Chapter 2
พี่เลี้ยงจำเป็น (4)
วาดจันทร์สำรวจความเรียบร้อยของเสื้อผ้าหลังจากทำธุระส่วนตัวเสร็จ หล่อนมองหน้าตัวเองในกระจกเงาหลังจากส่องครั้งสุดท้ายคือตอนเช้า หน้าตนเริ่มจะหมองคล้ำเพราะมัววุ่นอยู่กับการเลี้ยงหลานจนไม่มีเวลาดูแลตัวเอง...แป้งฝุ่นที่วางอยู่บนชั้นหน้ากระจกถูกหยิบมาเทลงบนฝ่ามือ ค่อยๆ ทาลงบนใบหน้าเพื่อกลบเกลื่อนความมันให้จางหายไป
เป็นเวลาเกือบเที่ยงแล้วแต่หล่อนยังขลุกอยู่บ้านมารดา เพราะสองฝาแฝดหลับเลยไม่อยากเคลื่อนย้ายด้วยกลัวจะตื่น...จนเมื่อหลานตื่นคนเป็นพ่อจึงชวนกลับ หล่อนจึงเดินเลี่ยงมาเข้าห้องน้ำ โดยทุกอิริยาบถนั้นถูกจับจ้องมองด้วยความอยากรู้อยากเห็นโดยที่หล่อนไม่ทันระวังตัว
"คุณ!"
หญิงสาวตกใจแววตาตื่นตระหนก เมื่อออกมาจากห้องน้ำแล้วพบว่าคนที่แสนชิงชังมายืนขวางหน้าตนเอาไว้ไม่ยอมให้เดินไป
"จะกลับแล้วเหรอ ทำไมไม่อยู่กินข้าวเย็นด้วยกันล่ะ นานๆ ทีจะมาจะรีบกลับไปไหน"
วาดจันทร์ไม่ตอบ หล่อนพยายามแทรกกายเดินเบียดอีกฝ่ายไปจากตรงนี้ หากแต่ว่าเขากลับขยับมายืนขวาง...แววตากลมโตเหลือบมองพร้อมชักสีหน้าใส่ เสียงจิ๊จ๊ะอยู่ในลำคอสมเจตต์ได้ยินแต่ไม่อยากใส่ใจ
"ถอยไปค่ะ เดี๋ยวพี่แทนรอนาน"
สมเจตต์กระตุกยิ้ม หันไปมองข้างหลังให้แน่ใจว่าไม่มีใครเดินมา "ใบบัวไม่ได้มาที่นี่ พี่เขยเธอมันหน้าโง่ที่เชื่อเมียตัวเอง เมียสวมเขายังไม่รู้ตัว"
คนฟังตวัดมอง รู้สึกไม่ชอบใจในคำพูดเมื่อสักครู่ "เขาไม่ได้โง่ คนที่พยายามยื้อครอบครัวเอาไว้นี่เรียกว่าโง่เหรอคะ ถ้าคุณไม่มีอะไรจะพูดก็ไม่ต้องพูด จะให้ใบตองบอกแม่ไหมว่าลับหลังท่านคุณเป็นยังไง"
"แล้วคิดว่าแม่เธอจะเชื่อใครมากกว่ากัน ระหว่างผัวกับลูกสาวที่หลงพี่เขยจนหักปักหัวปำ คิดจะตีท้ายครัวพี่สาวตัวเอง"
"นี่คุณ!" คนฟังหน้าชา กับถ้อยคำที่ไม่ต่างจากสำรอกในความคิดตน
"ฉันพูดผิดไหม เธอรักผู้ชายคนนั้นอย่าคิดว่าทุกคนไม่รู้"
"ถ้าตัวเองยังไม่ดีพอ ก็อย่าริว่าคนอื่น มันน่าสมเพช!"
หล่อนแทรกกายเบียดไหล่กว้าง เมื่อเขาไม่ถอยจึงกระแทกแรงๆ โดยไม่จำเป็นต้องเหลือความเกรงใจ ที่จริงหล่อนไม่เคยเกรงใจเขานานแล้ว พ่อเลี้ยงที่แก่กว่าไม่กี่ปีท่าทีหื่นกามทำให้หล่อนเกลียดเขายิ่งกว่าไส้เดือนกิ้งกือ
"เดี๋ยวสิใบตอง"
การที่ข้อมือตนถูกคว้าเอาไว้ วาดจันทร์รู้สึกขยะแขยงอย่างเหลือแสน ฟางเส้นสุดท้ายขาดผึงฝ่ามือเล็กจึงตวัดลงบนซีกหน้าข้างซ้ายอีกฝ่ายเต็มแรง
"นี่ขนาดในบ้านของแม่ยังทำทุเรศขนาดนี้ ฉันไม่เคยเกลียดใครเท่าคุณ...คุณไม่ได้รักแม่จริงๆ แค่มาหลอกเกาะกินเท่านั้น"
สมเจตต์ลูบซีกหน้าที่อีกฝ่ายฝากรอยเจ็บ มืออีกข้างยังไม่ยอมละจากข้อมือวาดจันทร์…หญิงสาวกระตุกแรงๆ เพื่อให้หลุดพ้น แต่แรงของเขานั้นเยอะเหลือเกิน
"ปล่อยฉันนะ!"
"ใบตอง กลับหรือยัง"
วาดจันทร์อยากขอบคุณสวรรค์สักพันครั้ง เมื่อเสียงคุ้นหูดังแทรกขึ้นมาได้จังหวะอย่างทันท่วงที
หันไปมองก็เห็นตะวันวาดกำลังเดินตรงเข้ามาสมทบ จากที่เขาเดินมาดูเมื่อเห็นว่าหล่อนหายมานาน...สมเจตต์รีบปล่อยข้อมือเล็ก เมื่อเห็นแววตาคมกล้าปรายมองการกระทำของตนอย่างรู้ทัน
"ก็แค่ชวนใบตองอยู่กินข้าวเย็นด้วยกันน่ะครับ อย่าเข้าใจผิด"
ตะวันวาดไม่พูดอะไร เขาสบตาสมเจตต์อย่างรู้เช่นเห็นชาติ
กันดี...อันตรายเหลือเกินหากจะปล่อยสมันน้อยให้ร่วมบ้านกับเสือที่จ้องจะตะครุบเหยื่ออยู่ทุกนาทีเช่นนี้ ชายหนุ่มคิดพลางคว้ามือนุ่มมากอบกุม
"กลับบ้านได้แล้ว"
ชายหนุ่มจูงมือวาดจันทร์เดินหนีมาจากตรงนั้น โดยไม่คิดจะล่ำลาสมเจตต์แต่อย่างใด...การแสดงออกของตะวันวาดสื่อออกมาอย่างชัดเจนว่า ไม่ชอบพ่อเลี้ยงของภรรยาตนเป็นการส่วนตัว
ความอบอุ่นที่แผ่ซ่านทำให้พวงแก้มสาวร้อนผ่าว เขาคงไม่รู้ว่าแค่การจับมือแบบไม่คิดอะไรนั้น แต่มันทำให้คนที่คิดไม่ซื่อแสนปั่นป่วนอยู่ในหัวใจ...ความสุขเล็กๆ แผ่ซ่านเต็มตื้นอยู่ในอก แม้จะเป็นแค่ช่วงระยะเวลาสั้นๆ ที่เดินมาจากห้องน้ำถึงหน้าบ้านก็ตาม...
++++
"บ้าเอ๊ย!"
เสียงสบถกับตัวเองมาพร้อมเสียงทุบโต๊ะแรงๆ ด้วยความหงุดหงิดที่ได้รับข่าวไม่ดีแต่เช้า ตะวันวาดพยายามสูดลมหายใจให้ลึกที่สุดเพื่อตั้งสติก่อนเขาจะระเบิดอารมณ์มากไปกว่านี้...ชายหนุ่มทรุดกายลงนั่งบนเก้าอี้ที่โต๊ะทำงานอย่างอ่อนล้า ท้าวข้อศอกไว้บนโต๊ะแล้วก้มหน้าซุกซบลงบนสองมือที่ประสานกันเอาไว้ ปัญหามากมายที่รุมเร้าทำเอาเขาเดินเซจนเกือบจะล้ม ไม่รู้จะแก้ปมชีวิตเรื่องไหนก่อนดี
ตะวันวาด วิศวกรหนุ่มที่ผันตัวมาจับธุรกิจรับเหมาก่อสร้างด้วยมีทุนความรู้ด้านวิศวะโยธาที่ร่ำเรียนมา เขาร่วมหุ้นกับเพื่อนเปิดบริษัทเล็กๆ ขึ้นมาแข่งขันกับบริษัทใหญ่ๆ ในแวดวงที่มีอยู่ดาษดื่น แรกเริ่มทำทุกอย่างดูเหมือนจะไปได้สวยมีเงินกำไรเข้าบริษัทเป็นกอบเป็นกำ แต่...ความที่ยังใหม่ประสบการณ์น้อยนิดปัญหาที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นมาในระยะปีสองปีมานี้ ทำให้บริษัทเริ่มขาดทุนอย่างต่อเนื่อง มีหนี้หมุนเวียนในระบบอยู่มาก...ธุรกิจที่กำลังไปได้สวยต้องหยุดชะงักลง เมื่อสาเหตุใหญ่ที่ตามมาคือคนงานที่เริ่มลาออกไปทีละคนสองคน