้วนะคะ สี่ปีแล้วค่ะ” เธอนั่งพูดอยู่คนเดียวภายในห้องพระ ซึ่งพันธดนย์ตั้งใจเก็บโกฏิของพ่อแม่ไว้ที่บ้าน เพื่อระลึกถึงท่านทั้งสอง ทว่าตอนนี้เขามีความคิดจะย้ายออกไป เธอเองก็ไม่รู้ว่าเขาจะเอาไปด้วยไหม “อิงรู้สึกแปลก ๆ ค่ะ อึก ทำไมถึงรู้สึกแบบนี้ก็ไม่รู้” เธอไม่เคยมีความคิดแบบนี้ในหัวเลย สามีหนุ่มไม่เคยทำดีกับเธอ ต่างคนต่างอยู่เสียมากกว่า บางวันก็แทบไม่ได้คุยกัน แต่ทำไมหัวใจถึงอาลัยอาวรณ์เมื่อนึกขึ้นได้ว่าอีกแค่หนึ่งปีที่ยังมีพันธะต่อกัน ...อิงลดามักเข้ามาห้องพระเพื่อสวดมนต์ พร้อมกับพูดคุยกับอัฐิของผู้มีพระคุณทั้งสอง ยามที่รู้สึกไม่สบายใจก็มักจะทำอย่างนี้เสมอ รวมถึงเรื่องนี้ที่ก่อกวนจิตใจจนนอนไม่หลับทั้งคืน เธอเดินออกจากห้องของผู้มีพระคุณสายตาก็ปะทะกับเจ้าของห้องฝั่งตรงข้ามที่ออกมาจากห้องของตัวเองพอดี ชายหนุ่มชะงักเล็กน้อย ก่อนจะส่ายหน้าอย่างเอือมระอาเมื่อได้เจอเธอ “ชิ...ทำอย่างกับเจอผี” เธอคว่ำปากลงอย่างคนน้อยใจ กระทืบเท้าปึงปังเข้าห้องของตัวเองไป ส่วนคนตัวโตก็ได้แต่พ่นลมหายใจออกมา เธออายุเพิ่มขึ้นแค่ตัวเลขจริง ๆ ส่วนสมองและอารมณ์น่ะหรือ...ไม่ได้โตตามตัวเลยสักนิด โรงแรมเกตุพิมุก เป็นโรงแรมหรูใจกลางกรุงเทพฯ เมืองหลวงที่คับคั่งไปด้วยผู้คน ธุรกิจโรงแรมเป็นธุรกิจเดียวของตระกูลเกตุพิมุกสกุล กระนั้นก็สร้างมูลค่าให้ตระกูลมากมายมหาศาล โดยเฉพาะทายาทเพียงคนเดียวอย่างพันธดนย์ ตึกที่สูงตระหง่านนี้ไม่ใช่แค่ที่พักโรงแรมระดับห้าดาว แต่ยังมีสำนักงานใหญ่อยู่ข้างใน ด้วยความที่เขาเป็นทายาทตระกูลเก่า ที่ทางสำหรับสร้างโรงแรมนั้นก็ตั้งอยู่ใจกลางเมือง เป็นสถานที่ท่องเที่ยว บรรยากาศของเมืองหลวงที่สามารถมองเห็นแม่น้ำเจ้าพระยา รวมถึงวัดวาอารามที่ถือเป็นเอกลักษณ์ของประเทศ ไม่แปลกที่โรงแรมเกตุพิมุกจะเป็นที่นิยมของชาวต่างชาติกระเป๋าหนัก คืนละแสนสองแสนก็มี แน่นอนว่าไม่สะเทือนกระเป๋าของลูกค้าระดับมหาเศรษฐี ...ทางด้านบนสุดมักเป็นห้องรายวันที่แพงที่สุด สำนักงานจะอยู่ชั้นล่างเป็นส่วนใหญ่ ตึกที่สูงตระหง่านนี้มีสองตึกใหญ่ด้วยกัน มีสกายวอร์คกระจกเป็นทางเชื่อมที่สามารถเดินผ่านไปมาได้ พันธดนย์เดินนำหน้าเลขาฯสูงวัยท่านหนึ่ง ซึ่งเคยทำงานกับคนเป็นพ่อมาก่อน “กี่ชั่วโมงนะครับ วันนี้” “สามชั่วโมงครับท่าน” เขาพยักหน้ารับเบา ๆ แม้นว่าจะอายุน้อยกว่า แต่อีกฝ่ายก็เคารพเขาในฐานะเจ้านาย “เฮ้อ...สิ้นเดือนทีไรปวดหัวทุกที” ชายหนุ่มบ่นงึมงำ แม้นว่างานที่ทำอยู่จะไม่ได้หนักหนาอะไร ด้วยความที่ธุรกิจโรงแรมนั้นมีการจัดการเป็นระบบระเบียบ มีแค่ปัญหาที่เข้ามาแทรกแซงแค่บางครั้งบางคราวก็แค่นั้น “เดือนนี้เหมือนจะไม่มีเรื่องอะไรนะครับ” “ก็หวังว่าอย่างนั้น” สิ้นเดือนจะมีประชุมใหญ่ของผู้ถือหุ้น รวมถึงการชี้แจงงบประมาณประจำเดือน ทว่าก่อนที่เขาจะได้เข้าห้องประชุมไปนั้น “อ้าว...ท่านประธาน” เสียงเอ่ยทักก็ดังขึ้นเสียก่อน ร่างหนาของประธานหนุ่มหันไปมอง ชายหนุ่มยิ้มบาง ๆ ให้กับผู้มาใหม่ เป็นพ่อของนิสาที่เข้ามาทักทายเขา ซึ่งท่านเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นคนหนึ่ง แม้นจะไม่มากแต่ก็ไม่ได้น้อยจนเกินไป “ครับ...” เขายกมือไหว้ทักทายอีกฝ่าย อีกไม่นานก็จะได้เป็นครอบครัวเดียวกัน “ผมขอคุยอะไรด้วยหน่อยนะครับ” พันธดนย์ยกแขนขึ้นมองเวลาบนนาฬิกาข้อมือ เวลาที่ยังพอมีอยู่ทำให้เขาพยักหน้ารับเบา ๆ พร้อมกับผายมือให้อีกฝ่ายเดินนำหน้าไปในที่ลับตาคน โดยที่เลขาฯของเขายังคงยืนมองอยู่ห่าง ๆ อย่างห่วง ๆ “ผมได้ยินนิสาว่าสัญญาเหลือแค่หนึ่งปีใช่ไหมครับ” “อ้อ ใช่ครับ” เขาก็นึกว่าเรื่องอะไร พันธดนย์พยักหน้ารับเบา ๆ “ไม่ต้องกังวลครับ ถ้าครบกำหนดแล้วผมจะรับผิดชอบนิสาเองครับ” “นั่นแหละที่ผมกังวล คุณกับลูกสาวผมไปไหนมาไหนด้วยกัน จนใครหลายคนเขาต่างนินทาว่านิสาเป็นเมียน้อยบ้าง ผมไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปไว้ไหน ยังไงก็อย่าลืมคำพูดก็แล้วกันครับ” “ผมเข้าใจครับ” เขามั่นใจว่าอย่างไรก็ต้องรับผิดชอบนิสาอยู่แล้ว ชายหนุ่มยิ้มรับอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด “เห็นคุณตอบแบบนี้ผมก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาหน่อย” ไกรวิชญ์ยิ้มให้กับท่านประธาน ว่าที่ลูกเขยที่เขาหมายมั่นปั้นมือว่าอยากได้เป็นลูกเขยใจแทบขาด แม้นว่าจะต้องรอให้อีกฝ่ายทำตามสัญญาถึงห้าปีก็ตามที แต่มันก็คุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้มหากว่าแลกมากับมรดกหมื่นล้าน ที่อีกไม่นานก็จะต้องตกเป็นของลูกสาวของเขา...
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม