บทที่ 1 หมู่บ้านริมชายป่า
เสิ่นลี่อิงหันมองรอบตัวอีกครั้งเพื่อเก็บข้อมูลว่าตนเองตกลงมาอยู่ที่ใด อย่างไรนางก็ต้องหาวิธีปีนกลับไปยังรถม้าของเจ้าของร่างคนเดิม ไม่แน่ว่าอาจมีสิ่งของเหลือให้นางนำไปใช้ประโยชน์ต่อได้บ้าง อย่างน้อยก็ต้องหาเอกสารยืนยันตัวตนของบ่าวไพร่ที่ติดตามมาด้วย เพื่อสวมรอยใช้ชีวิตต่อเป็นพวกนาง หรือหากไม่จำเป็นต้องใช้ตอนนี้ก็สามารถเก็บไว้ใช้เข้าเมืองยามเดินทางไกล
ที่นี่เป็นน้ำตกตามธรรมชาติไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยวแบบภพเก่า…ต้องเหนื่อยอีกแล้วล่ะสิ
เสิ่นลี่อิงถอนหายใจไว้อาลัยให้ตัวเอง เมื่อมองขึ้นไปเห็นทางเขาที่จะต้องเดินย้อนกลับไป ทั้งร่างเจ็บปวดไปหมด แต่เพราะตัวนางเคยเป็นนักดับเพลิงมาถึงยี่สิบปี จึงสามารถกัดฟันข่มความเจ็บและมุ่งทำภารกิจให้สำเร็จได้ ยิ่งภารกิจนั้นทำเพื่อประโยชน์ของตัวนางเอง ซาร่าในร่างเสิ่นลี่อิงยิ่งยอมแพ้ไม่ได้
นางตัดสินใจเดินขึ้นเขาทั้งที่เสื้อผ้ายังเปียกอยู่ หากนั่งผิงไฟรอให้แห้งคงมืดค่ำเสียก่อน และระยะเวลาที่จะได้ออกจากป่าแห่งนี้ก็ต้องยืดออกไปอีก
เมื่อไม่มีอุปกรณ์ปีนเขาติดมาด้วยเช่นนี้ นางจึงต้องพาร่างของเสิ่นลี่อิงเดินอ้อมไปเลือกทางที่มีความชันน้อยกว่าแลกกับระยะทางที่ต้องเดินขึ้นมากกว่า หลังเดินมาได้ประมาณสองชั่วยาม ท้องฟ้าด้านบนก็เริ่มเปลี่ยนสีไปเสียแล้ว เมื่อเส้นทางกลับมาเป็นป่าที่ไม่ลาดชันนางจึงตัดสินใจวิ่งไปตามเส้นทางในความทรงจำของเสิ่นลี่อิงคนเดิม
ไม่นานนักรถม้าก็เข้ามาอยู่ในระยะสายตา นางจึงหยุดรอ เมื่อสอดส่องจนแน่ใจว่านักฆ่าได้จากไปจากบริเวณนี้ทั้งหมดแล้วจึงค่อยๆ เดินไปยังรถม้าที่มีศพคนตายอยู่มากมาย กลุ่มนักฆ่าไม่ไว้ชีวิตบ่าวของนางสักคน และไม่ได้นำสมบัติของนางติดตัวไปด้วย
แปลกชะมัด ไม่ได้หยิบสมบัติไปสักชิ้นเลยนี่หว่า
เมื่อเห็นเช่นนั้นนางจึงหยิบผ้าพับใหญ่ออกมาแล้วห่อใส่ของมีค่าที่ไม่หนักเกินไป และไม่ลืมที่จะหยิบเอกสารยืนยันตัวตนของเสิ่นลี่อิง ตราประจำสกุลเสิ่น และเอกสารขายตัวของบ่าวคนสนิท ของอื่นๆ ที่หนักจนเกินไปนางเลือกทิ้งไว้ที่รถม้าคันนี้
เสิ่นลี่อิงผูกพับผ้าซึ่งใส่ของมีค่าและของจำเป็นอื่นที่นางหาได้เข้ากับตัวมัดจนแน่ใจว่าแน่นหนา พลันเหลือบไปเห็นอาหารแห้งที่หน้าบังเ**ยนของคนขับรถม้า หากคนในร่างตอนนี้เป็นเสิ่นลี่อิงตัวจริง อาหารเช่นนี้คงไม่มีทางกินลง แต่พอดีว่านางไม่ใช่ และอาหารแย่กว่านี้นางก็เคยต้องทานมาแล้ว ทั้งหมดจึงถูกยัดลงท้องในเวลาไม่นาน
เมื่อกินอิ่ม เสิ่นลี่อิงเริ่มทำคบเพลิงด้วยเศษผ้าและเบาะรถม้ากับน้ำมันตะเกียง เพื่อเดินออกจากป่าในคืนนี้ทันที ความจริงแล้วนางรู้ว่านี่คือเรื่องที่อันตราย หากแต่การรั้งรออยู่ในป่าต่อก็ไม่ปลอดภัยสำหรับตนเองเช่นกัน
หนึ่งคืนผ่านไป.. ซาร่าเริ่มยอมรับแล้วว่าต่อจากนี้ตนคงต้องใช้ชีวิตในฐานะเสิ่นลี่อิง ขอเวลาทำความคุ้นชินอีกเสียหน่อย นางจะเป็นเสิ่นลี่อิงที่น่าภาคภูมิใจ
ในที่สุดนางก็เดินจนมาเจอหมู่บ้านริมชายป่าในตอนเช้าพอดี เสิ่นลี่อิงจึงเลือกขุดหลุมเพื่อฝังของไว้ที่ริมชายป่านี้และนำตำลึงเงินและตำลึงทองติดตัวไปด้วยเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
นางมุ่งหน้าเดินตรงไปยังบ้านเรือนที่เห็นเรียงรายอยู่มากมาย ผ่านบ้านร้างที่ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ติดชายป่า เสิ่นลี่อิงลอบยิ้มในใจ บ้านหลังนี้ตรงกับความต้องการของนางเหลือเกิน
เดินได้ไม่นานนักชาวบ้านที่เห็นนางก็ร้องทักออกมา “แม่นาง แม่นางจะไปที่ใดหรือ” ชาวบ้านหญิงคนหนึ่งที่สวมสะพายตะกร้าสานไว้ที่หลังเอ่ยทักนางขึ้น
“พี่สาว ข้าหลงป่า พี่สาวพาข้าไปหาหัวหน้าหมู่บ้านได้หรือไม่”
“ตายแล้ว ได้ๆ เจ้าตามข้ามาข้าจะพาไปหาหัวหน้าหมู่หยางเอง”
ถ้าขอซื้อบ้านเก่าสักหลัง เขาจะให้ไหมนะ เสนอราคามากหน่อยก็คงอยู่หมู่บ้านนี้ได้…
เสิ่นลี่อิงคิดอะไรไปเพลินๆได้เพียงครู่เดียวก็เดินมาถึงหน้าบ้านของหัวหน้าหมู่บ้านหยาง
“ลุงหยาง มีคนหลงป่ามาขอความช่วยเหลือ ท่านออกมาจัดการหน่อยเถอะ” หญิงสาวที่เจอนางเป็นคนแรกเอ่ยร้องเรียกให้หัวหน้าหมู่บ้านออกมาพบนาง
“เจ้ารอครู่เดียวเดี๋ยวข้ารีบออกไป” เสียงของชายที่น่าจะอยู่ในวัยห้าสิบตะโกนตอบก่อนจะเดินออกมาในเวลาไล่เลี่ยกัน
“แม่นางข้าต้องเร่งไปหาของป่าแล้วนะ หากเจ้าคุยธุระกับท่านหัวหน้าหมู่บ้านเรียบร้อยแล้ว เจ้าไปนั่งรอที่หน้าบ้านข้าได้เลยหลังที่ติดกับบ้านร้างนั่นแหละ” หญิงที่เจอนางเป็นคนแรกเอ่ยขึ้นอย่างใจกว้าง แล้วค่อยๆ เดินจากไป
“ท่านเป็นหัวหน้าหมู่บ้านใช่หรือไม่ ข้าชื่อซา…ซาอิน”
ฉิบหายแล้วไหมล่ะ..เกือบหลุดชื่อจริง ซาบ้าซาบออะไร ลี่อิง ลี่อิง!
“เป็นชื่อที่แปลกยิ่งนัก เจ้าไม่ใช่คนแถบนี้ล่ะสิ” หัวหน้าหมู่บ้านเอ่ยถาม
นางส่ายหัวให้กับความสับสนของตัวเอง ตัวนางตามเดิมแล้วชื่อซาร่า เมื่อต้องพูดถึงชื่อตนจึงหลุดปากคำว่าซาออกไปทันที นางคงต้องกลับไปท่องทุกวันเสียแล้วว่าร่างนี้ชื่อลี่อิง
“น่าจะใช่เจ้าค่ะ ในป่าน่าจะเกิดเรื่องร้ายขึ้น ข้าจำได้เพียงชื่อตนเองเท่านั้น แต่ข้าเป็นใครมาจากไหนล้วนลืมสิ้น” เสิ่นลี่อิงตอบกลับออกไปเลี่ยงๆ
“แล้วเจ้าจะให้ข้าช่วยอย่างไรให้พาไปส่งทางการหรือ”
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ข้าเพียงอยากขอพักฟื้นอยู่อาศัยในหมู่บ้านจนกว่าความทรงจำจะกลับมาได้หรือไม่ ตัวข้าไม่อาจทราบได้ว่าสิ่งใดเกิดขึ้นบ้าง หากกลับไปทั้งที่ยังไม่รู้สิ่งใดเกรงว่าจะเป็นอันตราย”
“ตายแล้ว เช่นนี้จะไม่อันตรายมาถึงคนในหมู่บ้านเราหรือ” ฮูหยินของหัวหน้าหมู่บ้านที่เพิ่งเดินมาสมทบกล่าวขึ้น
“พวกเจ้าไม่รู้ว่าข้าเป็นใคร ข้าเองก็ไม่รู้ว่าข้าเป็นใคร หากมีอันตรายจริงก็ไม่มีใครมาตรวจสอบหมู่บ้านที่ห่างไกลเช่นนี้หรอก”
“เจ้ารับรองเรื่องเช่นนี้ไม่ได้หรอก” หัวหน้าหมู่บ้านเอ่ยขัดมีท่าทีไม่พอใจเล็กน้อย
“ข้ามิได้ต้องการสิ่งใดมากมาย ขอแค่บ้านหลังเก่าริมชายป่า และที่ดินอีกนิดหน่อย บ้านหลังนั้นเป็นบ้านร้างไม่ใช่หรือ และข้าพร้อมจะจ่ายสิบห้าตำลึงทอง ข้อเสนอเช่นนี้หากเจ้าปฏิเสธก็น่าเสียดายนะ”
“ยี่สิบตำลึงทอง แล้วข้าจะรับเจ้าเข้าเป็นคนในหมู่บ้าน”
“ตกลง อ้อ! แล้วลุงเปลี่ยนมาเรียกข้าด้วยชื่อลี่อิงก็แล้วกัน จะได้คุ้นหูคนที่นี่”
“ตกลงตามนั้น รอสักครู่ ข้าจะจัดการเอกสารให้”
เสิ่นลี่อิงพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะยืนมองหัวหน้าหมู่บ้านเข้าไปจัดการเรื่องเอกสาร ไม่นานเขาก็นำออกมายื่นให้นาง และนำทางไปยังบ้านร้างท้ายหมู่บ้านที่ลี่อิงเห็นในตอนแรก เมื่อเสร็จสิ้นแล้วท่านหัวหน้าหมู่บ้านก็บอกให้นางจัดการตามที่เห็นสมควรได้เลย
ทำเลดีชะมัดมีลำธารติดชายป่าที่ดินก็ได้เยอะ ล้อมรั้วแล้วด้วย..ทุ่นแรงไปเยอะ
บ้านร้างหลังนี้เพียงแค่ดูทรุดโทรมเล็กน้อย แต่ตัวบ้านยังสามารถอยู่อาศัยได้ มีการล้อมรั้วบ้านและที่ดินที่ติดกันไว้ เสิ่นลี่อิงไม่รู้ว่าทำไมบ้านหลังนี้จึงไม่มีผู้ใดย้ายเข้ามาอยู่ อาจเป็นไปได้ว่ามีความผิดปกติเกี่ยวกับเจ้าของบ้านคนเก่า แต่นางไม่สนใจ
หลังจากที่ลุงหยางหัวหน้าหมู่บ้านเดินจากไปแล้ว เสิ่นลี่อิงจึงเดินกลับไปยังหลุมที่ขุดเพื่อฝังทรัพย์สมบัติจากรถม้าไว้
นางนำของเข้ามาไว้ในบ้าน ที่พบว่ามีเครื่องเรือนค่อนข้างครบครัน และโชคดีที่มีหีบใหญ่เกือบเท่าโลงศพตั้งอยู่จึงนำของมีค่าใส่ลงในหีบนั้น ส่วนพับผ้าต่างๆ ที่ใช้ห่อของคงต้องนำไปซักให้เรียบร้อยเสียก่อน
เมื่อจัดการเก็บของเรียบร้อยแล้วนางจึงเดินออกจากบ้านใหม่ของตัวเองไปนั่งที่หน้าบ้านของหญิงสาวที่เจอก่อนหน้านี้ ลี่อิงนั่งพิงกำแพงบ้านก่อนจะเผลอหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน