บทที่ 23 จัดการเด็ดขาด
เสิ่นลี่อิงกำลังจับจ้องไปยังถังเห็ดที่เรียงรายอยู่ภายใน เห็ดทั้งหมดเติบโตแล้วรวมถึงเห็ดหลินจือที่พึ่งนำลงถังไปท้ายสุดด้วย แต่เพราะน้ำกลิ่นจันทร์ในถังเห็ดหลินจือมีปริมาณมากกว่าถังอื่นๆ เห็ดหลินจือจึงโตทันเห็ดชนิดอื่นเป็นที่เรียบร้อย การเพาะเห็ดในถังของนางได้ผล
นางนำมีดออกมาตัดเห็ดแยกตามสายพันธุ์และนางเก็บหลินจือส่วนหนึ่งไว้ในมิติสำหรับขยายพันธุ์เพิ่มจำนวนถังต่อไปด้วย แต่นางก็ยังเหลือเห็ดป่าไว้จำนวนหนึ่งไม่ได้ตัดไปทั้งหมด
โชคดีอะไรขนาดนี้เนี่ย
เมื่อตัดเห็ดออกมาได้ตามต้องการแล้ว นางก็หันกลับไปเตรียมวัตถุดิบสำหรับขายของพรุ่งนี้ต่อ นางคงต้องออกเช้ากว่าปกติเพื่อนำเห็ดเหล่านี้ไปขายก่อนที่ผู้คนจะพลุกพล่าน หากได้เงินค่าเห็ดนี้มา นางก็ไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายใดๆอีก ยิ่งรวมกับเงินที่มีอยู่ก่อนแล้วหากต้องหนีก็คงไม่มีปัญหา แต่เมื่อภัยยังไม่ถึงตัวนางก็จะไม่กระโตกกระตากให้ผู้คนสงสัย
เสิ่นลี่อิงเตรียมของอยู่เพียง 2 เค่อก็เสร็จสิ้น นางมิได้เพิ่มเครื่องหรือเพิ่มรายการอาหารแต่อย่างใด นางจะรอให้ลูกค้าซาลงสักหน่อยก่อนที่จะหารายการอาหารอื่นไปทำให้ลูกค้าตื่นเต้นอีก เมื่อจัดเรียงทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว นางก็ตัดสินใจกลับไปนำเห็ดทั้งหมดที่ตัดออกมาเก็บไว้ในมิติ แม้จะไม่มีขโมยมาป้วนเปี้ยนในบ้านของนางนอกเหนือจากเรื่องในคืนนั้น ลี่อิงก็ไม่อยากเสี่ยงจะสูญเสียของมีค่าเหล่านี้ไปแม้เพียงนิด
“เท่านี้ก็เสร็จแล้วนอนได้” เสิ่นลี่อิงพูดกับตัวเอง วันนี้นางทั้งขายของ ช่วยคน กลับมาบ้านก็ทำน้ำปลาต่อจากการสอนพี่จินเหมยทำเสี่ยวหลงเปาอีก ทำหลายสิ่งต่อเนื่องมาจนล่วงเลยเข้ายามจื่อร่างกายของลี่อิงรู้สึกล้าเต็มที เมื่อยามที่หัวถึงหมอน เสิ่นลี่อิงก็หลับสนิทได้ทันทีความเหนื่อยที่สะสมมาทั้งวันคือยานอนหลับชั้นดีสำหรับนาง
เช้านี้เปาหลงปลุกลี่อิงตั้งแต่ยามอิ๋นเพราะความหิว เขาหลับไปโดนที่ไม่ได้กินข้าวเย็น และลี่อิงเองก็ไม่กล้าปลุกเด็กน้อย เปาเปาจึงหิวจนตื่นกลายเป็นนาฬิกาปลุกตัวป่วนตั้งแต่ฟ้ายังมืดมิด
“พี่สาว ตื่น เปาเปาหิวแล้ว ตื่นๆ” นางงัวเงียอยู่ได้เพียงครู่เดียวก็ส่งนมรสกล้วยให้เปาหลงดื่มรองท้อง และไปต้มโจ๊กไก่เป็นอาหารเช้า ส่วนอาหารกลางวันย่อมต้องเป็นไข่กระทะที่นางขาย หากไม่เพียงพอก็ยังมีร้านบะหมี่ลุงเฉินให้ไปซดน้ำแกงหอมๆ ได้เสมอ
เสิ่นลี่อิงและเปาหลงอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าให้มีกลิ่นหอมสะอาด ท่ามกลางเสียงท่องคำสอนจากเปาหลงตามคำบอกของนาง “ขายอาหารต้องสะอาด เล็บมือต้องไม่ดำ ผมยาวต้องมัดเก็บ”
“ใช่แล้วหากคนขายนำอาหารมาให้แล้วร่างกายดูไม่สะอาด เจ้าก็คงไม่อยากกลืนลงท้อง”
“ขอรับ ต้องสะอาด และเวลาเรียกลูกค้าต้องชมมากๆ ชมมากซื้อมาก”
“ถูกต้องอีกแล้ว น้องใครเหตุใดจึงเก่งกาจเช่นนี้”
“น้องของพี่สาวอย่างไรเล่า”
ระหว่างทางเดินไปหน้าหมู่บ้านก็เจอจินเหมยที่กำลังสวนทางมาเพื่อนำเสี่ยวหลงเปามาให้นางตรวจพอดี “ตายจริงพี่จินข้าลืมเสียสนิท”
“ไม่เป็นไร เจ้าดูให้ข้าครู่เดียวก็ได้” จินเหมยนำเสี่ยวหลงเปาที่ยังไม่นึ่ง และนึ่งแล้วมาให้นางตรวจดูอย่างละลูก ฮูหยินสกุลลู่ผู้นี้ ความจริงคงมีฝีมือทำอาหารที่ร้ายกาจแอบซ่อนอยู่ แต่เพราะความประหยัดเครื่องปรุงของนางจึงทำให้มื้อแรกที่ได้ชิมไม่ใคร่จะถูกลิ้นของเสิ่นลี่อิงเท่าไรนัก
“สมบูรณ์แบบ ห่อได้งามกว่าข้าเสียอีก”
“ดีใจเหลือเกิน ข้าเตรียมนำไปส่งให้ลุงไฉ่ก่อน”
นางมิได้อยู่คอยจินเหมยเพราะนางเองก็กำลังรีบร้อนเช่นกัน หากต้องรอจินเหมยไปพร้อมกันนางคงไปไม่ทันเกวียนรอบแรกของลุงไฉ่ แต่แม้จะรีบอย่างไรนางก็ยังมาไม่ทันเกวียนส่งคนรอบแรก
เห้อ งั้นคงต้องรอไปขายเห็ดหลังของหมด
.
.
.
วันนี้เปาหลงก็ยังเป็นขวัญใจลูกค้าเช่นเดิม เด็กคนนี้ดึงดูดได้ทั้งลูกค้าหญิงและชาย ใครๆ ต่างก็เอ็นดูความน่ารักของเปาเปาตัวน้อยที่ตั้งใจร้องเรียกลูกค้าอย่างสุดความสามารถ
“เชิญก่อนขอรับ แป้งทอดเคลือบหวาน ไข่กระทะเครื่องล้น” สำเนียงน่ารักของเด็กวัยยังไม่ 3 หนาวดีดังขึ้น บางคำก็ขัดเจน บางคำก็ลิ้นพันกันเพราะพูดซ้ำหลายครา จนนางต้องคอยบอกให้ใจเย็นๆ
“แป้งทอด 3 ชิ้น 7 อีแปะเจ้าค่ะ ไข่กระทะฟองเดียว 7 อีแปะ 2 ฟอง 12 อีแปะเจ้าค่ะ” นางช่วยเปาเปาร้องบอกราคาให้กับลูกค้าที่ยังไม่ได้มาต่อแถวด้วยเช่นกัน
ลูกค้ากลุ่มแรกในวันนี้ส่วนใหญ่แล้วเป็นบ่าวของคุณหนูคุณชายที่ได้ข่าวจากกลุ่มเพื่อนบัณทิตของตนใช้ให้มาซื้อ นางจึงต้องเรียกความสนใจจากลูกค้ากลุ่มอื่นที่บังเอิญผ่านมาทางตรอกนี้เพิ่มเติมด้วย ในที่สุดแถวของร้านนางก็ยาวเหยียดจนขายหมดในเวลาไม่นานอีกเช่นเคย
“เก่งมากเปาเปา นี่ค่าแรงของเจ้าเมื่อวานและวันนี้” นางยื่นเงินให้เด็กน้อย 20 อีแปะ ให้เขาใส่ลงในถุงผ้าเล็กๆ ผูกข้างเอวไว้
“พี่สาวให้ทำไม”
นางย่อตัวลงมาอยู่ระดับเดียวกับเปาหลงเพื่อพูดกับเด็กน้อยอย่างจริงจัง “เจ้าทำงานต้องได้เงิน”
“แต่พี่สาวเลี้ยงดูข้า”
“นั่นเป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้ว เจ้ามาช่วยงานข้า เราจึงขายดีเช่นนี้ เงินนี้เป็นของเจ้าจะใช้จ่ายอย่างไรต้องคิดให้ดี” นางให้เงินเด็กน้อยเป็นรางวัลส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนนางอยากฝึกการบริหารจัดการเงินของเด็กตรงหน้าตั้งแต่เล็ก อย่างไรก็เป็นอ๋องน้อยผู้หนึ่ง ภายภาคหน้าต้องมีเงินมากมายในมือ หากไม่ฝึกให้ใช้จ่ายไว้จะแย่เอา ตามประวัติศาสตร์ก็มีกษัตริย์และองค์ชายมากมายที่สุรุ่ยสุร่ายจนคลังแตก
“ขอบคุณขอรับ” เด็กน้อยกุมถุงเงินไว้แน่นระหว่างรอนางเก็บรถเข็นขายของให้เรียบร้อย
“ต่อไปกลับบ้านใช่หรือไม่ขอรับ”
“ยังหรอก เมื่อคืนเห็ดพร้อมตัดขายแล้ว เราจะไปขายเห็ดกัน”
นางเข็นรถและจูงเปาเปามาจนถึงหน้าร้านสมุนไพรใหญ่โตแห่งหนึ่งตามทางที่คนในตลาดบอก นางคิดจะไปสอบถามราคารับซื้อจากร้านนี้ก่อน และจะไปถามราคากับร้านเล็กๆ ที่อยู่ในตรอกลึกเพื่อเปรียบเทียบราคาด้วย
“หลงจู๊ ข้ามีเห็ดหลินจือดำและแดงมาขาย รับซื้อหรือไม่”
“รับ รับ เข้านำออกมาให้ข้าดู นางนำตัวอย่างออกมาอย่างละดอกให้กับหลงจู๊ร้านสมุนไพรดู
“ท่านให้ราคาดอกละเท่าไรหรือ”
“อืมดอกใหญ่นัก หลินจือดำ 70 ตำลึงทอง หลินจือแดง 100 ตำลึงทอง แม่นางพอใจหรือไม่”
“ข้าบอกตามตรงข้าขอนำไปเทียบราคากับร้านอื่นก่อน เดี๋ยวข้ากลับมา”
“หากไปแล้วก็ไม่ต้องกลับมา มาขายของถึงที่ มีที่ไหนไม่ยอมขาย”
“ข้าก็ต้องเลือกผู้ที่ให้ราคาสูงสุด ไม่ถูกต้องหรือ หากค้าขายใจแคบเช่นนี้ ข้าไม่ขายจริงๆ ก็ได้ ไปกันเปาเปา” นางส่ายหัวให้พฤติกรรมของหลงจู๊ผู้นี้ หากให้ราคาสมเหตุสมผลนางย่อมกลับมาขายกับเขา เห็ดหลินจือ 20 ดอก ร้านใดก็คงอาจจะไม่สามารถซื้อได้ทั้งหมด
นางเข็นมาจอดหน้าร้านสมุนไพรขนาดเล็กก็ร้องเรียกคนด้านในทันที “ท่านเป็นเถ้าแก่ใช่หรือไม่” นางถามเช่นนั้นเพราะชายมีอายุผู้นี้สวมใส่กำไลหยกเนื้อดี หากเป็นเพียงหลงจู๊ในร้านเล็กเช่นนี้คงไม่สามารถหามาสวมใส่ได้
“ใช่แล้วแม่นางมาซื้อหรือมาขายเล่า”
“ข้ามาขายเห็ดหลินจือเจ้าค่ะ” นางหยิบเห็ดตัวอย่างอันเดิมออกมาวางบนโต๊ะ
“อืมดอกใหญ่สวยไร้ตำหนิ คุณภาพเช่นนี้หลินจือดำข้าให้ 80 ตำลึงทอง ส่วนหลินจือแดงให้ถึง 115 ตำลึงทองก็คงได้”
“ข้ามีทั้งหมด 20 ดอก ท่านรับหมดไหวหรือไม่” นางบอกจำนวนเห็ดที่จะแยกไว้ขายออกไป
“ห๊า! นำออกมาให้ดูที” ชายชราเก็บสีหน้าตื่นเต้นไว้ไม่มิด คนเช่นใดจึงจะโชคดีเจอเห็นหลินจือและนำมาขายได้ถึง 20 ดอก
เสิ่นลี่อิงค่อยๆ หยิบเห็ดออกมาวางเรียกกันเป็นสองฝั่ง ทุกดอกที่วางลงบนโต๊ะล้วนแต่สวยงามไร้ที่ติ เถ้าแก่ร้านสมุนไพรมือสั่นมิใช่เพราะไม่เคยเห็นสมุนไพรนี้ แต่เขามือสั่นเพราะคนตรงหน้าต่างหาก หนึ่งแม่นางหนึ่งเด็กชายเห็นทีคงเป็นผู้มีชะตาเหนือผู้ใดจึงได้มีโชคที่มิอาจฝันถึงเช่นนี้
“ดอกที่เล็กหน่อย ข้าให้ราคาลงลงมาสักหน่อยก็แล้วกัน”
“ได้เจ้าค่ะ”
“หลินจือแดงใหญ่ 4 ดอก 460 ตำลึงทอง ขนาดเล็ก 2 ดอก 200 ตำลึงทอง หลินจือดำใหญ่ 10 ดอก 800 ตำลึงทอง ส่วนขนาดเล็ก 4 ดอก 240 ตำลึงทอง ทั้งหมดเป็น…” ชายชราด้านหน้าดีดลูกคิดมือเป็นระวิง
“1,700 ตำลึงทอง” เสียงทั้งสามเอ่ยประสานกันออกมาอย่างพร้อมเพรียง
“นอกจากโชคดียังคิดเลขในใจได้กันอีกหรือน่าทึ่งเสียจริง”
“ขอบคุณเจ้าค่ะ เด็กคนนี้คิดคำนวณไวเหลือเกิน มีเพียงครั้งนี้ที่ข้าคำนวณทัน”
นางรับตั๋วเงินและตำลึงทองออกมาก็เตรียมจะกลับทันที ยังไม่มีสิ่งใดที่ต้องซื้อหาเพิ่มอีก และวันพรุ่งนี้ตัวนางก็ไม่คิดจะขายของอีกด้วย หากนางไปจวนเสียนอ๋องในฐานะผู้มาจับจ่ายย่อมมีความคล่องตัวกว่า
ร้านสมุนไพรอยู่ค่อนข้างลึกจึงทำให้บางช่วงของถนนก็ปลอดผู้คนจนเงียบเชียบ ทันใดนั้นนางก็รู้สึกถึงของแข็งตีลงมาที่ศรีษะ นางเบี่ยงตัวหลบท่อนไม้นั้นจึงฟาดลงมาโดนที่บ่าของนางด้วย
“โอ๊ย!”
“พี่สาว!” เปาหลงวิ่งเข้ามากอดนางไว้แต่ก็โดนมือใหญ่ของอีกฝ่ายกระชากออกไป เมื่อมองเห็นเปาหลงถูกเหวี่ยงออกไปจนล้มฟาดไปบนพื้นก็เหมือนร่างกายขจัดความมึนงงได้ทันที
“อยากตายใช่ไหม” เสิ่นลี่อิงกล่าวเสียงเย็น นางโกรธจนเลือดขึ้นหน้า และยิ่งโมโหเมื่อคนทั้งสองมีหนึ่งในนั้นเป็นฉินเปารวมอยู่ด้วย
“ไอ้ชั่วฉินเปา” นางหันไปให้สัญญาณเปาหลงให้ไปหลบหลังรถเข็น ซึ่งเด็กน้อยก็เชื่อฟังและทำตาม
“ถ้าเจ้าไม่อยากโดนพวกข้ารุมทำร้ายก็ส่งเงินที่ขายสมุนไพรมาทั้งหมด” นางมองหน้าชายท่าทางเป็นนักเลงหัวไม้อีกคนที่ฉินเปาพามาก่อนจะมาหยุดมองที่ฉินเปา
นางล้วงเข้าไปในถุงผ้าคล้ายว่าจะยอมหยิบเงิน แต่ความจริงนางกำลังล้วงเอาแก้วเซรามิกออกมาจากในมิติต่างหาก เมื่อนำออกมาได้นางถือไว้ในมือ และเดินตรงไปที่นักเลงผู้นั้น นางต่อยเสยจมูกและเตะขาเข้าไปที่กล่องดวงใจของชายที่ไม่รู้จัก แล้วเบี่ยงตัวมาทางฉินเปานำก้นแก้วเซรามิกตีไปที่หน้าขาจนฉินเปาล้มลงกับพื้น นางลากตัวเขาขึ้นมา จับมือวางไว้บนโต๊ะเก่าตัวหนึ่งในตรอกแล้วใช้ก้นแก้วทุบลงไปทันที “ข้างไหนที่คิดจะขโมยเงินข้า”
“อ๊าก! ไว้ชีวิตด้วย” นางทุบลงไปแบบไม่ยั้งแรง หากนางเป็นคนใจร้ายกว่านี้เพียงนิด สิ่งที่กำลังทุบมือของฉินเปาอยู่คงจะเปลี่ยนเป็นค้อนเหล็ก
ชายนักเลงที่เคยทำท่าทางขึงขังกลับมีสีหน้าตกใจที่เห็นนางทุบมือคนโดยที่ตาไม่กระพริบ เขาจึงคิดจะวิ่งหนีไป แต่นางก็ใช้มือคว้าปลายผมเขาไว้ดึงให้กลับมา “ข้ายังไม่เสร็จธุระกับเจ้า”
“แม่นางโหดร้ายเกินไปแล้ว” นางโมโหในคำพูดนั้นจากที่ใจเย็นลงบ้างแล้วก็รู้สึกคันไม้คันมืออยากระบายอารมณ์ขึ้นมาอีก
รู้ตัวอีกทีทั้งฉินเปาและคนที่มาด้วยกันก็สะบักสะบอมจนสลบไปแล้ว คิดจะขู่ให้นางกลัวแต่ตนเองกลับไม่กล้าแม้แต่จะต่อสู้ เสิ่นลี่อิงนำเชือกออกมามัดมือมัดเท้าพวกเขาไว้ด้วยกัน ลากตัวให้ไปหลบมุมอยู่ไกลๆ
“พวกเจ้าคงจะตาลุกวาวลอบยิ้มให้โอกาสที่จะพลิกชีวิตเป็นคนรวยได้จากการทำเลวเพียงครั้งเดียว คงไม่ได้คิดว่าสตรีตัวบางๆ อย่างข้าจะกล้าทำร้ายคน เรื่องนี้ต้องโทษความโง่ของฉินเปา เคยเห็นความสามารถของข้าแล้วแต่กลับไม่เกรงกลัว หลงชวนคนท่าทางน่ากลัวแต่ไร้ความสามารถอย่างเจ้ามาเป็นพวก เช่นนี้ก็หาวิธีกลับบ้านหรือตื่นมาร้องให้คนช่วยให้ได้ก็แล้วกัน!”
นางพูดออกไปยืดยาวกับคนที่สลบไร้สติพร้อมกับยื่นเท้าออกไปเตะส่งท้ายอีกหลายที นำเศษผ้าออกมารัดปากเพิ่มความลำบากในการขอความช่วยเหลือให้พวกเขา เสิ่นลี่อิงกลับไปที่รถเข็นก็พบเปาหลงที่กำลังร้องไห้เงียบๆ
“พี่สาว” เขามองขึ้นมาที่นางอย่างมีความหวัง
“ไม่เป็นไรแล้ว ข้าต่อสู้ชนะแล้ว” นางยิ้มให้เด็กน้อยปลอบขวัญเขาอย่างอ่อนโยน
“ฮืออ เก่งๆๆ พี่สาวมาแล้ว กลับบ้านกัน” นางปาดน้ำตาให้เด็กน้อยและพาเขากลับบ้านทันที
_______
ยามจื่อ หมายถึง เวลา 23.00 - 24.59