ตอนที่4.คืนกลับรังนอน
“จากนี้ไป แม่จะไม่ตามใจแกอีกแล้ว” นั่นเป็นคำขาดของมารดา หลังปล่อยให้ฉันสบายใจเกือบสามวัน ไม่มีคำพูดระคายหู ไม่มีคำด่าทอที่ทำให้ฉันเสียน้ำตา นายแม่บัวงามเป็นคนแข็ง แต่ก็ยังมีความเป็นแม่ที่ห่วงครอบครัวสุดใจ
“พอเถอะคุณ” บิดาฉันปรามเสียงอ่อยๆ
แม่ฉันตวัดตามองท่าน พร้อมกับแสยะยิ้ม
“เขต จัดการแทนแม่ทีนะ ในเมื่อพวกเขาอยากตัดขาดกับยัยเขมนัก ก็อย่าให้เหลือเยื่อใย” เสียงแม่กระด้าง ฉันจับความรู้สึกเจ็บปวดของท่านได้ ใต้ใบหน้าเฉยชานั่น นายแม่บัวงามกำลังร่ำไห้ และเป็นเพราะฉัน ฉันทำให้บุพการีอับอาย
ฉันถูกสามีเฉดหัวทิ้ง เพราะเขาต้องการปลูกต้นรักต้นใหม่กับผู้หญิงอีกคน
“ครับ” ฉันหลุบเปลือกตาลง ไม่อยากรับรู้อะไรอีก
ฉันตัดสินใจไม่ได้ มีเรื่องบางอย่างที่ค้างคาในใจ แต่เพราะสีหน้าเป็นเดือดเป็นแค้นของคนในครอบครัว ฉันเลยเลือกที่จะหุบปาก ฉันคงต้องทบทวนซ้ำ ฉันต้องการเลิกรากับนวิน แบบนี้จริงๆ ใช่ไหม?
ฉันกลับมาที่บ้านหลังเดิม บ้านที่ฉันเกิดและเติบโตที่นี่ ฉันเรียกบ้านว่าบ้าน แต่คนภายนอกเรียก ‘คฤหาสน์’ ตัวตึกหลังใหญ่สีขาวนวล ตั้งตระหง่านอยู่บนเนื้อที่กว่าสามไร่ กลางใจเมืองหรือย่านธุรกิจที่ราคาที่ดินต่อตารางวาเกินแสนบาท
“ลืมตาสักที เฮียรู้นะว่าเรายังไม่ได้หลับ” พื้นที่นอนยุบวาบเพราะน้ำหนักตัวของพี่ชาย ฉันปรือเปลือกตายิ้มกร่อยๆ ให้
“เฮีย เขม” ฉันไม่ได้อยากแก้ตัว แต่เรื่องที่เกิดขึ้นมันก็หนักหนาสาหัสเกินว่าคนที่รักฉันจะยอมยกโทษให้
“ไม่ต้องพูด ตอบเฮียมาก่อน สรุปจะเลิกกับหมอนั่นจริงๆ ใช่มั้ย!!” เสียงของพี่ชายเข้มขึ้น เรื่องของฉันกับนวินไม่ใช่ความลับ ทุกคนในครอบครัวคัมภีรดารับรู้หมด มีแค่คนของขรินทร์ทิพย์ที่ยังไม่รู้ คนพวกนั่นคิดว่าฉันเป็นแค่เด็กสาวกำพร้า ไม่มีหัวนอนปลายเท้า และยากจน
ฉันบีบมือจนเริ่มเจ็บ “เขา...” ฉันไม่มีข้อแก้ตัว ไม่ใช่ฉันที่อยากตีจาก แต่เป็นเพราะนวินต้องการแยกทาง ทะเบียนสมรสนั่นเลยกลายเป็นโซ่ตรวนที่เหนี่ยวรั้งเขาไว้
“ไอ้เวรนั่นมันดีอะไรดีหะ!! แค่ลูกแหง่ที่ต้องทำตามคำสั่งแม่ไปวันๆ เท่านั้น” เขตคามสบถ แล้วก็ดูแคลนนวินเป็นชุด น้องสาวที่คนทั้งตระกูลเฝ้าถนอม ถูกดูแคลนเหมือนคนไม่มีค่า คนพวกนั้นมีตาหามีแววไม่
“วินเขาเคยนิสัยดีกว่านี้ค่ะ เขมผิดเองที่ไม่ได้สังเกตความเปลี่ยนแปลงของเขา เขมไม่คิดเหมือนกันค่ะว่าเราสองคนจะเดินมาถึงจุดนี้ได้”
เกือบครึ่งปีที่ฉันมีความสุขล้นอก
ความรักที่นวินมอบให้ ไม่ได้น้อยไปกว่าที่ฉันมอบให้เขา
กว่าฉันจะรู้ตัวว่าตนเองกำลังจะถูกผลักไส มันก็สายเกินกว่าจะย้อนกลับไปที่เดิม นวินไม่เพียงแค่ทรยศฉันเท่านั้น เขาสวมเขาให้ฉันโดยที่ฉันไม่เคยระแคะระคายอะไรเลย
“ผู้ชายเห็นแก่ได้คนนั้น เฮียไม่แปลกใจเลย” เขตคามพึมพำ
“เฮียรู้อะไรมาเหรอคะ?” ฉันอดเป็นห่วงไม่ได้ ท่าทางของ นวินเองก็ลำบากใจไม่น้อย ฉันน่าจะเอะใจตอนได้ยินคำพูดแปลกๆ ของเขาช่วงหลังๆ
“เหมือนบริษัทไอ้หมอนั่นจะขาดสภาพคล่องทางการเงินนะ” แวดวงธุรกิจมันแคบหากอยากรู้ เขตคามก็มีความสามารถมากพอที่จะรู้เรื่องลึกๆ ของผู้ชายของน้องสาว
ฉันขมวดคิ้ว เท่าที่รู้ ธุรกิจของนวินไม่ได้ซับซ้อนอะไรเลย บริษัทที่เขารับช่วงต่อจากบิดา เป็นบริษัทเกี่ยวกับอาหารสำเร็จรูปที่ค่อนข้างมีชื่อติดตลาด ฉันมองไม่เห็นปัญหาสักทาง กิจการของเขาอยู่ตัวแล้วไม่ใช่เหรอ
“คนโง่ที่พยายามแสดงตัวว่าตัวเองฉลาด มักตกเป็นเหยื่อเสมอแหละ” เขตคามเปรยต่อ เขาเองก็แอบเสียดาย กิจการที่ค่อนข้างมั่นคง จะมาอับปางเพราะความจองหองของใครบางคน
“คุณแม่ของวินเหรอคะ”
“จะมีใครละ หมอนั่นมันกล้าหือกับแม่ตัวเองเมื่อไหร่ มีของดีอยู่ในมือแท้ๆ ยังปล่อยให้หลุดมือไปจนได้”
“ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้หวังดีกับครอบครัววินเหรอคะ?”
เขตคามมองสบตาน้องสาว “ที่ถามน่ะ เป็นห่วงหมอนั่นหรือไง?”
ฉันส่ายหน้า “ไม่ใช่แบบนั้นค่ะ เขม”
“อย่าไปห่วงเลย ยังไงซะสองคนนั่นก็เป็นผัวเมีย ผู้หญิงคนนั้นคงไม่สูบจนไอ้หมอนั่นหมดตัวหรอก”
ฉันก้มหน้ามองมือตัวเอง “เฮีย...” ฉันเม้มปาก ไม่กล้าพูดต่อ
เขตคามถอนใจแรงๆ “เราน่ะ ลองคิดดีๆ ไม่ใช่ตัวคนเดียวแล้วนะ คิดให้มากๆ แก้วที่แตกไปแล้ว ต่อให้ประกอบใหม่มันก็ยังมีรอยร้าวอยู่ดี”
ฉันขมวดคิ้ว คิดตามคำพูดของพี่ชาย คำพูดนั่นทำให้ฉันสะดุดใจ มันมีความในแฝงอยู่แน่ๆ
“เฮียหมายความว่าไงคะ!!” ฉันถามพี่ชายเสียงแหบ
เขตคามยกมือเสยลูกผมบนหน้าผาก แล้วก็บ่นพึมพำ “ทำไมมึงปากพล่อยอย่างนี้วะไอ้เขต!!”
“เฮีย บอกเขมสิ เฮียหมายความว่าไงคะ” ฉันถามเสียงละล่ำละลัก
“เขม ฟังเฮียนะ” เขตคามหย่อนตัวนั่ง รั้งน้องสาวมากอดไว้หลวมๆ “หลานคนเดียว พวกเราเลี้ยงได้ ปล่อยพ่อปัญญาอ่อนแบบไอ้นั่นไปเถอะ เฮียจะเป็นลุงเป็นพ่อให้หลานเอง”
ฉันตัวแข็งทื่อ ยกมือวางที่เนินหน้าท้อง น้ำตาที่แห้งเหือดไปแล้วไหลเอ่อออกมาอีกครั้ง
“เห้!! จะร้องทำไม มันเป็นเรื่องที่น่ายินดีไม่ใช่เหรอเขม” พี่ชายฉันท้วงเสียงหลง
ฉันใช้หลังมือปาดคราบน้ำตา แล้วก็ตอบเสียงกระท่อนกระแท่น “ใช่เฮีย เรื่องดีๆ เขมไม่ได้ร้องเพราะเสียใจ เขมดีใจค่ะเฮีย” เด็กคือผ้าขาว เขาไม่ได้รู้เรื่องความขัดแย้งของผู้ใหญ่สักหน่อย การมีเขาคือเรื่องที่น่ายินดีที่สุด
“สรุปเรื่องของไอ้หมอนั่น ให้เฮียจัดการใช่มั้ย” เขตคามพูดเสียงเข้ม
ฉันส่ายหน้า “เขมจัดการวินเองได้ค่ะเฮีย”
พี่ชายฉันถอนใจแรงๆ “ตามใจ” ฉันรู้ว่าพี่ชายเป็นห่วง แต่ฉันไม่ใช่คนใจอ่อนที่ลืมอะไรง่ายๆ ระหว่างฉันกับเขา แม้ไม่ได้มีเรื่องดีๆ เยอะนัก แต่ก็ใช่ว่าไม่มีเลย ฉันเคยถามตัวเองหลายครั้ง หากวันหนึ่งฉันไม่มีเขา ฉันจะใช้ชีวิตต่อไปยังไง คำตอบที่ฉันได้รับหลังถามตัวเองก็ไม่ได้เกินความคาดหมาย สมัยที่รักกันดี นวินเองก็ใช่ว่าจะมาอยู่กับฉันถาวรเสียหน่อย เขายังคงเป็นบุตรชายที่อยู่ในโอวาสของคุณนายฉายรวี หลายครั้งที่เขาทำให้ฉันเสียใจเพราะคำสั่งของมารดา และฉันก็ยอมให้อภัยเพราะเห็นใจเขา ซึ่งตอนนี้มาย้อนนึกดีๆ เป็นฉันนั่นแหละ ที่ทำให้เขาเคยตัว
ฉันยอมให้เขามากเกินไป
ยอมให้มารดาของเขาบงการการใช้ชีวิตของเขา จนนวินแทบไม่เป็นตัวเอง
เขาเป็นเหมือนที่พี่ชายฉันกระแหนะกระแหนไม่มีผิด นวินอ่อนแอและปล่อยให้มารดาจูงจมูก จนกระทั่งผลลัพธ์ที่ได้ ไม่ต่างอะไรกับที่พี่ชายฉันเคยปรามาส
“หย่าซะให้มันจบๆ ไป”
“ค่ะ”
“ไม่ต้องบอกมัน เรื่องที่เราท้องนะยัยเขม เดี๋ยวมันจะยุ่ง”
“ค่ะ” ฉันไม่เคยคิดเอา ‘ลูก’ มารั้งเขาไว้เลย
คงเพราะผู้หญิงคนใหม่ของเขาก็กำลังท้องอยู่เช่นกัน ฉันเห็นใจฝ่ายนั้น แม้ผู้หญิงคนนั้นจะไม่เคยนึกถึงฉันเลย ผู้หญิงคนนั้นแทรกเข้ามาในชีวิตของเขา ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจดี ฉันผ่อนลมหายใจยาวๆ “เขมหิวจังเฮีย” แล้วก็เปรยลอยๆ
พี่ชายฉันลุกพรวด “มีใครอยู่ไหม ไปบอกห้องครัวให้ทำอาหารอ่อนๆ มาให้ยัยเขมกินที”
พี่ชายพูดยังไม่ทันจบ คุณนายบัวงามก็วิ่งหน้าตั้งเข้ามา “หิวแล้วเหรอลูก”
ฉันยิ้มกร่อยๆ พยายามจะไม่ให้น้ำตาหยดออกมาอีก แม่ฉันคงกำลังร้อนใจ “ให้ลูกได้กินรองท้องก่อน เดี๋ยวค่อยถามนะคุณ” พ่อฉันเดินตามมาติดๆ เสียงปรามของท่านทำให้แม่ฉันหุบปากฉับ แล้วก็หันไปตวัดค้อนให้สามี
“คุณน่ะ”
พ่อฉันหัวเราะในลำคอ เดินไปลากเก้าอี้มาตั้งใกล้ขอบเตียง ยื่นมือมาลูบผมบนศีรษะฉันเบาๆ ฉันน้ำตารื้น ฝืนยิ้มกร่อยๆ ให้ “พ่อเคยบอกแล้วใช่ไหมเขม ไม่ไหวให้กลับบ้าน ลูกไม่ใช่ตัวคนเดียวบนโลกนะ ลูกยังมีพวกเรารออยู่”