สองสาวเพื่อนสนิทพากันเดินเข้ามาในโรงพยาบาลพร้อมกับอาจารย์เพื่อมารายตัวเพราะเจ้าเอยกับพีพีได้รับเลือกให้มาเรียนรู้ภาคปฏิบัติที่โรงพยาบาลชื่อดังแห่งนี้เพียงแค่สองคน ทำให้เป็นที่อิจฉาของนักศึกษาแพทย์คนอื่นอย่างมากเนื่องจากโรงพยาบาลแห่งนี้ไม่เคยให้นักศึกษาแพทย์มาก่อน
“เจ้าเอยที่นี่โคตรหรูเลย ไม่เหมือนโรงพยาบาลสักนิดแต่เหมือนโรงแรมหรู ๆ มากกว่า”
“เอยก็คิดแบบเดียวกับพีพีแหละ แต่จะโชคดีหรือโชคร้ายต้องดูกันอีกที”
“พีพีว่าต้องโชคดีอยู่แล้ว ใครๆ ก็อิจฉาเราทั้งนั้นที่ได้มาที่นี่”
“จร้า เอยจะรอดู”
“อย่ามัวแต่คุยกันนักศึกษารีบ ๆ เดินเข้าสิ อย่าให้ผู้ใหญ่ต้องรอ”
“ค่ะ/ค่ะ”
อาจารย์ของขวัญหันไปดุสองสาวเมื่อเห็นว่าทั้งสองมัวแต่เดินพูดคุยหยอกล้อกันจนทำให้เดินช้าลง เธอไม่อยากผิดเวลานัดกับทางผู้บริหารของโรงพยาบาลมันจะทำให้ดูไม่ดีไปถึงมหาวิทยาลัย พอโดนดุสองสาวก็หยุดคุยรีบจ้ำอ้าวเดินตามอาจารย์ไป
“ขอบคุณทางโรงพยาบาลมากเลยนะคะที่รับนักศึกษาแพทย์ของเราให้มาเรียนภาคปฏิบัติที่นี่”
“ด้วยความยินดีครับ งั้นเดี๋ยวผมให้คุณพยาบาลนกพาเดินชมโรงพยาบาลดีกว่านะครับ จะได้รู้จักสถานที่เวลามาจะไม่ได้งงหรือหลง”
“ขอบคุณอีกครั้งนะคะ”
“ยินดีครับ”
หลังจากเข้าพบพูดคุยกับทางผู้บริหารของโรงพยาบาลเสร็จเรียบร้อยทั้งคณะก็ถูกพาไปแนะนำสถานที่สำคัญต่าง ๆ โรงพยาบาล ก่อนที่นักศึกษาทั้งสองคนจะถูกพาไปพบอาจารย์หมอเพื่อเริ่มเรียนรู้การรักษา
การมาของนักศึกษาและอาจารย์อยู่ในสายตาของเจบีตลอดแต่เขาไม่ได้ปรากฏตัวให้ใครเห็นเขาเพียงแค่มองผ่านกล้องวงจรปิดภายในห้องทำงานเท่านั้น
“คุณเจบีครับ ไม่คิดออกไปทำความรู้จักหรือแนะนำตัวกับคณะอาจารย์และนักศึกษาหน่อยเหรอครับ” โรมที่เห็นเจบีเอาแต่นั่งจ้องคอมพิวเตอร์บนโต๊ะก็อดจะถามไม่ได้ ถ้าอยากรู้อยากเห็นขนาดนั้นทำไมไม่ออกพบด้วยตัวเอง
“ไม่” พอตอบโรมเสร็จเจบีก็ลุกขึ้นไปหยิบเสื้อกาวน์เดินออกไปนอกห้อง โรมที่เห็นก็รีบลุกตามทันทีเพราะหน้าที่เขาต้องติดตามเจบีไปทุกที่ทุกเวลา
“นายจะไปไหนครับ”
“ห้องผ่าตัด” เจบีหันมามองโรมแล้วเลิกคิ้วเหมือนจะถามโรมว่าจะเข้าห้องผ่าตัดไปกับเขาหรือไง หรือมัวแต่สนใจเรื่องอาจารย์กับนักศึกษาแพทย์วันนี้จนลืมไปว่าเขามีเคสผ่าตัดรออยู่
“ไม่ครับ เชิญนายเลยครับ”
นับตั้งแต่มาอยู่ที่โรงพยาบาลมาเจ้าเอยกับพีพีก็แทบไม่มีเวลาว่างเลย เพราะต้องเข้าห้องตรวจกับอาจารย์หมอเพื่อดูการตรวจและการรักษาคนไข้ทั้งวัน
ในขณะที่ทั้งคู่กำลังเดินออกจากโรงพยาบาล เจ้าเอยมองพีพีที่ทำท่าเหมือนคนหมดแรงพูดออกมาทั้ง ๆ ที่พวกเธอไม่ได้ทำอะไรเพียงแค่ยืนดูและคอยฟังคุณหมอผู้รักษาวิเคราะห์อาการเท่านั้น
“ทำไมเรียนในโรงพยาบาลมันเหนื่อยกว่าเรียนที่ห้องเรียนอีกนะ”
“เอยว่าไม่ขนาดนั้นสักหน่อย พีพีก็เว่อร์เกินไป”
“ก็มันเหนื่อยจริง ๆ นี่น่า เราไปเดินเล่นที่ห้างกันไหม”
“ไปสิ เอยอยากไปซื้อของเหมือนกัน”
‘ว้ายยย’ เพราะเจ้าเอยมัวแต่หันไปมองและคุยกับพีพีทำให้ไม่ทันได้มองข้างหน้าแต่พอหันหน้ากลับมาจึงชนเขากับคนที่เดินสวนมาอย่างจังแทบหงายหลังล้มลงไปกองที่พื้นดีที่ยังมีอ้อมแขนของคนที่เดินชนโอบกอดช่วยไว้ได้ทัน
“อื้อออ.... เจ็บ” เจ้าเอยครางออกมาเพราะความเจ็บที่เข้าเล่นงานตรงจมูกจากการกระแทกเข้ากับอกแกร่งของคนตรงหน้า อกหรือผนังแข็งเกินไปแล้วถึงจะผิดแต่เธอก็เจ็บตัวจนอดบ่นในใจไม่ได้
“เป็นอะไรไหม”
“ไม่ค่ะ ขอโทษนะคะที่เดินไม่ทันระวัง” เจ้าเอยรีบก้มหน้าขอโทษทันที พอเงยหน้าขึ้นมามองคนที่ตัวเองเดินชนก็เกิดอาการแข็งขาอ่อนแรงยังดีที่ยังอยู่ในอ้อมแขนของเขาจึงไม่ทรุด
เจ้าเอยมองคนตรงหน้าตาค้างนิ่งจะไม่ให้อึ้งได้ยังไงก็เขาคือคุณหมอคนนั้นคนที่คอยวนเวียนอยู่ในหัวเธออยู่ตลอด ต่างจากอีกฝ่ายที่มองจมูกแดง ๆ ของเธอด้วยสายตาเป็นห่วงเป็นใย เขายกมือขึ้นสัมผัสด้วยความทะนุถนอม
“เจ็บมากไหม”
“มะ.... ไม่ค่ะ”
“เดี๋ยวพาไปทายา” เจบีไม่สนใจคำปฏิเสธของเจ้าเอยเขาจับมือเธอให้เดินตามเขาเพื่อพาไปยังห้องพักแพทย์ของเขาที่อยู่ชั้นบนสุดของโรงพยาบาล
“ไม่ต้องก็ได้ค่ะเอยไม่เป็นอะไร”
“ไม่ได้!!!!” พอได้ยินเสียงเข้มของอีกฝ่ายเจ้าเอยก็ไม่กล้าพูดกล้าขัดอีกต่อไปได้แต่เดินตามไปโดยดี ก่อนเจ้าเอยจะหันหลังไปมองพีพีที่ยังดูอึ้งกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจนทำอะไรไม่ถูกก่อนที่เธอจะได้สติตั้งท่าจะเดินตามเจ้าเอยมาแต่โดนใครบางคนขวางไว้ทำให้ทั้งคู่เกิดมีปากเสียงกันอยู่ตรงนั้น
“คุณหมอค่ะ เอยเดินเองได้”
“....” ไม่มีคำตอบจากคนข้างหน้านอกจากพาเธอเดินไปยังลิฟท์เพื่อขึ้นไปยังห้องพักของเขา ขณะอยู่ในลิฟท์เจ้าเอยออกอาการเกร็งไปทั้งตัวจนอีกคนที่ยืนอยู่ด้วยอดยิ้มด้วยความเอ็นดูไม่ได้
“ไม่ต้องเกร็ง หมอไม่ทำอะไรหรอก” เจ้าเอยเงยหน้ามองคนพูดก็เห็นรอยยิ้มจาง ๆ ประดับอยู่บนใบหน้าก็ยิ่งให้ตาพร่าเลือนเพราะความหล่อกระชากใจ ปกติทำหน้านิ่ง ๆ ก็หล่ออยู่แล้วพอยิ้มแบบนี้หล่อกว่าเดินร้อยเท่าพันเท่า เจ้าเอยใจเหลวไปหมดแล้ว
ทั้งคู่มาถึงห้องพักของเจบีเขาก็พาเธอไปนั่งที่โซฟาก่อนตัวเองจะไปหยิบหลอดยาแก้ฟกช้ำติดมือมา เขานั่งลงบีบยาจากหลอดทาตรงปลายจมูกแล้วนวดเบา ๆ
“เจ็บไหม”
“ไม่ค่ะ ขอบคุณค่ะ เอยเป็นคนเดินชนคุณหมอแท้ ๆ ยังต้องให้คุณหมอทายาให้อีก”
“แล้วทำไมเดินไม่ดูทาง” เจบีชวนเธอคุยพร้อมกับมองไปที่ดวงจากลมโตของเจ้าเอยหลังจากที่เขาทายาให้เธอเสร็จเรียบร้อยแล้ว เพียงแค่สบตากับเขาเธอก็หน้าเห่อร้อนและเริ่มแดงเพราะเขินอายกับดวงตาคมที่จ้องมองเธออยู่
“เอ่อ...... คือเอยมัวแต่คุยกับเพื่อนค่ะ”
“แล้วจะไปไหนกัน”
“จะไปซื้อของกับเพื่อนค่ะ”
“ที่ไหน”
“ที่ห้างค่ะ”
“เดี๋ยวหมอพาไป”
“ไม่เป็นไรค่ะ เอยรอไปกับเพื่อนก็ได้ ไม่รบกวนคุณหมอหรอกค่ะ”
“เจบี”
“คะ???” เจ้าเอยเอียงคอมองเขาพร้อมทำหน้างงงงก่อนจะเอ่ยถามเขาด้วยความสงสัย มีอย่างที่ไหนอยู่ ๆ ก็พูดออกมาใครเขาจะรู้ แต่พอเขาขยายความว่าคืออะไรเธอก็ส่งยิ้มหวานให้เขาไป
“ชื่อหมอ”
“อ๋อค่ะ คุณหมอเจบี”
“ไปกัน”
“ไปไหนคะ???” อยู่ ๆ เจบีก็ลุกขึ้นกับคำพูดลอย ๆ จนเจ้าเอยงง เขาพูดเหมือนชวนเธอไปไหนสักแห่ง นี่เขาทำไมถึงประหยัดคำพูดจังพูดยาว ๆ ให้เธอเข้าใจมากกว่านี้หน่อยไม่ได้เหรอ เธอไม่ได้เก่งเรื่องอ่านความคิดหรืออ่านสายตาได้นะ เขาแค่สบตากับเธอแล้วพูดประโยคสั้น ๆ แค่นั้นแล้วเธอจะรู้ไหม
“ไปห้าง”
“แต่....”
“ห้ามปฏิเสธ ถ้ากลัวเดี๋ยวให้เพื่อนไปเจอที่นั่น” เจบีตัดบทเขาไม่รับฟังคำปฏิเสธอะไรของเธอทั้งสิ้น ต่อจากนี้เตรียมตัวเตรียมใจรับมือเขาได้เลย
“ค่ะ” เจ้าเอยจำใจเดินตามเขาไป เขาทำตัวเหมือนสนิทหรือรู้จักคุ้นเคยกับเธอมานานทั้งที่เพิ่งคุยกันครั้งแรก ทำไมเวลาอยู่กับเขาเธอไม่รู้สึกถึงอันตรายเวลาแต่กลับรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยแทน