7-1 *******ตรีเนตร

1439 คำ
7 *******ตรีเนตร พื้นที่โดยรอบบริเวณได้รับการเติมเต็มด้วยมวลบุปผาหลากสีสันละลานตา เหล่าบุปผชาติอันงดงามล้วนบานสะพรั่งไม่ต่างจากพระราชวังของฮ่องเต้ในวสันตฤดูบนโลกมนุษย์ สระบัวกลับมามีไอเย็นปกคลุม หมู่มัจฉาน้อยใหญ่ล้วนคืนชีพชีวัน ด้วยเวทฟื้นฟูของเหล่าเทพแห่งสายน้ำร่วมใจกันทำให้พวกมันสวยงามดังเดิม เทพฟางหรงและเทพเฟยหลิงยืนอยู่ในฝั่งขวาของเทพอู่เฉิน ทางด้านหลังของบุรุษเทพทั้งสาม เหล่าเทพมากหน้าหลายตาและบ่าวรับใช้ในเรือนมาช่วยเหลืออีกหลายแรง กำลังแยกย้ายกันไปเมื่อจัดการงานของตนเรียบร้อยดี “สตรีต้องห้ามอาจทำให้เกิดสงคราม บนโลกมนุษย์พึงมี ข้าพอเข้าใจในคำทำนายของแม่เฒ่า และข้าว่าพี่ใหญ่ไม่ควรยั่วโทสะเทพอู่เฉิน” “ข้าเปล่ายั่วโทสะผู้ใดเสียหน่อย ฟางหรง เจ้าคิดไปเองทั้งนั้น” “ข้าไม่อยากจะพูดซ้ำซากในเรื่องเดิม เพื่อเห็นแก่มิตรไมตรีระหว่างข้าและใต้เท้าจีกง ทั้งพวกท่านทั้งสอง นางเป็นเพียงสมบัติชิ้นหนึ่งในเรือนข้า แค่พูดจาได้ยิ้มได้ อย่างไรก็หาใช่สตรีต้องห้ามที่จะทำให้เกิดสงคราม” เทพอู่เฉินอธิบายอย่างไร้ความรู้สึกใดในสีหน้าเรียบเฉย เทพแห่งสายน้ำผู้พี่เข้าหน้าเทพอู่เฉินไม่ติดตั้งแต่ถูกต่อว่าต่อหน้าฝูงชน กระทั่งตอนนี้ เทพเฟยหลิงยังเฝ้าชื่นชมอาเป้ย ทว่าคงทำได้เพียงชื่นชมเท่านั้น ครั้นจะไปชะโงกหน้าดูอาการของนางผ่านหน้าต่างยังถูกกีดกัน จะขอเป็นเพียงมิตรสหายก็ยังไม่สามารถเป็นได้ “นางเป็นหนึ่งในสมบัติของข้า เป็นเครื่องสังเวยซึ่งมนุษย์มอบให้ข้า หาใช่สตรีเทพไม่ พวกท่านควรเลิกยุ่งกับเรื่องของนางเสีย” “ข้าเพียงเห็นว่านางเฉลียวฉลาด มีคารมคมคายเป็นเลิศ นางจิตใจดีมีเมตตา ตัวข้าพบสตรีเทพมาไม่น้อย แต่อาเป้ย... นางงามจากภายใน... ใบหน้าขาวผ่องของนางงดงามหมดจดดังสตรีในภาพวาด ข้าเห็นดอกบัวสีขาวเบ่งบานในเรือนท่านพ่อมาแต่ยังเล็กนัก วันหนึ่งข้ากลับมีความคิดว่าดอกบัวเหล่านั้น ไม่ยิ้มแย้มสดใสเท่าอาเป้ย ข้าว่าพวกมันไม่งดงามที่สุดอีกต่อไป” เทพเฟยหลิงเอ่ยคำชื่นชมนางด้วยการมองไปข้างหน้ายกพัดเหล็กสีเขียวอ่อนพัดไปมา ท่าทางเหมือนพูดคุยกับอากาศ ไม่แม้แต่ประจันหน้ากับคู่สนทนา ประจวบเหมาะพอดี นางฟางเหนียงและอาเป้ยมาได้ยินเข้า มารดาแห่งสายน้ำไม่อยากให้ทั้งสองฝ่ายผิดใจกันจนกลายเป็นเรื่องใหญ่ เห็นจะต้องสั่งสอนบุตรชาย “เทพเฟยหลิง เจ้าจะเอ่ยคำเยินยอสตรีเยี่ยงนี้มิได้เป็นอันขาด ข้าขอเตือนเสียก่อน โดยเฉพาะอาเป้ย นางเป็นสมบัติเทพปีศาจ” “ข้าขออภัยเถิดท่านแม่... คำก็สมบัติเทพ สองคำก็สมบัติเทพ ข้ามองว่านางเป็นเซียนหญิงผู้มีจิตใจงดงาม นางมีเมตตากรุณาเหมือนอาจารย์ของนาง นางมิใช่สมบัติของผู้ใด” อาเป้ยไม่สะทกสะท้านกับคำชื่นชม แต่จะยกมือคารวะหรือขอบคุณเทพเฟยหลิงก็คงไม่งาม นั่นเท่ากับเป็นการรับคำเยินยออย่างยินดี เมื่อนางหันไปทางเทพอู่เฉิน นัยน์ตาสีแดงจ้องมองนางยังกับจะเข้ามาหักคอนางทิ้งเสียตรงนี้ ทั้งที่นางก็ไม่ได้ทำอะไร แค่ยืนหายใจเฉย ๆ กลับกลายเป็นความผิดได้ “อาเป้ย... นางเป็นสมบัติของเทพอู่เฉิน เชื่อแม่เถิด เจ้าทั้งสองลองมองดูให้ชัด จะได้ตาสว่างเสียที” ฟางเหนียงเป็นผู้ไขข้อข้องใจให้ทุกฝ่าย ด้วยการวาดฝ่ามือเบา ๆ บนหน้าผากของอาเป้ยปรากฏสีแดงฉาน “สิ่งนั้นเรียกตรีเนตร นางเห็นสิ่งใด เทพอู่เฉินจะมองเห็นสิ่งที่นางมองเห็นผ่านหน้าผากของนางราวกับว่าเป็นดวงตาที่สามของท่าน ตรีเนตรเป็นสิ่งซึ่งมีเฉพาะเครื่องสังเวยเทพปีศาจ” มารดาแห่งทิศประจิมเหลียวคอมองไปทางเทพอู่เฉินด้วยท่าทางไม่พอใจนัก “มีเพียงปีศาจเท่านั้น ชื่นชอบการรับเครื่องบรรณาการเป็นสิ่งมีชีวิตจากโลกมนุษย์ พึงพอใจกับเครื่องบรรณาการ การหลั่งเลือดเนื้อของผู้บริสุทธิ์โดยใช่เหตุ โดยธรรมเนียมแล้วเหล่าเทพของเราไม่มีผู้ใดทำ” “ข้าจำเป็นต้องทำก็เท่านั้น เป็นคำสั่งจากเบื้องบน หากข้าไม่ไปรับเครื่องสังเวย มนุษย์อาจเกิดปัญหาใหญ่ ข้าไม่สามารถบอกเรื่องนี้กับผู้ใดได้” “ข้าจำเป็นต้องทำก็เท่านั้น เป็นคำสั่งจากเบื้องบน หากข้าไม่ไปรับเครื่องสังเวย มนุษย์อาจเกิดปัญหาใหญ่ ข้าไม่สามารถบอกเรื่องนี้กับผู้ใดได้” เทพอู่เฉินไม่ใช่ผู้เจรจาเก่งนัก ในขณะที่ท่านให้ความเคารพเทพเจ้าแห่งสายน้ำเสมอมา โดยเฉพาะใต้เท้าจีกงและนางฟางเหนียงด้วย นางฟางเหนียงเองก็ไม่ใคร่อยากถือสาเอาความเทพปีศาจผู้นี้ “เอาล่ะ ลูกชายข้า ไหนบอกข้ามาซิ เจ้าอยากได้ภริยาผู้มีดวงตาของชายอื่นจ้องมองเจ้าอยู่ตลอดเวลารึยังไง?” เทพเฟยหลิงยืนนิ่งอึ้งไป ไม่จำเป็นต้องจินตนาการภาพใดต่อหากต้องมีชีวิตคู่เช่นนั้น ก็คงไม่ต่างจากนรกบนดิน! ด้วยความเข้าใจความหมายของสมบัติเทพปีศาจอย่างถ่องแท้ ก็พาลเบือนหน้าหนีไปไม่มองนางอีก เทพฟางหรงเบิกตากว้างมองดวงตาบนหน้าผากของนาง เห็นว่ามันมีลักษณะเหมือนนัยน์ตาของเทพอู่เฉินในร่างปีศาจอสรพิษ ** “มิน่าเล่า! เทพอู่เฉินถึงได้รู้เห็นทุกอย่างในระหว่างจำศีล ท่านมองผ่านตรีเนตรนั่นเอง ฟ้าผ่านั่นก็เป็นฝีมือท่าน” "บุรุษไม่ควรมองสตรีด้วยสายตาเสน่หาถึงเพียงนั้น ข้ายังได้ยินมาว่ามีสตรีนักพรตนางหนึ่งไม่เข้าใกล้บุรุษเกินสามย่างก้าว" อาเป้ยไม่ได้ฟังเทพต่อปากต่อคำกันเลย นางกลอกตาขึ้นมองบน ยกมือจับหมับเข้ากลางหน้าผากเหมือนตบแมลง “ชะ เช่นนี้... ทะ... ท่าน เทพเห็นข้ายามผลัดเปลี่ยนอาภรณ์หรือไม่!” “ข้าไม่ใช่เทพผู้มีนิสัยเลวทรามต่ำช้า ด่านเคราะห์สตรีบนโลกมนุษย์ข้าก็ผ่านมามาก แต่เกรงว่าข้าจะบังเอิญเห็น... โดยไม่ได้ตั้งใจ” อาเป้ยยกมือปิดป้องกอดกุมร่างกายของตนเองอย่างหวงแหน มองเทพปีศาจอย่างประทุษร้าย ยกความผิดให้ท่านไปทั้งหมด ใบหน้าของนางแดงก่ำไปถึงใบหูด้วยความโกรธและอับอาย ถึงนางจะไม่ได้พูดออกมาก็ตาม เทพอู่เฉินคงไม่ทันได้อธิบาย เมื่อสมบัติเทพวิ่งเตลิดไปอย่างไร้ทิศทางเยี่ยงสตรีวิปลาส นางตะโกนร้องโวยวายหน้าผากข้า ๆ! ไม่ว่าจะทำอย่างไร คงไม่สำเร็จลุล่วงสมใจนาง ไร้หนทางปิดพลังเวทของตรีเนตร อาเป้ยจึงคิดเข้าข้างตนเองว่าเพียงพริบตาเดียว เทพอู่เฉินอาจไม่เห็นเรือนร่างของนางทุกส่วนสัด ส่วนใหญ่แล้วนางก็แค่สะบัดมือเปลี่ยนอาภรณ์งดงามได้ดั่งใจ นางแทบจะใช้เวทเซียนอำนวยความสะดวกทุกอย่างบนเทวโลก “เจ้ายังไม่หายดี ไม่ควรวิ่งเร็วเท่านี้ อาเป้ย” คนถูกเรียกหันหลังขวับไปสบนัยน์ตาคู่คม นางเกิดอับอายจนวิ่งเตลิดไป ก่อนจะถูกจับรวบตัวเอาไว้ด้วยไอเวทสีดำซึ่งสามารถดึงรั้งนางทั้งร่าง ปลายเท้าของนางลอยขึ้นบนอากาศ “มีอะไรอีกล่ะอาเป้ย ข้าไม่เห็นว่ามันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่” “ข้าไม่มีอะไรจะพูดกับท่าน” “ตามใจเจ้าแล้วกัน ข้าคิดว่าเจ้าคงเสียสติไปเสียแล้วเพราะเรื่องตรีเนตร” “...” เทพอู่เฉินขมวดคิ้วมุ่นมองนางอย่างไม่เข้าใจเอาเสียเลย เมื่อนางเบือนหน้าหนีไปอีกทาง ไม่ยอมพูดจายังทำสีหน้าราวกับว่าบุรุษเทพปีศาจคือชายชั่วช้าสามานย์ มาแอบลอบมองเรือนร่างของนางผ่านตรีเนตร! “ไยสตรีปราชญ์ผู้เฉลียวฉลาดเช่นเจ้าในเวลานี้ดันพูดไม่รู้ความ แต่ก็ช่างเถอะ เจ้าหายดีแล้วไปเตรียมตัวให้เรียบร้อย เราจะกลับกันในวันพรุ่งนี้” อาเป้ยได้รับอิสรภาพหลังจบสิ้นคำสั่ง หลังจากนั้นเทพอู่เฉินเพียงก้าวเดินจากไปจากนางด้วยท่าทีเฉยเมย
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม