บทที่ 2.1
แค่บุรุษหน้าหนาผู้หนึ่ง
พิธีแต่งเข้าจวนตระกูลจิ้งดำเนินไปอย่างรวดเร็ว จูเพ่ยหลินที่ถูกบังคับให้ลืมตาตั้งแต่ฟ้ามืด เพื่อแต่งหน้าประทินประโคมโฉม ก่อนจะแบกเครื่องแต่งกายอันหนักอึ้งเข้าพิธีแสนยุ่งยากร่วมครึ่งวัน ในตอนนี้แม้จะได้นั่งลงพักอย่างสงบ แต่นางก็รู้สึกปวดไปทั้งลำคอและบ่าเล็ก ใบหน้างดงามภายใต้ผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวไร้ความยินดี และยิ่งไม่มีความรู้สึกตื่นเต้นเช่นสตรีออกเรือนผู้อื่น ริมฝีปากบางสีชาดพ่นลมหายใจยาวอย่างเบื่อหน่าย วางมือลงบนบ่าเล็กบีบนวดให้ตัวเองเบาๆ
นับดูแล้วร่างกายนี้เพิ่มมีอายุเพียงแค่สิบเจ็ดปี เทียบกับยุคของนางยังถือว่าเป็นเพียงสตรีแรกแย้มวัยรุ่นผู้หนึ่ง เมื่อคิดถึงเรื่องนี้แล้วจูเพ่ยหลินก็ถอนหายใจอีกครั้งอย่างเสียดายช่วงวัยอันสดใสนี้ ยิ่งคิดถึงเหตุที่นางต้องทอดทิ้งช่วงชีวิตอันสดใสครั้งที่สองของตนในใจก็พาลนึกชังน้ำหน้าบุรุษด้านนอกขึ้นมา
จิ้งเจิ้งหลี่ ช่างเป็นบุรุษหน้าหนาที่น่ารังเกียจยิ่งนัก
ทว่ายามที่ย้อนคิดถึงวัฒนธรรมของคนในยุคนี้แล้วจูเพ่ยหลินก็ได้แต่นึกถอนใจอีกครั้ง สตรียุคนี้อายุสิบสองหมั้นหมาย สิบห้าแต่งออกเรือน ตัวนางสามารถซ่อนตัวตนหลบหลีกค่าวัฒนธรรมนี้อยู่หลังจวนตระกูลจูมาถึงสิบเจ็ดปีนับว่าโชคดีมากแล้ว
ทว่าหนีได้หนึ่งครั้งไม่อาจหลบได้ตลอดชีวิต ในเมื่อเรื่องราวเป็นเช่นนี้แล้วสิ่งที่จูเพ่ยหลินต้องทำในเวลานี้ก็คือ
ทำใจยอมรับ
หากแต่เมื่อนึกถึงเหตุการณ์นับต่อจากนี้ในใจของนางก็สั่นระรัวด้วยความหวาดหวั่น
เสร็จสิ้นพิธีส่งตัวเข้าหอ
คำพูดประโยคนี้ดังย้อนกลับเข้ามาในความคิด มือบางที่บีบนวดไหล่เล็กพลันชื้นเหงื่อขึ้นมา จิ้งเจิ้งหลี่เป็นบุรุษเลื่องชื่อในเรื่องภรรยา เพียงแค่คิดว่าก่อนหน้านางเขาแต่งฮูหยินมาแล้วถึงห้าคน ผ่านคืนเข้าหอมาแล้วห้าหนในใจของจูเพ่ยหลินรู้สึกหวาดกลัวอีกฝ่ายขึ้นมาในทันที อายุเพียงยี่สิบเจ็ดกลับมีภรรยาจนล้นจวน ย่อมเป็นบุรุษมักมากในกามรมย์โดยแท้จริง
หึ! คงใช้งานธาตุหยางจนมิได้หยุดพักเลยล่ะสิ ไม่แปลกเลยที่เขาจะไร้บุตรเช่นนี้
จูเพ่ยหลินนั่งรอบีบไหล่ด้วยความหวาดระแวงอยู่ร่วมหนึ่งชั่วยาม คนที่ควรมาก็ยังคงไม่มา ลำคอของนางที่แบกเครื่องประดับมากมายบนศีรษะเริ่มปวดตึงจนแทบประคองไม่ไหว ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่น พยายามนับหนึ่งถึงร้อยเพิ่มจนถึงพันเพื่อข่มกลั้นไม่ให้ตนเองปลดผ้าคลุมหน้าและถอดเครื่องประดับออกจากเส้นผม ด้วยกลัวว่าคนหน้าหนาจะตำหนิการกระทำของนางและพาลกระทบไปถึงตระกูลจู
บุรุษต่ำช้า ทำเช่นนี้คิดกลั่นแกล้งนางใช่หรือไม่
ร่วมสองชั่วยามในที่สุดประตูที่ควรเปิดก็เปิดออก จูเพ่ยหลินที่นั่งรอคนอย่างอดกลั้นมานานตวัดสายตามองผ่านผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวด้วยความขุ่นเคืองใจ
“อ่า... ฮูหยินหกของข้า”
น้ำเสียงและท่าทางของคนที่เดินเข้ามาทำให้เส้นความอดทนที่พยายามประคองไว้ของจูเพ่ยหลินขาดลงในทันที
“จิ้งเจิ้งหลี่ บุรุษบัดซบ”
เสียงหวานสบถเบาๆ เมื่อได้กลิ่นสุราชั้นดีลอยคละคลุ้มออกมาจากคนตัวสูง มือบางขยับยกหมายเปิดผ้าคลุมหน้าที่บดบังลานสายตาของตนเองออก ทว่ากลับช้ากว่ามือหนาของคนเมาที่เอื้อมมาจับชายผ้าคลุมน้ำเจ้าสาวพลิกตัวเปิดออกพร้อมกับทิ้งตัวลงบนเตียงนุ่มข้างกายนาง
จูเพ่ยหลินขบกรามแน่นมองคนตัวโตที่ยามนี่หลับสนิทเพราะฤทธิ์สุราแล้วได้แต่นึกหงุดหงิดใจ นอกจากจะมักมากในกามรมย์แล้ว บุรุษหน้าหนาผู้นี้ยังมัวเมาในสุราด้วยใช่หรือไม่
คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันแน่นนึกสงสัยอยู่ในทีว่าคนเช่นจิ้งเจิ้งหลี่ผู้นี้ใช้ความสามารถใดกันจึงก้าวขึ้นมาเป็นคหบดีอันดับหนึ่งแห่งซีอานได้อย่างมั่นคงถึงเพียงนี้ เพราะนอกจากใบหน้าที่โดดเด่นของเขาแล้วจูเพ่ยหลินก็มองไม่เห็นความสามารถอันใดของเขาอีกเลย
หึ...นายท่านจิ้งผู้โดดเด่นอะไรกัน ก็แค่บุรุษหน้าหนาผู้หนึ่งเท่านั้น
เมื่อเห็นว่าคนหน้าหนาหมดสติไปเพราะฤทธิ์สุราแล้ว จูเพ่ยหลินก็คลายความกังวลก่อนหน้าลง เดินไปที่หน้ากระจกเงาปลดเครื่องประดับและเสื้อผ้าที่รุ่มร่ามออกจากกาย
ช่วงนี้อากาศค่อนข้างร้อนแต่เพื่อรักษาหน้าตระกูลจูนางต้องสวมเสื้อผ้าหลายชั้นพวกนี้ไว้ทั้งวัน อีกทั้งยังต้องอดทนนั่งรอคนเมาสุราอยู่ในห้องที่อบอ้าวนี่อีกร่วมสองชั่วยามนึกแล้วก็โมโหนัก ยามที่ปลดเสื้อผ้าชั้นสุดท้ายออกจากกายมือเรียวก็รวมเส้นผมที่ยาวสยายม้วนขึ้น ให้สายลมพัดกระทบแผ่นหลังเปลือยคลายความร้อนบนผิวกาย
ดวงตาคมที่ปิดสนิทค่อยๆ ปรือตื่นมองแผ่นหลังของสตรีเจ้าเล่ห์แล้วขมวดคิ้วหนา ยามที่นางปลดชุดตัวนอกและปล่อยเส้นผมยาวสลวยของตนลงหัวใจของเขาก็พลันสั่นไหว ยิ่งยามที่บนเรือนร่างของนางเหลือเพียงกางเกงตัวบางและเอี๊ยมสีแดงเปลือยแผ่นหลัง ร่างกายของชายหนุ่มก็ร้อนลุ่มตื่นตัวขึ้นมา
อย่างไรเสียเขาก็เป็นบุรุษ แม้อีกฝ่ายจะเป็นสตรีที่ชวนให้โมโหทุกครั้งเมื่อได้เห็นหน้า แต่สิ่งหนึ่งที่เขาไม่อาจปฏิเสธก็คือ...
จูเพ่ยหลินผู้นี้นับเป็นสตรีใบหน้างดงาม และมีเรือนร่างเย้ายวนผู้หนึ่ง
.........................................................