บทที่ 15 อันตรายในป่า
นางร้องบอกให้ไฉ่หม่ากลับไปทำงาน ไม่ได้สนใจจะพูดคุยกับฉินเปาแม้เพียงครึ่งคำ
“แม่นางมาพอดี น้ำเดือดมาได้สักพักแล้ว” ไฉ่ตู้ที่กำลังเปิดฝาดูมิให้น้ำแห้งเอ่ยออกมา
“ข้าจัดการต่อเอง ขอบคุณมาก” เสิ่นลี่อิงเติมน้ำเล็กน้อยและใส่ขี้เลื่อยที่ได้มาลงไปด้วย นางต้องปล่อยให้น้ำต้มนี้เดือดไปอย่างน้อย 1 ชั่วยาม เวลาระหว่างนั้นนางจึงทำถู่โต้วทอด กินคู่กับเนื้อหมูสันคอย่างชิ้นโตๆ ราดซอสงาขาว เคียงด้วยยำแตงกว่ารสเผ็ดเล็กน้อย แต่สำหรับเปาเปาเขาได้ทานแครอทหั่นแท่งแทน
นางแบ่งอาหารให้กับสองพี่น้องไฉ่ด้วย ไฉ่ตู้ชื่นชมนางไม่ขาดปาก หลังกินเสร็จก็เร่งงานยิ่งกว่าเดิม ส่วนอีกคนก็กินแรงตามเคย ทั้งยังบ่นมาตามลมว่านางมีข้าวสารมากมาย แต่ขนเส้นเดียวก็ไม่ยอมถอน
“ไม่ถูกใจก็ไม่ต้องกิน!” นางเองก็เหลืออดเหลือเกินจึงพวกกระทบกระเทียบกลับไปบ้าง การกินข้าวจริงได้เงียบสงบลงมาบ้าง
กินเสร็จเสิ่นลี่อิงก็ดับไฟและปิดฝาไว้ “รอให้เย็นก่อนนะ” ระหว่างนั้นก็ให้เปาเปาเอากิ่งไม้มาฝึกเขียนอักษรบนพื้นดิน โดยมีนางทำเสี่ยวหลงเปาที่ลุงไฉ่นำน้ำแกงมาส่งให้ตอนนางไปซื้อถังกับลุงกู้ ท่าทางหากนำมารอบสุดท้ายคงจะเปลืองเนื้อที่เกินไป
เมื่องานเสร็จกิ่งไม้ก็เย็นแล้ว นางให้เปาเปาบีบน้ำออกให้พอหมาดแล้วใส่ลงในถังที่รองด้วยผ้าขาวบางไว้ ส่วนนางก็นำก้านเห็ดที่เริ่มมีเชื้อเดินมาหั่นโรยลงไป สลับเช่นนี้จนเต็ม และนำฝามาปิดไว้ เสิ่นลี่อิงนำไปวางเรียงในเพิงไม้ นางนำแผ่นไม้มาปิดทางเข้าให้มืดถือเป็นอันเสร็จ
“เปาเปาต้องมาพ่นน้ำวันละ 2 ครั้งนะ พรุ่งนี้ข้าสอน” นางที่คุยกับเปาเปาก็เห็นพี่น้องไฉ่เดินมาพอดี
“แม่นาง พวกข้าขอกลับก่อน พรุ่งนี้จะมาทำต่อ” นางไม่ว่าอะไร เพียงแค่เดินออกไปดูว่าทั้งคู่ออกไปจากบริเวณบ้านนาง ก็พบว่าฉินเปายังยืนส่องดูบ้านของนางจากไกลๆ
ช่างเป็นตัวน่ารำคาญเสียจริง!
“เปาเปาเข้าบ้าน” นางมองจ้องไปจนฉินเปารู้ตัวเสียทีว่านางเห็นเขาเข้าแล้วจึงหมุนหลบไป ส่วนนางเองก็เข้าบ้านมาตรวจดูน้ำเกลือว่าใช้ได้หรือยัง
“น้ำเต็มแล้วพี่สาว”
“ใช่แล้ว เจ้าไปอยู่รอบ้านน้าจินเหมยได้หรือไม่ ข้าจะเข้าป่าไปเอาต้นหนามจางแปปเดียวเท่านั้น”
“เอามาทำสิ่งใดขอรับ เย็นแล้ว รอพรุ่งนี้”
“เอามาวัดความเค็มของน้ำเกลือ หากใส่ไปแล้วหนามจางลอยก็ถือว่าใช้ได้”
“ระวังด้วย”
“รู้แล้ว” นางนำเปาเปาไปฝากจินเหมยไว้พร้อมด้วยกับข้าวสามอย่างมีผัดฟักทอง หมูมะนาว แกงกะหรี่ไก่ และนมช็อกโกแลตสำหรับเปาหลงและลู่เว่ยอีกคนละแก้ว จากนั้นก็มุ่งหน้าเข้าไปเก็บกิ่งต้นหนางจางในป่าทันที
เสิ่นลี่อิงเข้าป่ามาในเวลาเย็นย่ำ ป่าที่มีต้นไม้สูงเรียงรายก็ยิ่งมีให้แสงลอดผ่านเข้ามาน้อยลงกว่าเดิม แต่นั่นไม่ได้ทำให้นางรู้สึกกลัวเลยแม้แต่น้อย นางเดินสบายๆ มุ่งหน้าไปยังเส้นทางเดิม เก็บกิ่งต้นหนามจางใส่มิติแล้วก็เร่งสาวเท้าเดินออกจากป่าก่อนที่ป่านี้จะมืดสนิททันที
นางเดินกลับมาสักพัก ก็รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงฝีเท้าคน แต่เมื่อนางหยุดเสียงนั้นก็เงียบลงไปตามเดิม นางหลับตาตั้งสมาธิฟังก็ไม่ได้ยินเสียงใดอีกจึงเริ่มเดินต่อ ครานี้เสียงฝีเท้าเดินย่ำแปรเปลี่ยนเป็นเสียงวิ่งมุ่งตรงมาที่ด้านหลังของนาง
นี่!?
ร่างกายเคลื่อนไหวไปเร็วกว่าความคิดนางตวัดขากลับไปถีบยอดหน้าคนที่พุ่งเข้ามา อีกมือจิกผมแล้วฟาดเข้ากับต้นไม้ด้านข้างซ้ำๆ ตะเกียงที่ถือมาตกไปอยู่ที่พื้นเสียแล้ว แต่เสิ่นลี่อิงก็หาได้สนใจไม่ นางหันกลับไปใช้เท้ากระทืบลงไปที่ท้องของคนที่โดนถีบเมื่อตอนแรก จากนั้นจึงได้ยินเสียงที่คุ้นเคยของไฉ่หม่า “ลี่อิงฆ่าคนแล้ว นางกระทืบคน”
ห๊ะ?! สองคนนั้นอยู่นู่น แล้วนี่ใคร??
“หนีเร็ว” ฉินเปาตะโกนบอกให้ไฉ่หม่าวิ่งหนีกับตน แต่กลับถูกชายผู้หนึ่งดักไว้และจัดการให้พวกเข้าสลบเสียก่อน เมื่อสถานการณ์กลับตาลปัตรเช่นนี้ เสิ่นลี่อิงจึงหันมองทางหนีทีไล่ด้านในป่า นางกลับออกไปไม่ได้เด็ดขาด หากนี่เป็นกลุ่มนักฆ่าที่มาตามหาเปาหลง นางต้องล่อพวกมันไปให้ไกลที่สุด นางหยิบดาบจากนักฆ่า 2 คนที่จัดการในตอนแรก แล้ววิ่งลึกเข้าไปในป่า
นางไม่รู้ว่าเดินมาพบสิ่งใดเข้าแต่นางรู้สึกหงุดหงิดยิ่งนัก หากนี่ไม่ใช่กลุ่มนักฆ่าที่ตามล่าเปาเปา ป่าแห่งนี้ก็คงนับว่าเป็นขวัญใจนักฆ่า ไม่รู้เหตุใดจึงจับจองมาไล่ฆ่ากันที่ป่านี้อยู่ได้
ป่าอื่นมันฆ่ากันไม่ได้เหรอ
‘ปัก พึ่บ พั่บ ตุบ’ เสียงต่อสู้ดังมาจากข้างหน้า นางที่หวังจะวิ่งหนีไปอีกทางกลับถูกสังเกตเห็นเสียก่อน จากที่โดนนักฆ่าวิ่งตามมาผู้หนึ่งอยู่แล้วก็ต้องมารับมือกับนักฆ่าอีกผู้หนึ่งที่หมายจะฆ่านางปิดปากไปเสีย โชคยังดีที่ครานี้ตัวนางมิใช่เป้าหมายจึงต้องรับมือกับนักฆ่าเพียง 2 คน
“ส่งของมาแล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้าไว้”
“ไม่มีทาง”
“เช่นนั้นก็ตายอยู่ในป่าแห่งนี้เสีย”
เสียงกลุ่มนักฆ่าและชายผู้หนึ่งตะคอกเถียงกันออกมา เสิ่นลี่อิงจึงสบายใจแล้วว่าคนกลุ่มนี้ไม่ได้มาตามล่าเปาหลงตัวน้อยของนาง เพราะความไม่ชำนาญในการต่อสู้ด้วยดาบ และนางกำลังถูกรุมจึงทำให้เสิ่นลี่อิงตกเป็นรองพวกนักฆ่าในเวลาไม่นาน คราแรกนางเพียงโชคดีที่พวกมันไม่ทันได้ตั้งตัวเท่านั้น
เมื่อถึงคราวเข้าตาจน นางจึงต้องนำเครื่องช็อตไฟฟ้าออกมาจากมิติเพื่อจี้จัดการนักฆ่า แต่ก็ยังต้องเสียแรงต่อสู้อยู่บ้างเพราะต้องจี้ให้โดนจุดรวมประสาทจึงจะทำให้ชาทั้งร่างกายหรือสลบได้
นางจัดการพวกเขาทีละคนจนนักฆ่าเริ่มหันมาสนใจนาง ชายที่ต่อสู้อยู่กับพวกเขาจึงต้องเปลี่ยนมาช่วยเสิ่นลี่อิงแทน “อย่าฆ่าหมด”
“แค่สลบ ไม่ตาย” สิ้นคำลี่อิงก็จี้เครื่องช็อตไฟฟ้าใส่ท้ายทอยนักฆ่าคนสุดท้าย เมื่อจัดการทุกคนครบแล้วก็เกิดการประลองย่อมๆ ขึ้นในป่าอันมืดมิด คนทั้งสองทำเพียงแค่จ้องตากันด้วยสายตายากที่จะอธิบาย ไม่มีสายตาแสดงความขอบคุณ แต่สายตานั้นกลับให้ความรู้สึกว่ากำลังลอบประเมินกันเสียมากกว่า ก่อนทั้งสองจะถูกขัดด้วยเสียงของผู้คนวิ่งเข้ามาหาชายตรงหน้า
หนึ่งในคนที่มาใหม่ยกดาบชี้หน้านาง ส่วนที่เหลือคุกเข่าลงต่อหน้าชายผู้นั้น “ขอท่านอ๋องโปรดลงอาญา พวกกระหม่อมไร้สามารถปกป้องท่านมิได้”
“บอกคนของท่านให้เอาดาบออกจากหน้าข้าด้วย”
เขาพยักหน้าเล็กน้อย สั่งให้องครักษ์หน้านิ่งตรงหน้านางให้ทำตามทันที “ลดดาบ”
“ท่านช่างปฏิบัติกับผู้มาช่วยเหลือได้แปลกดีแท้”
“เจออ๋องแล้วไม่คำนับแปลกดีแท้”
“ข้าเป็นแม่นางตัวเล็กๆ พึ่งผ่านเหตุการณ์น่าระทึกขวัญจิตใจย่อมไม่ปกติ”
“ข้าเป็นอ๋องจิตไม่ปกติสั่งลงโทษคนอย่างไร้สาเหตุยังกล้าทำ”
“อ้อ เช่นนั้นหรือ” เสิ่นลี่อิงย่อตัวลงเคารพคนตรงหน้า “ถวายพระพรเพคะ”
“ไม่ต้องมากพิธีไปหรอกคุณหนูเสิ่น”
_______
ขนเส้นเดียวก็ไม่ยอมถอน หมายถึงขี้งกมาก