“ขอบคุณค่ะ ที่ร้านของเรานอกจากมีบุฟเฟต์อาหารไทย แล้วก็มีขนมไทยขายด้วยค่ะ พริมก็เลยอยากให้ร้านเป็นเหมือนสถานที่ที่เข้ามาดื่มน้ำหรือกินขนม และมานั่งพักผ่อนได้ด้วย” เธอตอบอย่างภาคภูมิใจในร้านของตนเอง
“ว่าแต่คุณพริมสอนทำอาหารด้วยเหรอคะ? เนี่ย พี่ชายของริษาคะยั้นคะยอให้ริษามาสมัครเรียนให้ได้หลังจากไปเสิร์ชหาข้อมูล” แล้วหันไปทำหน้างอใส่คนเป็นพี่
“ก็ดีแล้ว เรียนรู้งานบ้านงานเรือนซะบ้าง ไม่อย่างนั้น แต่งงานออกไปก็ทำอะไรไม่เป็นเลย แม้แต่ทอดไข่”
ภาวัตแซวน้องสาว แม้จะรู้ดีว่าสมัยนี้ผู้หญิงไม่จำเป็นต้องเก่งงานบ้านเท่าสมัยก่อน แต่ด้วยความเป็นห่วงจึงอยากให้ริษามีความรู้ติดตัวเพื่อดูแลตนเองบ้าง อย่างน้อยๆ มีความสามารถด้านการหาเงินแล้วก็ต้องมีความสามารถด้านครัวเรือนสักนิดก็ยังดี
“ค่า ก็ได้ค่ะพี่ชาย แต่ต้องรับปากนะคะว่า ถ้าริษาเรียนแล้ว พี่ภีมจะไม่บังคับให้ริษาเข้าบริษัท เพราะริษาอยากเปิดร้านเสื้อผ้าของตัวเอง” คนเป็นน้องพูดด้วยสายตามีความหวังขึ้นทันที
“อันนี้ไปคุยกับคุณพ่อเอง” เขาพูดด้วยสายตาดุทันทีเมื่อเห็นว่าคนเป็นน้องเริ่มทำท่าจะต่อรอง
“เอ่อ จริงๆ แล้วที่พริมสอนส่วนใหญ่จะเป็นเมนูหาทานยาก แล้วพวกขนมไทยหาทานยากก็เป็นเมนูที่สามารถนำไปต่อยอดสร้างรายได้ คนมาเรียนจึงมักเป็นคนที่อยากเปิดร้านอาหาร หรือร้านขนมทั้งนั้นเลยค่ะ”
พริมพิกาพยายามปฏิเสธแบบอ้อมๆ ด้วยคิดว่า หากน้องสาวเขารู้ว่ายากอาจจะเปลี่ยนใจ ใช่ว่าไม่ชอบริษา แต่แค่ไม่อยากมีเรื่องให้ต้องพัวพันกับภาวัตต่างหาก เธอขอรู้จักเขาห่างๆ ก็พอ
“ทำไมล่ะ พูดแบบนี้จะบอกว่าคอร์สของคุณไม่เหมาะกับน้องสาวผมงั้นเหรอ? ยากเกินกว่าที่ยัยริษาจะเรียนใช่ไหม?” ภาวัตรู้ทันคนตรงหน้าจึงรีบพูดดักคอทันที
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ พริมแค่บอกเฉยๆ ค่ะว่า ถ้าคุณริษาไม่ได้ชอบทำอาหาร แต่อยากหัดเอาไว้บ้าง อาจจะเรียนตามยูทูบ หรือว่าหาข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตได้โดยไม่ต้องเสียเวลามาเรียนจริงจังค่ะ” พริมพิการีบพูดทันที เพราะอยากรักษาน้ำใจของริษา
“เกรงว่าริษาจะไม่ถนัดค่ะ ริษาเป็นพวกสมาธิสั้น ถ้าต้องอ่านอะไรเองมีหวังหลับแน่ๆ ค่ะ” ริษาพูดปนหัวเราะ เพราะรู้ดีว่าตนเองไม่สามารถทำแบบนั้นได้แน่นอน
“แล้วปกติ คุณสอนนักเรียนวันไหนบ้าง?” ภาวัตเอ่ยถามพร้อมกับจ้องหน้าพริมพิกาไม่วางตา เธอยังงดงามสำหรับเขาไม่เคยเปลี่ยน แม้ว่าเจ้าตัวจะผอมบางลงไปมาก แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ดูทรุดโทรมแต่อย่างใด
“ปกติก็สอนจันทร์ พุธ ศุกร์ค่ะ สัปดาห์ละสามวัน” พริมพิกาตอบออกไป พร้อมกับลุ้นในใจว่า เขาคงอยากให้น้องสาวได้เรียนทุกวันเพื่อจะทำอาหารเป็นเร็วๆ
“งั้นก็ดีเลย ยัยริษาจะได้มีเวลาไปทำร้านเสื้อผ้าอะไรด้วย ผมตกลงให้น้องสาวผมเรียนกับคุณ” ภาวัตตัดสินใจอย่างรวดเร็วโดยไม่เว้นช่องว่างให้ริษาได้พูดอะไร
“แต่คุณริษาจะอยากเรียนเหรอคะ? งานคุณริษาก็น่าจะเยอะพอตัว ถ้าต้องมาเรียนอีกอาจจะเหนื่อยได้นะคะ” พริมพิการู้ดีว่าตอนนี้ตนเองเป็นเหมือนคนที่กำลังจะปฏิเสธนักเรียน แต่ทำอย่างไรได้ เธอกลัวการได้ใกล้ชิดชายหนุ่มอีกครั้ง
“ริษาไม่มีปัญหาอะไรค่ะ ตอนแรก ริษาก็คิดว่าต้องเรียนทุกวันเลยงอแง แต่ถ้าเรียนแค่สามวันแบบนี้ ริษาโอเคเลยค่ะ”
ริษาหันไปยิ้มให้ภาวัต จริงๆ แล้วไม่ว่าจะเรียนกี่วันก็ไม่อยากเรียนทั้งนั้น แต่พอดูสายตาของพี่ชายแล้วท่าทางจะไม่ได้มีเป้าหมายอยากให้น้องสาวเป็นกุลสตรีอย่างเดียว คงอยากจะมาเจอครูแสนสวยที่นี่เสียมากกว่า เธอจึงยอมเรียนเพื่อช่วยให้สมหวัง
“เอ่อ ถ้าอย่างนั้นเอาแบบนี้ดีไหมคะ คุณริษาสามารถเรียนออนไลน์ได้ เพราะพริมก็มีคอร์สสอนออนไลน์เหมือนกัน คุณริษาจะได้มีเวลาไปทุ่มเทกับธุรกิจแบบสบายๆ” พริมพิกายิ้มหวานให้กับริษา พร้อมกับขอโทษอีกฝ่ายในใจ
“ไม่ดีกว่า ริษาเป็นคนขี้เกียจ ถ้าไม่มีครูคอยสอนคงไม่ตั้งใจเรียน” ภาวัตพูดพร้อมกับหันไปมองหน้าน้องสาวที่แอบทำจมูกย่นใส่เขา
“จริงค่ะคุณพริม ริษาไม่ชอบเรียนออนไลน์เลย ไม่ต้องห่วงนะคะ ริษาสะดวกมาเรียนที่นี่ค่ะ” รีบพูดเพื่อช่วยเหลือคนเป็นพี่ทันที ยิ่งพริมพิกาพยายามปฏิเสธเท่าไร ภาวัตก็ทำท่ารุกหนักมากเท่านั้น นั่นยิ่งทำให้มั่นใจว่าพี่ชายตนเองสนใจครูสาวเข้าให้แล้ว
“ถ้าอย่างนั้นก็ได้ค่ะ” พริมพิกาหมดหนทางจะต่อสู้กับสองพี่น้องที่เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย และหากเธอเลือกที่จะปฏิเสธอีก มีหวังชื่อเสียงที่สร้างมานานได้เสียหายแน่ๆ
“ผมจะเป็นคนมาส่งน้องสาวผมเอง” เจ้าของร่างสูงสมาร์ทพูดออกไปเสียงเรียบพร้อมจ้องคุณครูคนสวยไม่วางตา
“ได้ค่ะ”
พริมพิกามองว่าไม่ใช่ปัญหาอะไรหากภาวัตแค่มาส่งริษา ส่วนเธอก็ทำหน้าที่อยู่ในครัว คงไม่ได้พบเจอกันบ่อย และนั่นย่อมดีสำหรับหัวใจดวงน้อยของตนเอง
“และผมก็จะนั่งรอจนกว่าริษาจะเรียนเสร็จด้วย”
สิ้นเสียงทุ้มที่ฟังดูราบเรียบเหมือนไม่สลักสำคัญอะไร ไม่ใช่แค่พริมพิกาที่มองอย่างอึ้งๆ ริษาเองก็อึ้งกับคำพูดของพี่ชายเช่นกัน เพราะเป็นที่รู้กันว่าคนอย่างภาวัตหวงเวลาเป็นที่สุด การที่ยอมมาเฝ้าน้องสาวเรียนแบบนี้ต้องเป็นเรื่องไม่ธรรมดาแน่ๆ
“เอางี้เลยเหรอพี่ภีม?” ริษากระซิบพี่ชายอย่างรู้ทัน แต่ภาวัตทำทีเหมือนไม่มีอะไรผ่านเข้าหูมา ยังคงวางสีหน้าเป็นปกติ
“ถ้าคุณภีมไม่เบื่อเสียก่อนก็ได้ค่ะ” พริมพิกาอดพูดจาค่อนขอดชายหนุ่มไม่ได้ ซึ่งเขาเองก็ยังคงวางสีหน้าเรียบเฉยเช่นเคย
“คุณแม่ขา…” เสียงของแพรวาดังมาแต่ไกล เด็กน้อยเดินมาหาผู้เป็นมารดาพร้อมกับถือจานใส่ขนมมาด้วย
“ออกมาทำอะไรลูก แม่บอกให้อยู่ข้างในไงคะ” พริมพิกาใจหายวาบ สีหน้าซีดเผือดลงอย่างคนตกใจหนักแล้วเผลอหันมาดุลูกสาวทันที ก่อนจะพยายามตั้งสติระงับอาการของตนแล้วหันกลับไปมองภาวัตที่จ้องหน้าแพรวาด้วยความสงสัย
“เห็นพี่น้ำค้างบอกว่าคุณแม่มีนักเรียนใหม่หนูเลยเอาขนมหันตรามาให้พี่ๆ ลองชิมค่ะ”
พูดจบ แพรวาหันไปยื่นขนมหันตราของโปรดตนเองให้กับริษาและภาวัตทันทีพร้อมยิ้มกว้างอย่างไร้เดียงสา
“ขอบคุณนะคะ” ริษามองหน้าแพรวาด้วยความเอ็นดู อดคิดไม่ได้ว่าครูคนสวยมีลูกเสียแล้ว พี่ชายของเธอคงต้องกินแห้วแน่ๆ
“ขอบคุณนะครับหนูน้อย น่ารักแล้วยังใจดีอีก”
ภาวัตรู้สึกถูกชะตากับแม่หนูร่างอวบอย่างมาก เขาหยิบขนมหันตราขึ้นมาชิมพร้อมกับมองหน้าแพรวาสลับกับพริมพิกา แล้วรู้สึกคุ้นเคยกับเด็กหญิงตรงหน้าอย่างบอกไม่ถูก
“คุณลุงชอบกินหันตราเหมือนหนูเลยค่ะ” เด็กน้อยพูดออกมาเสียงเจื้อยแจ้วเมื่อเห็นว่า ‘คุณลุง’ เลือกหยิบหันตรากินเหมือนกับเธอไม่มีผิด
ภาวัตเองก็อึ้งไปไม่น้อย เขาไปเมืองนอกมาหลายปี ไม่ได้กินขนมโปรดชนิดนี้มานานแล้ว ไม่คิดว่าวันนี้จะได้ชิมโดยบังเอิญ แถมแม่หนูยังชื่นชอบขนมนี้เหมือนตนเองอีก ทั้งที่ไม่น่าจเป็นขนมที่เด็กวัยเท่านี้จะนิยมกินกัน