“นั่นพาใครมาด้วยล่ะลูก” คุณนายจำปาเอ่ยถามบุตรชายด้วยความสงสาร
“เด็กแถวนี้ครับ”
“สกปรกมอมแมม ไปรู้จักกันได้ยังไง ลูกเต้าเหล่าใครล่ะเรา” คุณนายจำปาขมวดคิ้วเข้าหากัน ไม่ชอบให้บุตรชายไปเล่นกับเด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้า
“ลูกพ่อพันค่ะ” พลับพลึงนั่งพับเพียบบนพื้นอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว หลังจากยกมือไหว้เจ้าของบ้านเรียบร้อยแล้ว
“ตายแล้ว! พากลับไปส่งบ้านเลยตาเหม ลูกไอ้พันขี้เมา เข้ามาในบ้านของเราเดี๋ยวก็ขโมยข้าวของไปหรอก” เสียงดุๆ ของเจ้าของบ้านทำให้พลับพลึงสะดุ้งตัวสั่น
“ไม่หรอกครับ” เหมราชเองก็หน้าเสียนึกเห็นใจเด็กน้อยที่โดนดุเช่นนี้
“ถ้าของในบ้านหายจะว่ายังไง”
“โอเคครับๆ” เหมราชไม่อยากทำให้มารดาหงุดหงิดใจเลยพาพลับพลึงกลับไปส่งบ้าน
“นายสนมานี่สิ” คุณนายจำปาเรียกคนขับรถของบุตรชายเสียงเข้ม
“ครับคุณนาย”
“ไปรู้จักกันได้ยังไง ทำไมไม่ห้าม” นายสนรีบเล่าให้ฟังถึงเหตุการณ์ทั้งหมด
“ตามไปอย่าให้คลาดสายตา ถ้าเด็กนั่นออดอ้อนขอเงินหรือขออะไรให้รีบห้ามทันที พ่อมันขี้เมาไม่ทำงานทำการอะไร เอาแต่ขี้เกียจสันหลังยาว ลูกมันคงเป็นพวกขอทาน ลักเล็กขโมยน้อยอยากได้ของคนอื่น” คุณนายพูดเสียงไม่พอใจ นายสนรีบรับคำเพื่อตัดปัญหา เพราะเขาเองก็รู้สึกเอ็นดูเด็กน้อยอยู่มากไม่ต่างจากเจ้านายหนุ่ม เหมราชพาพลับพลึงมาส่งบ้าน ก่อนจะยื่นถุงกระดาษให้เด็กน้อย
“อะไรเหรอคะพี่เหม”
“เปิดดูสิ” เด็กน้อยรับไปเปิดดูก่อนจะตาโต
“ชุดนักเรียนชุดใหม่เหรอคะ พี่เหมให้พลับพลึงเหรอ” เด็กน้อยน้ำตาไหลอาบแก้ม สะอึกสะอื้นเพราะเธอไม่เคยได้รับเสื้อผ้าชุดใหม่จากใครเลย มีแต่ของมือสองที่เขาโละทิ้งไม่ใช้แล้วทั้งนั้นที่บริจาคมาให้
“ซื้อให้ห้าชุดเลย มีรองเท้าและถุงเท้าสำหรับใส่ไปเรียนห้าวันเลย ไม่ต้องรีบกลับมาซักชุดอีกแล้วนะ” เขาสั่งให้นายสนไปซื้อชุดนักเรียนที่ร้านในอำเภอมาให้เด็กน้อย
“หนูเกรงใจจังค่ะ” เด็กน้อยคุกเข่าลงตรงหน้าก่อนจะก้มลงกราบแทบเท้าอย่างซาบซึ้งใจ ไม่เคยมีใครให้อะไรเธอเลย แม้แต่เงินเล็กๆ น้อยๆ ที่หามาได้ก็ต้องทำงานอาบเหงื่อต่างน้ำเหนื่อยสายตัวแทบขาด บางครั้งก็โดนเอาเปรียบ ได้ค่าแรงแค่น้อยนิดแม้จะทำงานทั้งวันแต่เธอก็ไม่กล้าปริปากบ่น
“กราบฉันทำไม ไม่ต้องทำถึงขนาดนี้ก็ได้”
“พี่เหมเหมือนพ่อพระเลยค่ะ” เด็กน้อยยกมือไหว้ร้องไห้สะอึกสะอื้น
“เด็กโง่เอ๊ย” เขายิ้มเอ็นดู นายสนเห็นเข้าก็พูดไม่ออกบอกไม่ถูก ไม่ห้ามอะไรเพราะสงสาร
“นี่พวกอุปกรณ์การเรียน” เหมราชไปนำพวกสมุด ดินสอ ยางลบและตำราเรียนรวมถึงหนังสืออ่านเล่นมาให้เด็กน้อย
“ต่อไปหนูจะมีดินสอเขียนหนังสือแล้ว” ดินสอหลายแท่งและยางลมรูปสัตว์ต่างๆ แถมยังมีกลิ่นหอม ทำให้เด็กน้อยมองอย่างตื่นตาตื่นใจ เหมราชนำข้าวสารอาหารแห้งอีกหลายอย่างมาเพิ่มให้บนบ้าน
“พรุ่งนี้พี่คงต้องกลับกรุงเทพฯ แล้วนะ อีกนานกว่าจะได้มาที่นี่อีก ดูแลตัวเองด้วยนะ” เหมราชบอกเด็กน้อย เธอรู้สึกอบอุ่นใจไม่น้อยที่มืออุ่นๆ ของเขาลูบอยู่บนศีรษะ
“พรุ่งนี้พี่เหมจะกลับแล้วเหรอคะ”
“ครับ” เด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ดรับคำ
“กลับตอนไหนเหรอคะ”
“ทำไม จะไปส่งเหรอ”
“ค่ะ” เด็กน้อยรีบพูดอย่างกระตือรือร้น
“น่าจะตอนสายๆ น่ะเพราะต้องนั่งรถหลายชั่วโมง” มีวันหยุดยาวหลายวันเขาเลยถือโอกาสมาเยี่ยมบิดามารดาและเที่ยวพักผ่อนไปในตัว
พลับพลึงจดจำเวลากลับของพี่ชายใจดีได้อย่างขึ้นใจ วันนั้นเด็กน้อยรีบไปขุดหัวเผือกหัวมันมาเตรียมเอาไว้ พรุ่งนี้เธอจะจัดการต้มร้อนๆ ไปให้เขากินรองท้องบนรถ เธอไม่มีของมีค่าอะไรให้เขา ไม่มีขนมดีๆ อร่อยๆ แต่ก็อยากตอบแทนน้ำใจเขาจึงทำเท่าที่มี
พอถึงเวลาเธอก็ไปด้อมๆ มองๆ แถวหน้าบ้านของเขา แต่ไม่กล้าเข้าไปข้างใน ร่างเล็กๆ ในชุดเก่าๆ ซึ่งมีรอยขาดจนต้องปะทั้งตัวก้มมองหัวเผือกและหัวมันต้มในมือนิ่ง เธอต้มมันร้อนๆ เพื่อจะเอามาให้พี่ชายใจดีกินรองท้องระหว่างเดินทาง เสื้อผ้าชุดนี้ดีที่สุดเท่าที่มีอยู่ ไม่ได้สนใจว่าจะโดนใครดูถูกหรือไม่
รถคันโตที่ขัดมันวาวกำลังจะแล่นออกจากบ้านทำให้เด็กน้อยชะเง้อคอมองตามท้ายรถไปจนสุดตา เธอรีบวิ่งตามไปพอเห็นว่าเป็นรถของเหมราช แต่วิ่งตามไปไม่ทัน พลับพลึงคอตกในทันที มองมันและเผือกต้มในมืออย่างเศร้าสร้อย คงไม่ได้เอาของกินที่อุตส่าห์ทำให้พี่ชายใจดีอีกแล้ว
“หยุดรถก่อนครับน้าสน” เหมราชสั่งคนขับรถเมื่อเขาเผอิญหันไปเห็นเด็กน้อยวิ่งตามมา
“มาส่งพี่เหรอ” เสียงนั้นทำให้เด็กน้อยเงยหน้าขึ้นมองอย่างดีใจ
“หนูต้มหัวเผือกกับหัวมันมาให้พี่เหมกินรองท้องระหว่างเดินทางค่ะ” เด็กน้อยพูดด้วยดวงตาเป็นประกายขึ้นมาในทันที รีบยื่นสิ่งที่ตั้งใจทำส่งให้พี่ชายที่แสนใจดี
“ขอบใจนะ น่ากินจัง” เขารับมาถือเอาไว้ รู้สึกว่ายังอุ่นๆ อยู่เลย ก่อนก้มมองเท้าเล็กๆ ไร้รองเท้าของเด็กน้อย แล้วเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้
“นี่รองเท้าคู่ใหม่นะครับ พี่ซื้อเอาไว้เมื่อวันก่อนแต่ลืมให้ เอาไปใส่สิ จะได้ไม่ปวดเท้า เดินเท้าเปล่าแบบนี้มันไม่ดีนะ เดี๋ยวจะมีแผลที่เท้าเจ็บป่วยเอาได้” เด็กหนุ่มร่างสูงนั่งยองๆ อยู่ตรงหน้า ก่อนจะวางรองเท้าแตะสำหรับใส่เล่นลงตรงหน้าเด็กน้อย
“พี่ให้เป็นของขวัญนะครับ อีกนานกว่าเราจะได้เจอกันอีก” เขาโยกศีรษะเด็กน้อยยิ้มอบอุ่นให้ นั่นเป็นประโยคที่เหมราชไม่รู้เลยว่าจะไม่ได้เจอเธออีกนานจริงๆ เพราะคุณยายนั้นอยากส่งหลานชายไปเรียนต่อต่างประเทศทันทีที่เรียนจบที่ไทย
“มีอะไรเหรอเหม” เสียงถามของมารดาทำให้เหมราชหันไปมอง
“ไม่มีอะไครับคุณแม่”
“เธออีกแล้วเหรอ มายุ่งวุ่นวายอะไรกับลูกชายของฉันนักหนา”
“เขาแค่มาส่งครับ”
“เราก็กลับได้แล้ว เดี๋ยวจะถึงบ้านค่ำมืดดึกดื่น” คุณนายจำปาหันไปบอกลูกชายแต่สายตาไม่สบอารมณ์มองไปยังเด็กน้อย พลับพลึงหลบวูบ รีบยกมือไหว้กล่าวลาพี่ชายใจดีในทันที
“กลับบ้านดีๆ นะ” เหมราชบอกเด็กน้อย ยิ้มให้อย่างเอ็นดู พลับพลึงโบกมือให้พี่ชาย ก่อนจะเดินกลับบ้านของตัวเองอย่างหงอยๆ
“นั่นอะไรน่ะเหม”
“พลับพลึงต้มมันเทศกับเผือกมาให้ครับ”
“ตายแล้วสกปรก ทิ้งไปเถอะลูก อย่ากินเลย” พลับพลึงที่เดินห่างออกมา ได้ยินคุณนายจำปาพูดแบบนั้นก็รู้สึกเศร้าใจ เธอกอดรองเท้าแตะคู่สวยราคาแพงเอาไว้แน่น รู้สึกหดหู่ใจเพราะกลัวเหมราชจะทิ้งของกินราคาถูกของเธอ
“น่ากินออกครับ ผมไปก่อนนะครับ” คนพูดรีบบอกมารดาก่อนก้าวขึ้นรถ แถมยังถือของฝากจากเด็กน้อยเอาไว้แน่นเหมือนกลัวมารดาจะแย่งไปทิ้ง
“พี่เหม...” เด็กน้อยครางก่อนจะเดินหยุด มองท้ายรถไปด้วยดวงตาเป็นประกาย ดีใจที่เขาไม่ทิ้งของกินที่เธออุตส่าห์ทำให้ถึงแม้ว่ามันจะไม่มีราคา ค่างวดอะไรเลย
“จะไปไหนก็ไป ยายเด็กสกปรก” คุณนายจำปาหันไปไล่ตะเพิด พลับพลึงรีบวิ่งหนีอย่างตกใจกลัวเพราะสีหน้าและแววตาดุดันนั้นทำให้เด็กน้อยไม่กล้าแม้แต่จะมอง
เหมราชแกะห่อใบตองออกจากกัน ด้านในมีมันเทศสีส้มสีม่วงและ หัวเผือกหัวบอนต้ม เขาไม่ค่อยได้กินอาหารประเภทนี้ เพราะอยู่เมืองใหญ่กินแต่อาหารหรูหราราคาแพง เคยมาเยี่ยมบิดามารดานานแล้ว คนใช้ในบ้านต้มกินกัน จึงเคยได้ลิ้มลอง จำได้ว่ารสชาติอร่อยไม่น้อย
“ขอบคุณนะครับน้าสน” เหมราชเอ่ยขอบคุณคนขับรถ
“เรื่องอะไรครับ”
“เรื่องพลับพลึงครับ” เขาตอบคนขับรถเสียงนุ่ม นายสนไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่เข้าใจว่าเจ้านายหนุ่มหมายความว่าอะไรเพราะเขาสงสารเด็กน้อยเช่นกัน จึงไม่ได้เอาเรื่องของพลับพลึงไปบอกเล่าให้คุณนายจำปาฟัง
เหมราชวางของกินที่ห่อด้วยใบตองลงข้างตัวแล้วหันมองวิวทิวทัศน์นอกรถ เวลาผ่านไปนับชั่วโมงเขาจึงเหลือบไปมองของกินที่เด็กน้อยให้เขามาอีกครั้ง เขาหยิบมันขึ้นมากัดกิน รสชาติของมันหอมอร่อย ทำให้เหมราชอมยิ้มออกมาอย่างมีความสุข
‘อืม... อร่อย’ เขาคิดในใจก่อนจะกินจนหมดเกลี้ยง