ตอนที่ 5
“ผมไม่รู้มาก่อนว่าคุณมาเป็นนักร้องที่นี่”
“ฉันจะกลับแล้ว เดินตามมาทำไม”
“นี่คุณ!! หอพักเราก็ทางเดียวกันไม่ใช่เหรอ อันที่จริงคุณไม่ต้องขับรถมาเองก็ได้นะ วันหลังมาพร้อมผมสิ ทางเดียวไปด้วยกันประหยัดนะคุณ” สรวิชญ์เสนอมายืดยาวแต่ก็ต้องหน้าจ๋อยเมื่อมินตราปฏิเสธคำเชิญชวนนั้นเสียก่อน
“ไม่จำเป็น ฉันไม่อยากรบกวนใคร ไปก่อนนะ” มินตราบอกอีกครั้ง ก่อนเดินจากไป นายวิชญ์จะเรียกให้เธออยู่คุยอีกสักประเดี๋ยวแต่ก็เรียกไม่ทัน มินตราคร่อมมอเตอร์ไชด์ได้ก็บึ่งออกไปทันที ‘เธอเปลี่ยนชุดตอนไหนหว่า ดูท่าแล้วทะมัดทะแมงจริง ๆ’
“สรวิชญ์ขับรถมาเกือบถึงหอพัก ทันมอเตอร์ไชด์ของมินตราที่กำลังจะเลี้ยวเข้าหอด้วยความทุลักทุเล เพราะห่าฝนที่เทกระหน่ำลงมาอย่างหนัก เขาเอารถมอไชด์มาจอดข้าง ๆ มอเตอร์ไชด์ของหญิงสาว เห็นเธอเปียกโชกไปทั้งตัว ไม่ต่างจากเขา
“นี่คุณเปียกไปหมดแล้ว ทำไมไม่รีบเข้าห้อง เดี๋ยวก็ได้เป็นหวัดหรอก” ก่อนจะเดินเข้าห้องสรวิชญ์หันทักมินตราเพราะไม่เห็นเธอเข้าห้องสักที
“คือว่า กุญแจห้องฉันหาย”
“อ่าว!. เอาไปหายตอนไหนล่ะ หาดูดีหรือยังครับ”
“ไม่รู้เอาไปหายที่ไหนนะสิ ต้องเป็นตอนที่เปลี่ยนชุดแน่ ๆ เลย” หญิงสาวตะโกนตอบให้ดังกว่าเสียงฝนที่เทลงมาอย่างหนักหน่วง
“งั้นเอางี้ครับคุณมารอที่ห้องผมก่อน เดี๋ยวไม่สบาย แล้วคุณค่อยลองหาดูอีกทีนะ
“เออ..” หญิงสาวทำท่าจะปฏิเสธ แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรออกไปสรวิชญ์ก็รีบพูดขึ้นอีกเพื่อไม่ให้หญิงสาวเกรงใจ
“ไม่เป็นไรหรอกคุณ มาเหอะ ยืนเปียกแบบนี้เดี๋ยวจะไม่สบายเอา” สรวิชญ์ยืนดูมินตราที่เปียกปอนพอ ๆ กับเขา น้ำหยดไหลรินมาที่ปลายคาง ผมเผ้าเรียบติดศีรษะ เสื้อแขนยาวพอดีตัวเอวลอยนิดของเธอโชว์เอวบางที่ขาวเนียน พร้อมโชว์ลายลูกไม้ของบราเซียร์สีดำทะลุออกมาจากเสื้อสีขาวที่เปียกจนแนบสนิทไปกับลำตัว
“ค่ะ ๆ”
หลังจากนั้นพอนายวิชญ์เปิดห้องมินตราที่เดินตามเข้ามา เขาเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวของเขาให้เธอ
“เช็ดผมคุณก่อน เดี๋ยวจะเป็นหวัด”
“แล้วนี่ชุดผม คุณอาบน้ำเสร็จ คุณเอาไปเปลี่ยนก่อนนะ เดี๋ยวคุณไม่สบาย เป็นชุดนอนผมเอง หวังว่าคุณคงไม่รังเกียจ แต่ชั้นในไม่มีนะ หรือคุณกล้าใส่ของผมจะได้ให้ยืม” สรวิญช์พูดทีเล่นทีจริง
“ไม่ดีกว่า เอาแค่เสื้อกับเกงเกงก็พอ ชุดชั้นในไม่เอา” หญิงสาวนึกสยองกับชุดชั้นในชายไซร์ XL ที่แขวนอยู่ไม่น้อย ใครจะไปใส่ได้ มินตรารับชุดไปแล้วก็รีบเข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เพราะกลัวอาการภูมิแพ้ที่เป็นอยู่จะกำเริบมาอีก
“ขอบคุณนะ” หลังจากที่มินตรานั่งเช็ดผมไปสักพักก็เอ่ยขอบคุณสรวิชญ์
“ไม่เป็นไรครับ ผมยินดีช่วยคุณ”
“คุณชื่ออะไรนะ เห็นน้ารัตน์เรียกคุณว่า หนูมิน”
“ฉันเล่นฉัน มิน ส่วนชื่อจริงก็มินตรา”
“อ๋อ ผมสรวิชญ์ คุณเรียกผม วิชญ์ เฉย ๆ ก็ได้”
“คุณผมขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะ คุณลองหากุญแจไปพลาง ๆ ก่อน ถ้าไม่เจอคุณค่อยไปปลุกน้ารัตน์
“ไม่เอาฉันเกรงใจน้ารัตน์ มันดึกแล้ว เดี๋ยวลองหาดู ดี ๆ อีกทีก่อนนะ”
หลังจากนั้นนายวิชญ์ก็ไปอาบน้ำ มินตราควานหากุญแจอยู่พักใหญ่ก็ไม่พบ เป็นกังวลว่าอาจจะต้องขอใช้ห้องร่วมกับชายหนุ่มที่เพิ่งรู้จักกัน พลางคิดไปใจก็เต้นแรง ไม่นานนักก็มีรถแล่นเข้ามาจอดที่ห้องข้าง ๆ ของสรวิชญ์มินตรารีบเปิดผ้าม่านดู เห็นชายหญิงคู่หนึ่ง นัวเนียกันอยู่หน้ารถของตัวเอง แล้วสักพักก็เดินเข้าห้องไป
หลังจากนั้นไม่นานนักก็มีเสียงเพลงรักบรรเลงขึ้นอย่างเร่าร้อนมาเป็นระยะ ดูแล้วน่าจะเป็นเสียงของผู้หญิงที่ดังสะท้อนมาจากในห้องนอนห้องข้าง ๆ และนี่แหละคือข้อเสียของห้องเช่าลักษณะนี้ คือห้องมันติดกันจนกระทั่งเวลาเข้าห้องน้ำถ้าเผลอผายลมที่รุนแรงเชื่อว่าห้องข้าง ๆ ก็คงได้ยิน และห้องพักมีแปดห้อง แบ่งเป็นคู่ ๆ จะได้ทั้งหมดสี่คู่ ห้องน้ำแต่ละคู่จะอยู่ติดกันในแต่ล่ะคู่ แปลกมั้ยอะ เวลาเข้าห้องน้ำพร้อมกันจะรู้เลยว่าเวลานี้ห้องข้าง ๆ อาบน้ำพร้อมกันกับเรา มินตราพลางคิดไปเรื่อย หอนี้ไม่ค่อยจะส่วนตัวสักเท่าไหร่ แต่ก็ช่างเถอะ มันแลกมาด้วยราคาที่ถูกสุด ๆ แล้วในละแวกนี้
เพื่อความแน่ใจว่าไม่ได้หูฝาด มินตราจึงแนบหูเข้ากับผนังห้อง มันชัดเลย ชัดเจนมาก เป็นเสียงอะไรไม่ได้เลยนอกจาก เสียงของคนที่ร่วมรักกันเท่านั้น
ไม่นานนักนายวิชญ์ก็ออกจากห้องน้ำมาด้วยผ้าเช็ดผืนเดียวโชว์มันกล้ามเป็นลอน เล่นเอามินตราวาบหวิวไปหมด ใจก็เต้นแรงอยู่แล้ว ยิ่งหนักเข้าไปอีก กลัวเขาได้ยินเสียงเมื่อสักครู่เหมือนเธอ หญิงสาวจึงรีบบอกให้เขาเปิดทีวีเผื่อว่าเสียงจะได้ดังกลบเสียงห้องข้าง ๆ ดังกล่าวไป
ยังไม่ทันที่เสียงครางจะหยุด ระหว่างที่นายวิชญ์จะกดรีโมตก็มีเสียงครางที่เร่าร้อนก็ดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ดังกว่าเดิมหลายเท่านัก ทั้งสองได้ยินชัดเจน สรวิชญ์ที่นุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียวทำหน้าเจ้าเล่ห์อมยิ้มจนมินตรา ต้องทำหน้าดุใส่
“อื้มม!! อ๊าาาาาาห์ โอววห์” เสียงเตียงชนผนังห้องดังกึก ๆ
“อ๊าาาส์ ซิ๊ดดส์ อื้มห์”
“อะ อ๊า อ๊า อึ อื้อ อื้อ อ๊าาาส์”
“อร๊าย!!!!”
มินตราทนไม่ไหวกับความไร้มารยาท หญิงสาวขยับตัวลุกขึ้นออกจากห้องด้วยท่าทางหงุดหงิด ก่อนจะเดินไปที่ระเบียงหน้าห้องของห้องต้นเสียงดังกล่าวพร้อมกับสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วปล่อยมันออกมา
เธอกำลังจะยกมือขึ้นเพื่อเคาะห้องต้นเสียงดังกล่าว แต่บังเอิญว่ามีมือหนามาคว้าข้อมือบางของหญิงสาวเอาไว้เสียก่อน
“คุณจะทำอะไร” เสียงกระซิบเบา ๆ ข้างหูเธอ หญิงสาวหันหน้าไปมองชายหนุ่มที่ดึงข้อมือของเธอเอาไว้
“ก็จะเคาะไปบอกเขาไง” มินตราบอกสรวิชญ์ด้วยสีหน้าขุ่นเคือง คิ้วเธอขมวดมุ่น
“อย่าเลย เราไม่รู้เลยว่า อะไรเป็นอะไร”
“แล้วนายไม่ได้ยินเสียงหรือไง”
“ก็ได้ยินอยู่ เกิดเขากำลังทำแผล อะไรแบบนั้นล่ะ มันอาจจะไม่ใส่สิ่งที่คุณคิดก็ได้”
“นี่คุณหาว่าฉันคิดลามกอย่างนั้นเหรอ” มินตราอยากจะบอกว่ามันเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ แต่ก็เหนื่อยที่จะอธิบาย สองคนนัวเนียอยู่หน้าห้องเมื่อสักครู่คงไม่ใช่มาทำแผลอย่างที่นายวิชญ์บอกเป็นแน่
“เออ..แล้วคุณหากุญแจเจอหรือยัง” สรวิชญ์ชวนเปลี่ยนเรื่องซะอย่างนั้น ที่มินตราต้องไปบอกให้สองคนนั้นหยุดเสียงดัง ก็เพราะกลัวใจสรวิชญ์เนี่ยแหละ ที่จะมาทำมิดีมิร้ายกับเธอต่างหาก เธอกลัวพฤติกรรมเลียนแบบต่างหากเล่า
“ยัง..แต่คุณไม่ต้องกลัวหรอกเดี๋ยวฉันไปหาโรงแรมแถวนี้นอนก็ได้”
“ผมยังไม่ได้ไล่คุณสักหน่อย..ไปเหอะกลับห้อง” มินตราไม่ยอมขยับจนสรวิชญ์ต้องพูดขึ้นอีก
“เราไปห้องกันเถอะกัน อยู่อย่างนี้เดี๋ยวเขาจะคิดว่าเรามาแอบฟังเขานะ” สรวิชญ์ที่ยังไม่ได้ปล่อยมือหญิงสาว เขาเลยจุงมือมินตรากลับมาที่ห้องของตัวเอง
“นายจะนอนก่อนก็ได้นะ ผมชั้นยังไม่แห้ง”
“อ๋อ ไม่เป็นไรผมนอนดึกน่ะคุณ”
“นายนี่ชอบดูวอลเลย์บอลด้วยเหรอ”
“อืมห์..ครับ ผมชอบเชียร์นักตบไทย”
“เหมือนกัน งั้นชั้นขอดูให้จบก่อนนะ” หญิงสาวประวิงเวลาไปเรื่อย ๆ ไม่อยากให้เขารีบปิดไฟนอนไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
ไม่นานการแข่งขันวอลเลย์บอลที่ทั้งสองดูก็จบลงที่ทีมชาติไทยชนะ ทำเอาทั้งคู่เชียร์จนลืมตัวเองกันไปเลย ทั้งสองเริ่มสนิทกันมากขึ้นในเวลาอันรวดเร็ว