เสียงแตรดังลากยาวมาแต่ไกล กดค้างนานเกือบนาทีก่อนเบรคจอดห่างจากด่านสังหารประมาณร้อยเมตร ชายฉกรรจ์ชุดดำสวมโม่งปกคลุมหน้ารีบวิ่งไปยืนเรียงแถวหน้ากระดานตั้งท่ารอดักยิงรถของเขา
“Hey I’m Dark!!” ฟรังค์โก เมแกนเปิดประทุนรถออก ร้องตะโกนทักทายเป็นภาษาอังกฤษเพื่อแสดงตัวตนให้คนพวกนั้นทราบ
หัวหน้าด่านประจำจุดพื้นที่ลดปืนลงต่ำ หันไปสั่งการลูกน้องคนหนึ่งให้รีบวิ่งไปติดต่อสอบถามที่องค์กรใหญ่ให้แน่ชัด ส่วนที่เหลือต่างลดปืนลงข้างกายตามกันพรึ่บพรั่บ
พวกมันส่งตัวแทนอีกสองคนเดินเข้าไปใกล้รถหรูคันดังกล่าว พบชายร่างล่ำสันใหญ่ ใบหน้าคมเข้ม น่าจะเป็นสัญชาติอิตาลีนั่งโอบไหล่ภรรยาที่กำลังประคองลูกน้อยอย่างทะนุถนอม
“เฮ้ ฉันว่าจะพาเมียลี้ภัยขึ้นไปทางเหนือน่ะ” ร่างใหญ่ปรับเบาะเอนหลังเล็กน้อยมือซ้ายโอบคอภรรยา มือขวายื่นนามบัตรให้ ก่อนกระดกนิ้วให้มันเอียงหูฟังเขากระซิบบอก“ฉันเมแกน ช่วยหลีกทางด้วย ถ้าไม่เชื่อก็โทรไปถามทางสำนักงานใหญ่ของนายซะ”
“ครับ”
“เมื่อกี้คุณบอกอะไรเค้า” เธอกระซิบถาม ดวงหน้าใกล้เกินคืบ ปลายจมูกรั้นเชิดเกือบจะสัมผัสเคราสาก
“เอ่อ.” เขารีบคลายวงแขนขยับกายออกห่างเมื่อความใกล้เกินไปมันทำให้อึดอัดเหมือนหายใจไม่คล่อง
“ฉันเอาบัตรประจำตัวให้พวกมันตรวจสอบดู และบอกว่าเธอลืมพกมา”
เพียงขนตาแพยาวกระพริบช้าๆขณะฟังเขากลับมีผลต่อการเต้นของหัวใจ ริมฝีปากหยักเกือบเผลอยิ้มให้ ดีที่ไหวตัวได้ทัน
“เอาล่ะ พวกมันมาแล้วเนียนๆด้วย”
“ค่ะๆ”
“เห้อ ร้อนชะมัด ที่รักร้อนมั้ยฮื้ม” ร่างใหญ่ขยับเข้าใกล้หล่อน วงแขนล่ำเบียดสีข้าง เอียงศีรษะคลอเคลียใบหน้าเรียวสวย
“ร้อนค่ะ” เธอส่งยิ้มละมุนให้ คนแนะนำเล่นละครตบตานั้นกลายเป็นแข็งทื่อและไม่เนียนเสียเอง
บ้าจริง
..ทำไมใจต้องเต้นแรงด้วย?!
มือใหญ่เอื้อมไปลูบพวงแก้มนิ่มก่อนเกลี่ยปอยผมทัดใบหู
“ทนหน่อยนะ”
เสียงแตรรถลูอิสดังลากยาวเรียกความสนใจต่อทุกสายตา ลูกน้องช่างเหมือนเจ้านายเสียเหลือเกิน เขาค่อนขอดและรู้สึกหงุดหงิดในใจ
“ หยุดๆ นี่เจ้านายฉัน!!” บอดี้การ์ดร่างใหญ่กระโจนเข้ามายืนขวางหน้ารถอย่างตื่นตูม
“เฮ้ ไอ้ลูอิส มึงโอเว่อร์ไปนะ” เจ้านายหนุ่มเดินลงรถเข้ามาตบบ่ามือขวาด้วยสีหน้าตำหนิ “มึงเป็นเชี่ยอะไร? พวกมันยังไม่ได้ทำอะไรกูเลย”
“ก็ผมโทรติดต่อมาทางด่านนี่ยากมากต้องรีบขับรถมาหาเจ้านายเกือบจะแหกโค้งไปหลายรอบแล้วเนี่ย” ลูอิสอธิบายแบบไม่พักหายใจ
“เจ้านายผมอยากคุยกับคุณ”
เมื่อหัวหน้าด่านดักสังหารเดินเข้ามาเอ่ยแทรกทั้งสอง
ทั้งเจ้านายและลูกน้องต่างมองหน้ากันโดยไม่ได้เอ่ยคำใดๆ ส่วนซารีนยังคงนั่งในรถมองพวกเขาตาปริบ
“ออ ถึงว่าล่ะ ที่แท้ก็ช่วยสาวสวยสิน้า” ลูอิสแซวเจ้านายเมื่อหันไปมองหญิงสาวบนรถ
“แอ้ ..อุแว้ ..”
พอดีกับที่เสียงทารกร้องดังจ้า
“ชู่วว เงียบๆลูก”
“กูไปล่ะ”
ลูอิสปล่อยให้เจ้านายเดินนำไปก่อน ส่วนตัวเขายืนค้างนิ่ง สมองประมวลผลเงียบๆคนเดียว รู้สึกได้กลิ่นทะแม่งบางอย่างเกี่ยวกับเจ้านายในการปฏิบัติกับหญิงแม่ลูกอ่อนคนนี้
“ไม่หรอกมั้ง?”
..อาจจะแค่ช่วยเหลือเพราะสงสารนั่นแหละน่า
.................
‘เมแกน คุณมาทำอะไร?’
“ผมมาชมผลงานการอาวุธตัวท๊อปของดาร์ก และมาพาเมียน้อยไปหลบภัยทางตอนเหนือของซุนดาลี ออ อย่าถามนะว่าเมียคนที่เท่าไหร่ เพราะไม่ได้นับ”
เขายักไหล่อธิบายด้วยท่าทางและสีหน้าแสนสบายผ่านหน้าจอทันสมัยคุยกับหัวหน้าใหญ่ของกลุ่มก่อการร้ายในซุนดาลี ฝั่งนั้นก็ยังคงใช้ความมืดปกปิดตัวตนดังเดิม แม้ฟรังค์โกเคยได้เจรจาและเห็นหน้าค่าตาแล้ว แต่ใช่ว่าหัวหน้าใหญ่จะเปิดเผยใบหน้าออกไปพร่ำเพรื่อ เหล่าลูกน้องบริวารมากกว่าครึ่งก็ยังไม่เคยเจอเลยด้วยซ้ำ
‘ผู้หญิงคนนั้นเป็นคนซุนดาลี?’
“แน่นอนมาเที่ยวที่นี่บ่อยจนได้เมียหลายคนแล้วเนี่ย แต่ที่ผมห่วงใยเธอคนนี้เป็นพิเศษก็เพราะเธอดันหอบเลือดเนื้อเชื้อไขผมวิ่งหลบกระสุนและระเบิดอยู่นี่สิ หวังว่าคุณคงไม่คิดจะกำจัดผู้หญิงและลูกของผมหรอกนะ”
“.....” ฝั่งนั้นเงียบ เหมือนกำลังครุ่นคิด
“เว้นนางบำเรอผมไว้สักคน”
....?
“ได้สิ เมแกน เรื่องเล็กน้อยเองถ้าเทียบกับสินค้าคุณภาพของคุณ” หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ที่สุดฝั่งนั้นก็ให้คำตอบเป็นที่น่าพอใจ
“ขอบคุณครับ”
เมื่อสามารถผ่านด่านสังหารได้สำเร็จ มาเฟียหนุ่มลอบยิ้มขณะแอบมองหญิงสาวเป็นระยะ เธอนั่งหลับตาปี๋ขณะขับรถผ่านคนกลุ่มนั้นที่กำลังยืนเรียงแถวตอนคล้ายต้อนรับอย่างนอบน้อมขัดกับกับปืนที่พวกมันถือในมือ เมื่อเลยด่านมาแล้วเปลือกตาค่อยๆหรี่มองจนแน่ใจจึงเบิกกว้างนั่งมองวิวข้างทาง นี่คงเป็นจุดเดียวที่ยังคงเหลือความเขียวขจี
ขอยกให้วันนี้เป็นวันที่ขับรถเพลินตาที่สุดในการมาซุนดาลี
ไม่รู้สึกหงุดหงิดหรือเสียเวลาที่ได้ช่วย กลับมีความสุขไปพร้อมกับความเร็วรถที่ขับช้าผิดวิสัยจนลูอิสที่ขับตามหลังอยู่ต้องแตะเบรคตลอดจนงง?
....ปกติคือเป็นโจร แต่เพิ่งรู้สึกเหมือนว่าตัวเองเป็นพระเอกขี่ม้าขาว
....ลูกเมียใครวะ? ทำไมถึงได้ปล่อยให้ตกระกำลำบากขนาดนี้
....ภาวนาให้เธอเป็นหม้ายเถอะ