ในยามค่ำคืน ณ ห้องนอนส่วนตัวห้องหนึ่ง ในบ้านตระกูลชาง
“ฮือ ฮือ พี่ซูหลิงอย่าตายนะ ถ้าพี่ตายผมจะอยู่กับใคร”
เสียงเด็กชายร้องไห้สะอึกสะอื้นที่พี่สาวหมดสติไป พี่สาวของเขาเป็นไข้ไม่สบายมาตั้งแต่เช้า แต่ไม่ยอมไปหาหมอเพราะกลัวไม่มีเงินจ่ายค่ายา ซูอี้จึงไปขอยาแก้ไข้จากแม่บ้านมาให้ซูหลิงกิน
“แค่ก แค่ก” เสียงแหบแห้งไอออกมา เพราะขาดน้ำมานานหลายชั่วโมง
“ฮึก ฮึก พี่ฟื้นแล้ว ฮือ ฮือ พี่ซูหลิงอย่าทิ้งผมไปไหนนะ” ซูอี้ร้องไห้เสียงดังออกมา เพราะดีใจที่พี่สาวยังไม่ตาย
ซูหลิงนักฆ่าฝึกหัดสาว ที่จำได้ว่าตนเองถูกศัตรูของบิดาใช้มีดแทงที่หน้าอกข้างซ้าย เมื่อได้ลองขยับร่างกายก็ไม่พบบาดแผลที่หน้าอกเลย จึงพยายามสำรวจร่างกายก็พบว่าปกติดีทุกส่วน จึงค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นมามองดูเหตุการณ์ตรงหน้า ว่ามีใครช่วยเหลือเธอเอาไว้หรืออย่างไร
พอลืมตาขึ้นก็พบเห็นห้องนอนที่มีหน้าตาแปลกไป เต็มไปด้วยข้าวของเครื่องใช้ที่ไม่คุ้นเคย ทั้งยังมีเด็กผู้ชายแต่งกายประหลาด ยืนร้องไห้อยู่ข้างๆเตียงนอน และเรียกตนเองว่าพี่สาว ทั้งๆที่ซูหลิงนั้นเป็นลูกสาวคนเดียวของบิดามารดาจะมีพี่น้องได้อย่างไร
ซูหลิงหลับตาลงเพื่อตั้งสติ และทบทวนว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนเอง ทันใดนั้นความทรงจำมากมายก็หลั่งไหลเข้ามาในสมองของซูหลิง ซึ่งแน่นอนว่าหญิงสาวไม่คุ้นเคยกับเรื่องราวที่ได้รับรู้ เพราะไม่ใช่ความทรงจำของเธอ!!
พอหญิงสาวได้ทำความเข้าใจกับความทรงจำใหม่ ก็เข้าใจแล้วว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเธอ แต่เป็นร่างกายของซูหลิงหญิงสาวแสนสวยที่นิสัยอ่อนต่อโลก ที่มาล้มป่วยและตายจากน้องชายไป
ซูหลิงคนนี้ตรอมใจตาย เพราะเสียใจที่พ่อแม่มาเสียชีวิต ทั้งยังกลัวว่าตนเองจะไม่มีเงินมาเลี้ยงดูน้องชายให้เติบใหญ่ เพราะทรัพย์สินทุกอย่างแม้กระทั่งบ้านที่ใช้อยู่อาศัยก็ถูกขายไปทั้งหมด เพื่อเอาเงินมาใช้หนี้ที่บิดามารดาสร้างเอาไว้ จึงเกิดความเครียดสารพัดจนหัวใจวายตายจากไป
“อาอี้หยุดร้องไห้ได้แล้ว พี่ไม่ได้เป็นอะไรนอนพักสักวันก็หาย เดี๋ยวคนอื่นมาได้ยินเสียงร้องไห้จะหนวกหู และเป็นการรบกวนเจ้าของบ้าน”
ซูหลิงเอ่ยปลอบน้องชายเสียงเบา เพราะร่างกายนี้ยังอ่อนแรงอยู่มาก เนื่องจากขาดทั้งน้ำและอาหารมาทั้งวัน เห็นทีถ้าหายดีคงต้องฟื้นฟูร่างกายเสียใหม่
“อาอี้ พี่ขอดื่มน้ำเปล่าสักแก้วหน่อย คอแห้งมากเลย”
“น้ำครับ” ซูอี้ยื่นแก้วน้ำที่ขอมาจากแม่บ้านให้พี่สาวดื่ม
ซูหลิงยันกายลุกขึ้นนั่งหลังพิงหัวเตียงนอนเอาไว้ แล้วค่อยๆจิบน้ำทีละนิดจนหมดแก้ว พอมีแรงพูดแล้วจึงสอบถามบางอย่างกับน้องชาย
“อาอี้ วันนี้น้องกินข้าวบ้างหรือยัง”
“ยังครับผมรอพี่ตื่น และผมก็ไม่มีเงินออกไปซื้อของกินที่หน้าปากซอยด้วย” ซู้อี้ก้มหน้าตอบพี่สาว เพราะกลัวพี่เป็นห่วง
“หัวหน้าแม่บ้านคนนั้น รังแกน้องอีกแล้วใช่ไหม”
ซูหลิงเอ่ยถามออกมาเสียงเบา แต่ประกายในแววตากับเย็นเยียบขึ้นมา ซูอี้ที่มัวแต่ก้มหน้าจึงไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกตินี้ของพี่สาว
ชางอี้เหวินไปทำงานที่ต่างประเทศเป็นเวลา 1 เดือนแล้ว และยังไม่รู้กำหนดเวลากลับ ตลอดระยะเวลาที่เจ้าของบ้านไม่อยู่ หัวหน้าแม่บ้านสาวที่ไม่ชอบหน้าสองพี่น้องตระกูลซู เพราะซูหลิงมีใบหน้าที่สวยหวานเย้ายวน รูปร่างก็อรชนอวบอิ่ม จนหัวหน้าแม่บ้านที่หึงหวงเจ้านาย มักจะกลั่นแกล้งไม่ให้สองพี่น้องทานอาหารอยู่เสมอ
สองคนพี่น้องต้องได้ออกไปหาซื้ออาหาร ที่ร้านค้าหน้าปากซอยมากินอยู่ตลอด แต่วันนี้ซูหลิงนอนป่วยอยู่ในห้องทั้งวัน ซูอี้จึงยังไม่ได้กินข้าวเลยสักมื้อ
“อาอี้เอาเงินนี้ไปซื้ออาหารที่ร้านหน้าปากซอยมากิน รอให้พี่หายดีพี่จะพาออกไปอยู่ที่อื่น ที่ที่มีแค่เราเพียงสองคนเท่านั้น พี่สาวคนนี้จะดูแลเราเอง”
“ครับ” ซูอี้รีบรับเงินจากพี่สาว และรีบออกไปซื้ออาหารที่ร้านประจำทันที เพราะเขาหิวข้าวมากแล้ว
หลังจากซูอี้ออกจากห้องไปแล้ว ซูหลิงประคองร่างกายตนเองลุกขึ้นไปส่องกระจก เพื่อดูหน้าตาของร่างใหม่ในโลกใบใหม่ แต่หญิงสาวก็ต้องตกใจ เพราะร่างนี้เหมือนกับเธอในภพก่อนทุกอย่าง ทั้งรูปร่างและหน้าตาผิวพรรณ
“หรือจะเป็นโลกคู่ขนานกัน” หญิงสาวพึมพำเสียงแผ่วเบา
ซูหลิงลองกำหนดจิต แล้วระลึกถึงธาตุมิติของตนเองในภพก่อน ปรากฏว่าธาตุมิติของเธอยังใช้งานได้ปกติ แม้จะเปลี่ยนมาใช้ร่างกายในยุคสมัยใหม่แล้วก็ตาม
“ยอดเยี่ยม อาอี้เราไม่อดตายแล้ว พี่สาวคนนี้จะมอบชีวิตใหม่ที่ดีที่สุดให้น้องเอง”
หญิงสาวดีใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะในมิติส่วนตัวของเธอมีทั้งอาหาร สมุนไพร โอสถ แม้กระทั่งเครื่องประดับแพงๆก็มีอยู่มากมาย เพราะซูหลิงเป็นทายาทคนสุดท้ายของตระกูลซู ดังนั้นสมบัติทุกอย่างที่มีค่า จะถูกเก็บไว้ในมิติส่วนตัวของเธอแทบทั้งสิ้น
ซูหลิงนำโอสถผลัดเปลี่ยนเส้นลมปราณ ที่ถูกเก็บไว้ในมิติออกมากิน ซึ่งบิดาของเธอหาซื้อมาไว้ให้จำนวนหนึ่ง และให้เก็บเอาไว้ในมิติส่วนตัว เพื่อเอาไว้กินในยามฉุกเฉิน
โอสถผลัดเปลี่ยนเส้นลมปราณนี้มีผลทำให้ เพิ่มพลังในร่างกาย ทั้งยังทำให้ผิวพรรณอ่อนเยาว์ เนียนใส ถ้าคนที่เจ็บป่วยเล็กน้อยกินเข้าไป ก็ย่อมหายขาดจากอาการป่วยทันที แต่ก็ต้องแลกมาด้วยความเจ็บปวดในร่างกายสักเล็กน้อย
“อ้ากกกกกก” หญิงสาวร้องออกมาเบาๆเพราะกลัวคนได้ยิน
ในยุคที่เธอจากมาคนส่วนใหญ่ก็ไม่มีพลังปราณเช่นกัน จะมีแค่บางคนเท่านั้นที่เกิดมาพร้อมธาตุพิเศษในร่างกาย ซึ่งซูหลิงก็เป็นหนึ่งในคนที่มีธาตุพิเศษในร่างกาย ซึ่งก็คือธาตุมิติในตำนานนั่นเอง
เวลาผ่านไป 30 นาที อาการเจ็บปวดก็หายไป พร้อมๆกับพลังกายที่เพิ่มมามากขึ้น ซึ่งถือว่ามากกว่าในยามปกติของร่างกายนี้เสียอีก
“ขอบคุณสวรรค์ที่ยังรักข้าเช่นเดิม”
หญิงสาวเดินออกไปมองนอกหน้าต่าง แล้วแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า และพึมพำเสียงแผ่วเบา เสมือนต้องการให้เสียงของเธอล่องลอยไปตามสายลม
ก๊อก ก๊อก…..
“พี่ครับ ผมกลับมาแล้ว” ซูอี้ส่งเสียงเรียกพี่สาวเสียงเบา เพราะกลัวรบกวนคนอื่น
“อาอี้ ได้ข้าวมากินหรือเปล่า”
หญิงสาวรีบเดินไปเปิดประตูให้น้องชาย และสอบถามออกไปอย่างเป็นห่วง เพราะไม่รู้ว่าเวลานี้จะมีร้านอาหารเปิดอยู่บ้างหรือเปล่า
“ได้ครับ ผมซื้อข้าวต้มมากินกับพี่” ซูอี้ที่บอกแม่ค้าว่าพี่สาวป่วย แม่ค้าจึงทำข้าวต้มให้ เขาเลยซื้อเมนูเดียวกับพี่สาวเพื่อเอามากินด้วยกัน
“หึหึ เด็กดี มารีบกินเถอะในห้องพี่มีถ้วยชามอยู่”
จากนั้นสองพี่น้อง ก็ช่วยกันกินข้าวต้มจนหมดทั้งสองชาม และล้างเก็บจานชามเข้าที่จนเรียบร้อย จึงได้แยกย้ายกันไปพักผ่อนเพราะเวลานี้ก็เกือบจะ 5โมงเย็นแล้ว
ซูหลิงเข้าไปสำรวจมิติของตนเอง เพราะต้องการหาเครื่องประดับ ไปฝากขายสักชุดตามร้านขายเครื่องประดับโบราณ หรือหาช่องทางส่งเครื่องประดับลงประมูลขาย เพราะเครื่องประดับของตระกูลซู มีแต่มูลค่าสูงๆทั้งนั้น เพื่อเป็นเงินทุนพาน้องชายออกไปหาที่อยู่ใหม่
และจะไปสำรวจสมุนไพรว่ามีชนิดไหน ที่ควรนำไปฝากขายที่ร้านรับซื้อสมุนไพรโบราณบ้าง ช่วงแรกๆคงต้องขายเครื่องประดับกับสมุนไพรไปก่อน เพราะได้เงินรวดเร็วที่สุด
เธอไม่อยากรบกวนชางอี้เหวินมากไปกว่านี้ และอาบุญธรรมคนนี้ ก็เว้นระยะห่างกับเธอจนไม่กล้าขอความช่วยเหลือกันอีกแล้ว ขนาดเขาไปต่างประเทศเป็นเดือนแล้ว ยังไม่เคยโทรศัพท์มาสอบถามข่าวคราวเธอกับน้องชายเลย