บทที่ 10 ข้าไปเอาอะไรมาไม่ทราบ

2263 คำ
บทที่ 10 ข้าไปเอาอะไรมาไม่ทราบ “กับข้าวธรรมดาเท่านั้นเจ้าค่ะ” เสิ่นลี่อิงเดินออกไปรับครอบครัวจินเหมยให้เข้ามานั่งภายในบ้าน “หอมเช่นนี้อร่อยน่าดู ข้านำเห็ดป่ามาฝากเจ้า” จินเหมยยื่นเห็ดป่าที่นางไปเก็บมาเองให้นางแทนของขวัญ “ขอบคุณเจ้าค่ะ นี่ของขวัญจากข้าเจ้าค่ะเป็นเนื้อหมู ลู่เว่ยกำลังโตต้องกินมากหน่อย” นางเอื้อมมือลงไปลูบหัวลู่เว่ยที่ยังคงมีท่าทีเอียงอายเช่นเดิม “ถึงกับให้เนื้อหมูเชียวหรือนี่มากเกินไป” “ไม่มากไปเจ้าค่ะ พี่จินช่วยเหรอข้าไว้หลายครานัก ข้าย่อมต้องตอบแทน หมูนี้ไม่รับคืน เปาเปามาทักทายครอบครัวท่านป้าจินเหมยเร็ว” “สวัสดีขอรับ เปาเปาเป็นน้องชายของพี่สาว อายุกำลังจะสามหนาวแล้ว” “พูดเก่งดีจริง” ลู่จานเป็นฝ่ายกล่าวชมก่อนจะสะกิดให้ลูกชายตนพูดบ้าง “ข้าชื่อลู่เว่ย อายุแปดหนาว” “แปดหนาวมากกว่าข้า เจ้าเป็นพี่ข้า พี่น้อง เล่นด้วยกัน” เปาหลงเอ่ยเช่นนั้น เพราะจากความทรงจำของตนจวนขุนนางที่มีลูกมาก เมื่อมาร่วมงานเลี้ยงเด็กเหล่านั้นก็มักจะเล่นด้วยกัน แต่เสด็จพ่อห้ามไม่ให้เขาไปไหนเสมอ เพราะไม่มีพี่ที่โตกว่าพาไปเล่น ได้พบคนที่โตกว่าอยู่ใกล้ๆ เช่นนี้จึงคิดยึดมาเป็นพี่ตน เมื่อผู้ใหญ่ทั้งสามเห็นว่าเด็กๆ ผูกมิตรกันได้แล้วก็มานั่งรวมกันที่โต๊ะ เสิ่นลี่อิงเตรียมจะแนะนำอาหารที่นางทำไว้ว่ามีสิ่งใดบ้าง แต่ก็ต้องหยุดไปก่อนเพราะเสียงดังโวยวายที่หน้าบ้าน “ออกมานะ นังคนนอก คิดว่าจะขโมยของบ้านข้าแล้วหนีรอดไปง่ายๆ หรือ” เสิ่นลี่อิง จินเหมย และลู่จานปล่อยให้เด็กทั้งสองนั่งกินข้าวอยู่ในบ้านส่วนพวกตนก็ออกไปดูว่าผู้ใดที่มาร้องกู่ใส่ร้ายก่อความไม่สงบเช่นนี้ “นั่นไง ออกมาแล้วขโมยออกมาแล้ว ของบ้านข้าหายเจ้าจะว่าอย่างไร” เจ้าของเสียงบาดหูคือป้าผู่ลูกสะใภ้ของหัวหน้าหมู่บ้าน ที่ดึงลูกชายของตน และชาวบ้านบางส่วนมาหาเรื่องนางถึงที่ “จะให้ว่าอย่างไรเล่า หากข้าเป็นหญิงชั่วร้ายคงกล่าวว่าสมน้ำหน้า แต่พอดีข้ามิใช่เลยจะไม่กล่าวอะไร” “เจ้าพูดกับแม่ข้าเช่นนี้ได้อย่างไร!” ฉินเปาตะคอกใส่นางตั้งใจจะข่มให้กลัว “ข้าพูดอะไร ข้าแค่เล่าให้ฟังว่าหากชั่วร้ายจะพูดอย่างไร” “ไม่ต้องมาเล่นลิ้น ของบ้านข้าอยู่ไหน” “ข้าฟังอยู่นานแล้วบอกแต่ว่าของหาย นางไปเอาอะไรของบ้านเจ้ามา” ลู่จานถามออกมาแทนลี่อิง “นั่นสิข้าไปเอาอะไรมาไม่ทราบ” ลี่อิงเดินเข้าไปใกล้นางผู่จาน ลี่อิงตั้งใจเดินไปประจันหน้า นางจ้องป้าผู่ไว้ไม่วางตา ตัวนางนั้นพอมีไอความกดดันอยู่บ้าง ถึงอย่างไรนางก็เป็นนักดับเพลิงมาถึงยี่สิบปี คนในเครื่องแบบเช่นนางจะให้ใครมากลั่นแกล้งได้อย่างไร “ไข่ไง! ใช่ ไข่บ้านข้าหายไป เจ้าไปเอาไข่บ้านข้ามา” นางผู่จานตอบออกไปอย่างมั่นใจ วันนี้ตอนเห็นเกวียนของร้านเครื่องเรือนนำของมาส่งให้ลี่อิง นางมั่นใจนักว่าคนซื้อของมากเช่นนั้นอย่างไรก็ต้องซื้อไข่มาด้วย “อ๋อไข่หรือ กี่ฟองเล่าไข่ที่หายไป” เสิ่นลี่อิงเห็นคนโกหกเดาสุ่มแล้วยังผิดอยู่เช่นนี้ นางจึงคิดหลอกล่อให้อีกฝ่ายพูดจาขุดหลุมฝังตนเองให้ลึกลงไปอีกหน่อย ก่อนจะหักหน้านางในคราวเดียว “สี่ฟอง จะคืนหรือไม่” “หากข้าเอาไปจริงย่อมคืนแน่ ตามมากันทั้งหมดนี่แหละ ไปดู ‘ไข่’ ที่ว่ากันหน่อย” เสิ่นลี่อิงเดินมายังครัวหลังบ้านจงใจให้ผ่านเปาหลง และลู่เว่ยที่กำลังทานหมูผัดขึ้นฉ่ายและน้ำแกงไก่ถู่โต้วกันอยู่ แสดงชาวบ้านทั้งหมดได้เห็นว่าบนโต๊ะกับข้าวนาง ไม่มีไข่เลยสักฟอง จะอ้างว่านางเอาไปกินแล้วมิได้ เมื่อมาถึงบริเวณครัวก็พบเพียงผักที่ยังใช้ไม่หมด เนื้อไก่ที่นางเหลือไว้ทำอาหารมื้อถัดไป และเห็ดป่าที่จินเหมยนำมาฝาก “ไหนเล่าไข่ของท่าน” “เจ้ากินไปแล้วละสิ” “จะกินได้อย่างไร ก็เห็นกันหมดว่าอาหารบ้านข้าไม่มีไข่สักฟอง” “นั่นสิสะใภ้หยาง ตรงนี้นางมีแต่ไก่กับผัก คนบ้านอื่นนำไปหรือไม่” ชาวบ้านที่ตามมาเอาเรื่องด้วยเมื่อเห็นว่าตนเองน่าจะเข้าข้างคนผิดก็เริ่มหาทางลงให้นางผู่จาน “บ้านนางก็อยู่ไกลถึงเพียงนี้จะแอบเอาไข่บ้านเจ้าโดยไม่ให้ใครเห็นได้อย่างไร” จินเหมยที่เงียบมานานก็อดรนทนไม่ไหวต้องขอพูดขึ้นบ้าง “ไม่ใช่เจ้าก็แล้วไป ข้าคงเข้าใจผิด แต่ทำเนื้อขึ้นโต๊ะเช่นนี้ไม่คิดจะเชิญคนในหมู่บ้านมากินแทนคำขอบคุณที่ได้บ้านกับที่ดินไปเปล่าๆ เลยหรือ” “ห๊า!! ข้านี่น่ะหรือได้ที่ดินกับบ้านมาเปล่าๆ ไปเอาที่ไหนมา” “พ่อสามีข้าเป็นหัวหน้าหมู่บ้านหากเขาไม่ได้ใจดีให้เจ้าอยู่ คนหลงป่ามาอย่างเจ้าจะมีบ้านได้เช่นนี้หรือ” ชาวบ้านที่มาด้วยกันเริ่มพยักหน้าเห็นด้วยหากนางมาอยู่เปล่าๆ แล้วเอาเงินมาใช้กินดื่มมีความสุขเช่นนี้ย่อมไม่ยุติธรรมต่อผู้คนในหมู่บ้าน “มีเงินแต่ไม่ยอมจ่ายเงินค่าที่ดินเช่นนี้ใช้ไม่ได้!” ฉินเปาได้ทีรีบเอ่ยวาจาทับถมนางทันที “เอ๊ะ!…” จินเหมยกำลังจะเถียงแทน เพราะนางเคยบอกจินเหมยไว้ว่าซื้อบ้านร้างหลังนี้แล้ว แต่นางยกมือห้ามไว้เสียก่อน “ที่พูดมาเจ้าสองคนคิดเอาเองหรือหัวหน้าหมู่บ้านบอกว่าข้าไม่จ่าย” แม่ลูกบ้านหยางหันมองหน้ากันก่อนคนแม่จะเป็นคนตอบออกมา “พ่อสามีข้าก็บอกมาน่ะสิ” เมื่อกี้โกหกก็โดนจับได้ทีนึงแล้ว อีป้านี่ท่าทางจะโง่จริงๆ “อ๋อ เหรอ เช่นนั้นเราไปหาพ่อสามีเจ้ากัน ไปถามให้รู้เรื่อง” . . . และแล้วจากเรื่องขโมยไข่แหกตาก็กลับกลายเป็นเรื่องใหญ่โตจนคนทั้งหมู่บ้านต้องมารวมตัวกัน “พ่อสามีบอกมันไปเลยสิเจ้าคะ ว่ามาอาศัยเปล่าๆ เช่นนี้น้ำใจก็ควรมีบ้าง หากทางการมาเก็บภาษีใช้จ่ายเช่นนี้ย่อมไม่มีเงินมาช่วยเหลือผู้ใด” คำพูดของนางทำเอาลุงหยางมีสีหน้าบอกบุญไม่รับ “ปกติคนหมู่บ้านนี้ช่วยกันจ่ายภาษีหรอกหรือ มีน้ำใจเสียจริง” เสิ่นลี่อิงป้องปากขำเพราะได้ยินเสียงแว่วๆ มาว่านางผู่นั่นแหละที่ไม่เคยช่วยใคร “เรื่องแบ่งเนื้อกับภาษียังไม่สำคัญหรอก นางไม่จ่ายจริงหรือ เช่นนั้นพวกข้าขอไม่จ่ายค่าเช่าบ้างได้หรือไม่” ชาวบ้านที่ไม่มีเงินซื้อที่ขาดก็โวยวายขึ้นมาบ้าง เพราะพวกเขาไม่สามารถสะสมเงินซื้อขาดได้ก็ต้องจ่ายเงินเช่าไปทุกๆ ปี แยกจากภาษีต่างหาก “ไม่จ่ายได้อย่างไร เหลวไหล” ลุงหยางพูดจบก็ทุบโต๊ะดังปัง “ก็แม่นางลี่อิงผู้นี้เห็นชัดๆ ว่ามีเงินซื้อเนื้อ แทนที่จะจ่ายเงินค่าที่ดิน” ชาวบ้านคนเดิมเถียง “นางจ่ายแล้วๆ นางซื้อที่ขาด” “นางจ่ายมาเท่าไร เหตุใดท่านไม่แจกแจง ที่ตรงนั้นต้องได้อย่างน้อยสิบห้าตำลึงเงิน” สิบห้าตำลึงเงิน… หนอย!! ฟาดไปยี่สิบตำลึงทองกะเอารวยเลยนะลุง เสิ่นลี่อิงสีหน้าแข็งค้าง นางหันไปมองลุงหยางด้วยสายตาชิงชังจนลุงหยางก็รู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ต้องเรียกนางมาคุยเป็นการส่วนตัว “ขูดรีดกันเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร” “ขูดรีดอันใดกันนี่ถือเป็นค่าย้ายทะเบียนโดยไม่มีเอกสาร” “แต่หากข้าพูดออกไปเงินทั้งหมดนี่ก็จะตกเป็นเงินของหมู่บ้าน คืนข้ามาสิบตำลึงทอง แล้วข้าจะปิดเงียบ ข้ามีเด็กต้องเลี้ยงใช้เงินมาก” หัวหน้าหมูบ้านหยางมีสีหน้ายุ่งเหยิงไม่พอใจที่ลาภหลุดลอยไป “ก็ได้ๆ คืนสิบก็สิบ” “และต้องลงโทษลูกสะใภ้ของท่านด้วย” “มากไปหรือไม่ นางเพียงแค่สงสัยเจ้าเท่านั้น” “มากไปอันใดกัน ก่อนหน้านี้ใส่ร้ายว่าข้าไปขโมยไข่ไก่ เมื่อถูกจับได้ว่าโกหกก็มาใส่ร้ายข้าเรื่องที่ดินต่อ ลุงหยางไม่ลงโทษก็ย่อมได้ แต่เรื่องเงินส่วนต่างนี้คงต้องป่าวประกาศให้รู้ทั่วกัน” “หากทำเช่นนั้นข้าก็จะแฉเจ้าเรื่องที่ไรเอกสารยืนยันตัวตน” “ผิดแล้ว…หากแฉข้าเรื่องนั้นตัวท่านนั้นแหละที่จะถูกลงโทษ ท่านยอมให้คนไม่มีเอกสารยืนยันตัวมาซื้อที่ในหมู่บ้าน ทั้งยังรับสินบนเข่นนี้ หากเกิดปัญหาก็ย่อมต้องเป็นผู้รับผิดชอบ” นางเหยียดยิ้มเย็นให้หัวหน้าหมู่บ้านหยาง “จะให้ลงโทษอย่างไร!” “ตบปากนางยี่สิบที” ด้วยการตกลงกันเช่นนี้เรื่องทั้งหมดจึงจบลงเกือบดี ลุงหยางลงบัญชีเรียบร้อยว่านางจ่ายมาสิบห้าตำลึงเงินส่วนต่างที่เหลือก็ปลิวเข้ากระเป๋าลุงหยางโดยที่คนอื่นในหมู่บ้านไม่มีผู้ใดรับรู้ด้วยเลย ส่วนนางผู่หยางก็กรีดร้องโวยวายที่พ่อสามีสั่งลงโทษตนเอง ร่ำร้องว่าฟ้าดินไม่ยุติธรรม และตัวลี่อิงเป็นหญิงชั่วร้ายล่อลวงพ่อสามีของนาง จนสุดท้ายต้องให้ชายสองคนจับนางไว้แล้วจึงค่อยตบปากนางผู่จานจนครบตามจำนวน เมื่อเสร็จสิ้นการลงโทษ ผู่จานหันมองนางด้วยสายตาอาฆาตแค้น “ฝากไว้..โอ๊ย” นางยกมือกุมปากที่แดงช้ำจนเริ่มบวมขึ้นแล้วของตนเอง การลงโทษนี้หัวหน้าหมู่บ้านยังคงยั้งมือบ้างมิเช่นนั้นคงได้เลือดกลบปาก “ให้หายเจ็บแล้วค่อยคิดแผนชั่วใส่ร้ายผู้อื่นดีหรือไม่” จินเหมยส่ายหัวให้กับผู่จานที่แม้เป็นความผิดตนก็ยังเคียดแค้นผู้อื่น “ปกตินางไม่เคยถูกลงโทษ จึงโกรธมากกระมัง” ลู่จานออกความเห็นให้นางฟัง “ข้าสะใจจริงๆ ปกติเคยโดนจัดการที่ไหน” ชาวบ้านที่มารวมตัวบ้างก็สะใจกับการโดนลงโทษของผู่จาน อีกส่วนแม้ไม่ได้พูดอะไรแต่ก็มีแววตาขบขันพาดผ่าน หากมิใช่เพราะครั้งนี้นางผู่จานทำเกินไป เสิ่นลี่อิงคงยอมนางไปแล้ว หากจบที่เรื่องขโมยไม่ตั้งใจกล่าววาจาพล่อยๆ ที่มีสิทธิ์ทำให้คนทั้งหมู่บ้านเกลียดชังนาง ลี่อิงคงไม่ต้องเอาเรื่องเช่นนี้ “จะมาฝากทำไม ข้าไม่ได้บังคับให้เจ้าโกหก เจ้ากินไม่หมดก็ต้องห่อกลับ” นางกล่าวทิ้งท้ายไม่ฟังเสียงที่พยายามจะด่าว่านางของหญิงเพ้อเจ้อผู้นั้นอีก “เสียเวลาจริงๆ” จินเหมยบ่นระหว่างเดินกลับมาบ้านของเสิ่นลี่อิง โดยมีเด็กน้อยทั้งสองออกมายืนรอหน้าบ้าน เพราะเห็นพวกผู้ใหญ่ไปกันนานเสียเหลือเกิน “มาแล้วๆ กับข้าวเย็นหมดแล้วท่านแม่” ลู่เว่ยโอด “จริงด้วย นำไปอุ่นกันพี่จิน” เมื่อมาถึงเสิ่นลี่อิงและจินเหมยช่วยกันยกกับข้าวไปอุ่นในครัวก่อนจะยกออกมากินใหม่ ส่วนลู่จานก็หาตะเกียงมาจุดทานข้าวกัน ปล่อยเด็กๆ ที่กินอิ่มแล้วก็นั่งเล่นอยู่หน้าบ้าน “ลี่อิง ขึ้นฉ่ายนี้ทั้งหวานทั้งกรอบ เจ้าซื้อร้านผักใดกัน หมูนี้ก็นุ่มนักหมักอย่างไรหรือ” รสชาติและความนุ่มของหมูทำให้จินเหมยตาวาว ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยคิดเลยว่าขึ้นฉ่ายจะหวานได้ “ไม่ได้ซื้อๆ มันขึ้นอยู่ข้างบ้านนี่แหละ กรอบอร่อยก็คงเป็นเพราะดินดี ส่วนหมูหมักใช้สัปปะรดหรือน้ำมะนาวก็ได้ ออกมานุ่มเช่นกัน” “อืม ดีจริง น้ำแกงไก่นี่ก็กลมกล่อม รสกินง่ายซดคล่องนัก อร่อย มิน่าเล่าเด็กๆ จึงกินกันจนพุงออก” “ขอบคุณที่ชมเจ้าคะ พรุ่งนี้เช้าอย่ารีบไปทำงานกันเล่า ข้าตกลงจะทำของไปฝากเถ้าแก่ร้านบะหมี่ขาย อยากให้พวกท่านช่วยชิมก่อน” “ได้เลยๆ อาหารเจ้าอร่อยจริงๆ ยิ่งกินยิ่งหวานกลมกล่อม” ทั้งสองพยักหน้ารับคำ ยื่นตะเกียบคีบกับข้าวกันคล่องแคล่ว เสิ่นลี่อิงนั้นเมื่อได้กินอาหารครบรสอย่างที่ชอบ นางก็คลายความหงุดหงิดจากเหตุการณ์เมื่อสักครู่ได้บ้าง ลี่อิงส่ายหัวไว้อาลัยให้ตนเอง นางและคนบ้านหยางคงต้องเจอกันอีกหลายยก เพียงแค่ซื้อของเท่านี้ก็โดนจับจ้องคิดจะผลักไสให้นางยอมจำนนเสียแล้ว โชคดีที่นางไม่ได้ซื้อไข่มา มิเช่นนั้นคงเป็นลูกไล่ให้ป้าผู่ขูดรีดอยู่เรื่อยไป __________ กินไม่หมดต้องห่อกลับ = ก่อเรื่องอะไรไว้ก็ต้องรับผลที่ตามมา
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม