“ผมเอาคะน้าหมูกรอบครับ”
ร่างสูงใส่สูทราคาแพงนั่งลงที่เก้าอี้ในร้าน เลือกนั่งบริเวณโต๊ะด้านหน้าสุด ช่วงสายของวันเขาจะมานั่งที่นี่ทุกวัน และเมนูที่สั่งก็ไม่ค่อยต่างจากเดิมมากนัก วันไหนไม่สั่งคะน้าหมูกรอบ ก็จะสั่งข้าวผัด ทั้งๆที่เป็นถึงเจ้าของบริษัทกลับมานั่งกินข้าวที่ร้านเล็กๆแห่งนี้ด้วยตัวเอง
“พิเศษไหมลูก”
สาวิกาถามอย่างทุกที มองใบหน้าหล่อเหลาของคนรุ่นลูกด้วยรอยยิ้ม กว่าเด็กหนุ่มคนนี้จะรู้เวลา กว่าจะรู้ว่าช่วงไหนคนน้อยก็ใช้เวลาหลายปี ก่อนหน้านั้นที่เขามา จะมาช่วงที่คนเยอะตลอด จนบางทีกว่าจะได้กินข้าวก็เกือบครึ่งชั่วโมง หรือบางทีนานถึงสองชั่วโมงก็มี แต่เขาก็ยังยืนรอเงียบๆ ไม่รู้ติดใจอะไรร้านอาหารของท่าน
“ไม่ครับ แต่วันนี้เอาสองจาน”
ศิวะนั่งหันหน้าออกนอกร้าน มองไปในทิศทางที่บริษัทตัวเองตั้งอยู่ เวลาที่คิดอะไรไม่ออกเขาชอบมาที่นี่ นั่งมองสิ่งที่ตัวเองมีจากมุมนี้เงียบๆ เป็นแบบนี้มาหลายปีแล้ว ตั้งแต่ที่เริ่มก่อตั้งบริษัท เมื่อ 8 ปีก่อน
“แม่สา หนูกลับมาแล้วค่ะ” หนึ่งนภาเดินถือของพะรุงพะรังเข้าไปในร้าน เดินผ่านผู้ชายที่ดูดีทุกระเบียบนิ้วไปอย่างรวดเร็ว หัวใจเธอเต้นไม่เป็นจังหวะทุกครั้งที่เขามา และดูเหมือนว่าครั้งนี้จะเต้นแรงมากกว่าปกติ เพราะครั้งนี้เขามองเธออย่างสนอกสนใจ
เป็นครั้งแรกที่ศิวะมองคนอื่นที่ไม่ใช่เจ้าของร้าน เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกคุ้นหูกับเสียงของพนักงานคนนี้ ทั้งๆที่เธอทำงานที่นี่มาหลายปี แต่เขากลับไม่เคยตั้งใจฟัง แต่เสียงเมื่อกี้ที่เขาได้ยิน มันเหมือนเสียงครางหวานที่ตามเข้ามาหลอกหลอนในห้วงความฝันเขาบ่อยๆ
หนึ่งนภารีบผุบหายเข้าไปหลังร้าน ไม่รู้ว่าเขาจะจำเธอได้ไหม หลังจากเรื่องในคืนนั้นเกิดขึ้น เธอตั้งใจจะลาออกจากที่นี่ เพราะคิดว่าต้องไปดูแลน้องสาวอย่างใกล้ชิดที่โรงพยาบาล แม้จะรู้สึกเสียดายงานตรงนี้ แต่เธอตั้งใจแบบนั้น ถึงได้กล้าตัดสินใจขายตัวให้เขา แต่ไม่เคยคิดถึงเหตุการณ์แบบวันนี้เลย เขาคงจำเธอไม่ได้หรอก หวังให้เขาจำไม่ได้ เพราะวันนั้นเธอแต่งหน้าหนามาก มันต่างจากตอนนี้นิดหน่อย แถๆไปก่อนว่าไม่ใช่คนเดียวกัน มันน่าจะได้มั้ง
“ได้แล้วลูก” จานข้าวสองจานที่วางลง เรียกสติของศิวะให้ออกจากห้วงความคิด ลงมือกินข้าวเงียบๆ แต่หูทั้งสองข้างยังคอยฟังเสียงหวานๆ ของคนที่หายเข้าไปหลังร้านอยู่ตลอด
“มีอะไรลูก วันนี้เค็มไปเหรอ”แม่ค้าอาหารตามสั่ง เอ่ยถามคนที่นั่งนิ่งเมื่อกินอาหารของท่านเข้าไปได้เพียงสามคำ
“เหนื่อยไหมครับ” ทำไมเขาถึงได้รู้สึกเหนื่อย ทั้งที่เขามีทุกอย่างแบบนี้ แต่ไม่เคยมีสักวันที่ได้พักเลย บางวันก็เหนื่อยจนอยากนอนอยู่บ้านเฉยๆ แต่พอคิดจะทำแบบนั้นจริงๆ ร่างกายก็ตื่นตัว วิ่งหัวฟูมาทำงานเหมือนเดิม
“หมายถึงงานของแม่รึเปล่า มันก็เหนื่อย แต่มันก็มีความสุขดี เพราะได้ทำเพื่อคนอื่น”
คนมากวัยพูดด้วยรอยยิ้ม เวลาที่เห็นคนกินกับข้าวฝีมือท่าน ท่านมีความสุขที่สุด และไม่เคยขึ้นราคาเลย เป็นแบบนี้ตั้งแต่เปิดร้านแรกๆจนถึงตอนนี้ อาจจะปรับราคาขึ้นมาบ้าง ตามยุคและราคาข้าวของ แต่ไม่เคยเกินครั้งละ 5 บาทเลย และนานๆปีถึงจะขึ้นที และตอนนี้ราคาค่าอาหารร้านท่านก็อยู่ที่ 30 เท่านั้น แม้ร้านอื่นจะขึ้นไป 50-60 หมดแล้วก็ตาม
“การทำเพื่อคนอื่นมันรู้สึกดีเหรอครับ” เขายังไม่เข้าใจ เพราะสังคมที่เขาอยู่มีแต่คนทำเพื่อตัวเองทั้งนั้น ไม่เห็นใครทำเพื่อคนอื่นเลย
“ถ้าอยากรู้ก็ลองดูสิลูก ไม่มีใครรู้ดีเท่าตัวเราเองหรอก ว่ามันรู้สึกดียังไง” ท่านพูดจบก็เดินจากไป เพราะมีลูกค้าเข้ามาสั่งอาหาร ศิวะมองและคิดตามเงียบๆ พร้อมกับลงมือทานข้าวในจานต่อ
เจ้าของบริษัทส่งออกยังคงนั่งคิดอยู่นาน แม้ข้าวในจานจะหมดไปแล้วทั้งสองจานก็ตาม นั่งมองและคิดทุกอย่างเหมือนเคย แต่มีสิ่งหนึ่งที่เพิ่มเติมเข้ามาคือ เขากำลังนั่งฟังและแยกแยะเสียงของคน
“ค่ะ คะน้าหมูกรอบ ไม่พริก กระเพาหมูสับ …..” เสียงพนักงานทวนเมนูอาหารอยู่โต๊ะด้านหลัง ทำให้ศิวะนั่งนิ่ง ถ้ามาครางใกล้ๆเขากว่านี้หน่อย เขาว่าใช่เลย
“คิดเงินเลยครับ”
ปกติเขาจะจ่ายเงินในจำนวนที่เขาพอใจ แต่วันนี้เกิดอยากให้เธอมาเก็บเงินจากเขาซะอย่างนั้น ท่าจะคิดมากจนประสาทกลับไปแล้ว เขาไม่ชอบรอ แต่ยังนั่งรอพนักงานเพียงคนเดียวของร้านเงียบๆ ทั้งที่เลขาโทรมาตามสามรอบแล้ว เขาก็ยังกดตัดสายทิ้งทุกครั้ง จนเลขาเขาถอดใจไม่โทรมาอีกเลย
“ทั้งหมด 60 บาทค่ะ”
หลังจากจัดการโต๊ะด้านหลังเขาเรียบร้อย ถึงได้กล้าเดินมาเก็บเงินกับคนตัวโตที่สุดในร้าน วันนี้เขาเป็นอะไร ทุกครั้งเห็นวางเงินไว้แล้วออกไปเงียบๆ วันนี้กลับเรียกให้เธอคิดเงินให้ ทั้งยังจ่ายด้วยธนบัตรสีเทาอีก
“สักครู่นะคะ” หนึ่งนภาล้วงเงินออกมาจากกระเป๋าผ้ากันเปื้อน หยิบเงินที่เธอยัดๆใส่เข้าไป ขึ้นมานับแล้วเรียงกัน แต่เหมือนเธอจะมีไม่พอ กำลังจะเดินไปหยิบเงินกับเจ้าของร้านก็ถูกรั้งไว้ด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้ม
“ดูเหมือนจะยังไม่ตายนี่นา แต่ทำไมต้องไปหลอกผีฉันทุกคืนด้วย”
ศิวะมองใบหน้าไร้เครื่องสำอางจนละเอียด รู้แน่ชัดแล้วว่าเธอคือคนที่เขาช่วยไว้ ถึงว่าน้ำเสียงคุ้นๆ ที่แท้เธอคือคนที่จะฆ่าตัวตายแล้วเขาช่วยไว้ทันนี่เอง
“ฉันทำแบบนั้นเหรอคะ” น้ำเสียงหวานพูดเบาลง เมื่อเจ้าของร้านมองมา เธอจึงทำมือบอกให้เขาเบาเสียงลงด้วย เพราะไม่อยากให้แม่สารู้ว่าเธอเคยคิดฆ่าตัวตาย
“ก็ยังมีเหลือนี่นา คนที่ดูเหมือนว่าจะยังไม่อยากให้เธอตาย” ศิวะมองใบหน้าเหี่ยวย่นที่มีแววกังวล ท่านคงได้ยินที่เขาพูด ถึงมองหน้าพนักงานของท่านด้วยสีหน้าห่วงใย
“ค่ะ ขอบคุณอีกครั้งนะคะ ฉันไม่มีอะไรตอบแทนคุณเลย” น้ำเสียงแผ่วเบาของเธอ ทำให้ใบหน้าหล่อเหลาเลิกคิ้วขึ้นสูง เขาแค่ช่วย ไม่ได้หวังอะไรตอบแทน จะมาตอบแทนอะไรเขา แค่เอาชีวิตที่เหลือต่อจากนี้ให้รอดก็พอไหม
“ไปทำงานช่วยฉันไหมละ ฉันขาดคนช่วยพอดี”
แจ๋ว! ความคิดที่วิ่งเข้ามาในหัวครั้งนี้ สามัคคีกับปากพอสมควร คิดปุบพูดปับ จนเธอมีสีหน้าตกใจ เขาไม่ได้ขาดคนหรอก มีแต่จะไล่ออกด้วยซ้ำ ไม่รู้ทำไมถึงได้คิดอะไรแบบนี้ออกมา
“ฉันทำงานที่นี่แล้วค่ะ และจะทำอยู่ที่นี่ไปตลอด”
เขาเพิ่งเคยเจอคนที่ปฎิเสธงานของเขา แต่ก็ไม่แปลกใจหรอก ถ้าเขาเป็นเธอ เขาก็อยากทำงานที่นี่ เจ้าของร้านนี้ใจดีมาก และที่เขามาทุกวัน เพราะอยากซึมซับความห่วงใยจากท่าน ในตอนที่เหนื่อยล้าจากการทำงาน
“แค่ตอนบ่ายไปถึง สามทุ่ม” เขายังคงต่อลอง มีบางอย่างที่เขาอยากพิสูจน์ เขาไม่รู้ว่าเธอกับผู้หญิงคนนั้นใช่คนเดียวกันไหม แต่เขาคิดว่าใช่ น้ำเสียงยิ่งใช่ แต่เขาไม่รู้ว่าเธอมีเหตุผลอะไรให้ทำแบบนั้น
“แม่คะ” หนึ่งนภาหันไปขอความเห็นจากคนที่เธอเคารพเหมือนแม่
“ไปสิลูก มันเป็นโอกาศ หนึ่งต้องลองให้โอกาศตัวเองบ้างนะ”
รอยยิ้มอ่อนโยนของท่าน ทำให้เธอตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว เคยหวังไว้ว่าเรียนจบจะเข้าทำงานที่นั่นอยู่เหมือนกัน แต่ชีวิตเธอพลิกผันอยู่ตลอด นี่คงเป็นโอกาศเดียว และคงเป็นโอกาศสุดท้าย
“ค่ะ ฉันจะไป” เมื่อได้คำตอบในใจ ก็เอ่ยตอบคนที่นั่งรออยู่เงียบๆ
“เอาเงินนั้นไป แล้วบ่ายโมงขึ้นไปหาฉันที่ห้องทำงาน ฉันจะบอกคนของฉันไว้ อย่าแต่งตัวแบบนี้เข้าไปเชียว”
ศิวะพูดจบก็ลุกขึ้นยืน เดินออกไปตามปกติ มุ่งหน้าสู่ตึกที่ตัวเองเป็นเจ้าของ ขึ้นไปข้างบนเงียบๆ โดยไม่คิดจะบอกคนของตัวเองอย่างที่พูดบอกเธอเลยสักนิด