บทที่ 2 ย่อมต้องมีพรวิเศษ
ภายในห้วงฝันนางเห็นภาพหมอกควันจางๆ ล่องลอยอยู่รอบตัว จนอดตกใจไม่ได้ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์อาจรู้แล้วว่าหลังจากเสียชีวิตนางไม่ได้ไปยังปรโลก แต่ดันมาเข้าร่างคนอื่นแทน ซาร่าจึงหลับตาลงแน่น หวังว่าหากนางหลับไปอีกครั้งอาจตื่นขึ้นมาในร่างของเสิ่นลี่อิงตามเดิม
“ซาร่า แม่นางซาร่า ลืมตาขึ้นเถิดข้ามาได้ไม่นานนัก” เสียงเย็นยะเยือกกล่าวออกมา
“อย่าส่งข้ากลับไปเลยนะเจ้าคะ ข้ายังไม่อยากตาย” นางกล่าวขึ้นพร้อมๆ กับรีบลืมตามามองชายที่อยู่ตรงหน้าที่ไม่รู้ว่ามาตั้งแต่เมื่อไหร่
“เลิกพูดไร้สาระสักที ใครจะส่งเจ้ากลับกัน” ชายผู้นั้นตอบออกมาพร้อมกับใช้ข้อนิ้วมือเคาะมาที่หัวของนางแรงๆ สองที
“ใครจะไปรู้ท่านอาจจะมาตามข้ากลับไปปรโลกก็ได้นี่มันโลกนิยายไม่ใช่โลกความจริงสักหน่อย ข้าหลุดมาในนี้ก็คงเกิดเรื่องปั่นป่วนขึ้นบ้างนั่นแหละ”
“เจ้านี่มันสำคัญตัวผิดเสียจริง การข้ามภพเช่นนี้เป็นเรื่องปกติของเซียนที่ถูกลงโทษ และเซียนที่ต้องการลงมาเล่นสนุกอย่างเจ้า เห้อ” ชายผู้นั้นถอนหายใจออกมาก่อนจะยกมือขึ้นมากอดอก
เซียนอะไรวะ ท่าจะบ้า มันมีที่ไหน หรือจริงๆ แล้วฉันแค่กินเยอะไปแล้วฝัน ไม่ได้เข้ามาในนิยายตั้งแต่แรก
“เลิกคิดเพ้อเจ้อเสียที ภพนี้มีอยู่จริงๆ นักเขียนในภพนั้นถูกดลใจให้เขียนเรื่องราวเหล่านี้ขึ้น ส่วนเจ้า ความจริงแล้วก็ต้องมาเกิดภพนี้นี่แหละ แต่ระหว่างทางที่จะไปเกิดตัวเจ้าดันสร้างเรื่อง เล่นสนุกจนไปผิดภพ เอาเถอะ เรื่องนั้นยังไม่สำคัญ เอาเป็นว่าเจ้าอยู่ถูกที่ถูกเวลาแล้ว ณ ตอนนี้”
แม้จะรู้สึกตกใจแต่เสิ่นลี่อิงก็ปรับสีหน้าให้กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว จากการคาดเดาชายตรงหน้านี้คงเป็นเซียนเช่นกัน และคงมีอำนาจวิเศษสามารถให้พรนางได้
ไม่ได้การ..ต้องรีบขอก่อนเซียนท่านนี้จะปลีกตัวกลับไป
“มาบอกแค่นี้หรอ ไม่มีให้พรวิเศษเหมือนที่ตัวละครที่ข้ามภพมาในนิยายเขาได้กันหรือ ขอหน่อยได้หรือไม่” เสิ่นลี่อิงเก็บความงุนงงไว้ในใจก่อนจะถามถึงเรื่องสำคัญที่สามารถใช้เป็นแต้มต่อในการดำเนินชีวิตของตนเองได้ก่อน
แม้นางจะเป็นคนช่างจินตนาการ หากแต่การทำงานในพบก่อนก็ส่งผลให้นางกลายเป็นคนที่สามารถผลักอารมณ์ตกใจทิ้งไป และตั้งสติกับสถานการณ์ตรงหน้าได้อย่างรวดเร็วมาเสมอ
“ก็ข้าบอกว่าไม่ใช่นิยาย เอาเถอะ ที่ข้ามาก็มาเพื่อมอบสิ่งเหล่านั้นให้เจ้านั่นแหละ ความจริงแล้วก็เป็นพลังของเจ้าเอง สิ่งที่เจ้าเตรียมไว้ให้ตัวเองคือมิติช่องว่าง ของวิเศษในช่องว่างเจ้าก็เตรียมไว้จนครบ สิ่งไหนใช้อย่างไรไปทดลองเอาเองเถิด ส่วนรถม้านั่นที่ไม่มีใครกลับไปเอาสมบัติของเจ้า เพราะข้าบังตาไว้ ขอบคุณข้าสิ” เซียนหนุ่มยืดอกขึ้นแสดงความภาคภูมิใจออกมา มีสีหน้าคาดหวังคำขอบคุณและชื่นชมจากนาง
“ท่าทีเช่นนี้ในภพเซียนเจ้าเป็นลูกไล่ของข้าใช่หรือไม่” เสิ่นลี่อิงหรี่ตาลงเล็กน้อยคล้ายกับต้องการจับผิด
“หึ่ย ข้าไม่คุยกับเจ้าแล้ว ข้าไปก่อน ขอให้สนุก ตามหาภารกิจของเจ้าให้เจอ อีกแปดสิบปีไว้เราค่อยพบกัน”
“เดี๋ยวๆ ข้าจะตายในอีกแปดสิบปีหรอ งั้นแบบนี้ตอนนี้ทำอะไรก็ไม่ตายใช่ไหม” เสิ่นลี่อิงพูดออกไปอย่างตื่นเต้นเพราะชาติก่อนนางตายตั้งแต่อายุสี่สิบสองปี การได้อยู่จนแก่ถือเป็นความฝันอันสูงสุดในตอนนี้
“จะบ้าหรอ ต่อให้อายุขัยเจ้าจะเป็นอีกแปดสิบปี อีกร้อยปี เจ้าก็ยังต้องระวังอยู่ดี ข้าต้องไปแล้ว” เซียนหนุ่มผู้นั้นค่อยๆ เลือนหายไปปล่อยนางทิ้งไว้ในห้วงหมอกควันอันน่าขนลุก
น่ากลัวเหมือนกันนะเนี่ย แอบหนาวด้วย… เออลืมถามไปเลยว่าตายจากชาติที่แล้วได้ยังไง จำได้แค่หลับไปเฉยๆ ไหลตายหรอ หรือไอ้หน้าอ่อนนี่มันฆ่าฉันเพื่อพามาโลกนี้กันแน่นะ…
“นี่ แล้วข้าจะออกไปจากตรงนี้ยังไง ลืมพาข้าไปส่งหรือเปล่า” นางตะโกนถามไปในห้วงว่างแห่งนี้ เพราะไม่รู้ว่าต้องเดินไปทางไหนเพื่อหาทางออก
สิ้นเสียงโวยวายนางก็รู้สึกตัวเพราะมีคนสะกิด เสิ่นลี่อิงลืมตาขึ้นมาพบว่าแสงแดดกำลังแยงเข้าตา และกำลังจะเคลื่อนมายังกึ่งกลางหัวของนาง หันไปด้านข้างก็พบกับพี่สาวที่เจอในตอนเช้า
“อ้าวพี่สาว ข้ามารอตามที่ท่านบอก ข้าเผลอหลับไป เพราะเมื่อคืนข้าไม่กล้านอนหลับในป่ากลัวจะมีอันตราย”
“ไม่ว่ากัน ข้าเข้าใจ เอ..น้องสาวชื่ออะไรหรือ” นางเอ่ยถามออกมา พร้อมกับดึงมือให้เสิ่นลี่อิงตามเข้าไปนั่งในบ้าน
“ข้าชื่อลี่อิง พี่สาวเล่าชื่ออะไร”
“ข้าชื่อจินเหมย แต่เจ้าจะเรียกว่าพี่จินก็ได้ ความจริงเป็นคนหมู่บ้านถัดไป ข้าแต่งงานมาอยู่ที่นี่”
“เจ้าค่ะพี่จิน ข้าขอฝากตัวด้วย ต่อไปข้าจะมาอยู่ที่บ้านร้างท้ายหมู่บ้านนี้ ข้าขอซื้อจากหัวหน้าหมู่บ้านเรียบร้อยแล้ว” เสิ่นลี่อิงเริ่มต้นการผูกมิตรทันที หากจะอยู่ที่นี่นางจำต้องมีเพื่อน และพี่จินผู้นี้ก็ดูเป็นคนไม่มีพิษไม่มีภัยอะไร
“ทำไมไปอยู่บ้านหลังนั้นเล่า บ้านหลังนั้นน่ะผีดุนะ แล้วเหตุใดหลงป่าไม่ไปหาทางการเพื่อกลับไปหาครอบครัวทำไมคิดจะมาปักหลักอยู่ที่นี่” พี่จินรัวคำถามออกมามากมาย เพราะไม่เข้าใจการกระทำของนางแม้แต่น้อย เป็นหญิงที่ยังไม่ได้แต่งงานดันจะมาอยู่บ้านร้างท้ายหมู่บ้านเพียงผู้เดียว ไม่มีใครเขาทำกัน
“อ้อ พอดีตัวข้าจำได้แต่ชื่อเท่านั้น จำสิ่งอื่นไม่ได้อีก คงต้องขออยู่ที่นี่จนกว่าความทรงจำจะกลับมา ส่วนผีไม่เป็นไรหรอกข้าไม่กลัว” นางยิ้มขำเล็กน้อยโบกมือปฏิเสธย้ำว่านางไม่กลัวผีจริงๆ
“น่าสงสารเสียจริงจำสิ่งใดไม่ได้เลยหรือ จากเสื้อผ้าที่เจ้าใส่ดูไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดา เจ้าน่าจะเป็นคุณหนูลูกคนมีเงิน จะทนลำบากเช่นนี้ได้หรือ” พี่จินกล่าวพลางลูบอาภรณ์ของนางไปพลางๆ
“ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว มีแต่ต้องอยู่ให้หายดี ถ้าข้าขอเป็นน้องสาวพี่จินได้หรือไม่”
“ได้อยู่แล้วมีน้องสาวสวยขนาดนี้ ตัวข้าย่อมยินดี มาเถิด บ้านหลังนั้นแม้จะมีเครื่องเรือนอยู่ครบเพราะไม่มีใครกล้าใช้ต่อ แต่พวกหมอนและผ้ารองนอนย่อมไม่มี ยืมของข้าไปก่อน เจ้ามีของเจ้าเมื่อไหร่ค่อยนำมาคืน” พี่จินลุกขึ้นพร้อมกับไปหยิบหมอนขนาดเล็กหนึ่งใบและผ้าห่มบางเบาหนึ่งผืน
“บางไปเสียหน่อย นี่เป็นของลูกข้าตอนยังเล็กเจ้าใช้แก้ขัดไปก่อนแล้วกัน”
“เท่านี้พี่ก็มีน้ำใจมากแล้ว ขอบคุณพี่จินเหมยที่ดีกับข้า” เธอกล่าวด้วยรอยยิ้มรับน้ำใจของหญิงตรงหน้า
“วันนี้ก็อยู่กินข้าวเสียที่นี่ แล้วเดี๋ยวไปอาบน้ำพร้อมกัน มาเถอะ เดี๋ยวข้าจะทำข้าวกลางวันไปส่งลูกและสามี” พี่จินดึงนางไปที่หลังบ้านให้นางมาช่วยทำครัว
ทันทีที่ได้เห็นครัวเสิ่นลี่อิงถึงกับอึ้ง เพราะครัวของพี่จินเหมยมีเครื่องปรุงเพียงสองอย่าง นางลืมไปเสียสนิทว่าเครื่องปรุงเป็นสิ่งหายากในโลกยุคนี้ หากจะตอบแทนพี่สาวท่านนี้ การนำเครื่องปรุงมาให้นางอาจเป็นเรื่องที่ดีที่สุด พรุ่งนี้นางคงจะลองไปหาวัตถุดิบว่ามีสิ่งใดนำมาทำเป็นเครื่องปรุงได้บ้าง
ภารกิจที่เซียนคนนั้นบอกช่างมันไปเถอะ ต้องกินให้อร่อยก่อนถึงจะอยู่รอด