บทที่ 4.2
มาเยือนเรือนฮูหยินใหญ่
“ฮวาเอ๋อร์ ไปหาฮูหยินใหญ่กัน”
“คุณหนู... เอ่อ... นายหญิงท่านจะไปทำไมเจ้าคะ ต่างคนต่างอยู่เช่นนี้ก็ดีแล้วนี่เจ้าคะ”
“ไปทำเรื่องสนุกๆ น่ะสิ”
เหลียนฮวาถอนหายใจยาว ตั้งแต่มาอยู่ที่สกุลจิ้งนายหญิงของนางก็ดูจะซุกซนเป็นพิเศษ คิดแล้วบ่าวเช่นนางช่างหวั่นใจยิ่งนัก หากแต่เมื่อนายหญิงต้องการบ่าวรับใช้เช่นนางจะทำสิ่งใดได้ สองเท้าก้าวตามนายหญิงมาอย่างว่าง่ายแม้ในใจจะนึกคัดค้านอยู่ก็ตามที เพียงไม่นานสองนายบ่าวจากเรือนหยกสวรรค์ก็มาเยือนเรือนคีตาสวรรค์รอยยิ้มบางผุดขึ้นที่ใบหน้าอ่อนเยาว์
“ฮูหยินหกมาขอเข้าพบฮูหยินใหญ่”
เหลียนฮวาแจ้งแก่คนเฝ้าประตูเรือนบ่าวชายวัยสี่สิบกว่าขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนเดินเข้าไปในเรือนเพื่อแจ้งความจำนงค์ของนายหญิงคนล่าสุด
คำบอกกล่าวของบ่าวหน้าเรือนสร้างความฉงนให้แก่ จิ้งลี่อินนายหญิงใหญ่ของบ้านเป็นอย่างยิ่ง สิบปีที่นางแต่งเข้ามาเป็นฮูหยินเอกของสกุลจิ้งแม้จิ้งเจิ้งหลี่จะมีภรรยาเพิ่มมาอีกสี่นางในภายหลัง แต่ไม่เคยมีใครย่างกรายมาที่เรือนคีตาสวรรค์ของนางเลย พวกนางล้วนต่างคนต่างอยู่ไม่ข้องเกี่ยวกัน หากแต่สตรีสกุลจูผู้นี้มาอยู่เพียงไม่นานก็มาขอพบนางเสียแล้วช่างน่าแปลกใจยิ่งนัก
“ให้นางเข้ามา”
เสียงแผ่วเบาแต่แฝงด้วยความหนักแน่นของจิ้งลี่อินเอ่ยออกไปบ่าวชาย ผู้ทำหน้าที่เป็นคนส่งสาส์นก็รีบออกไปแจ้งยังคนหน้าเรือนทันที
“ลู่หลินเตรียมน้ำชารับแขก”
“เจ้าค่ะ”
ลู่หลิน สาวใช้ข้างกายจิ้งลี่อินเองก็แปลกใจไม่น้อยที่อยู่ดีๆ ฮูหยินหกของนายท่านจิ้งก็มาขอพบนายหญิงของตน อีกฝ่ายคงไม่ได้มาหาเรื่องนายหญิงของตนใช่หรือไม่ ด้วยรู้ดีว่านิสัยอ่อนโยนจนเหมือนอ่อนแอของนายหญิงตนนั้นหากถูกรังแกคงไม่อาจปกป้องตนเองได้ ยิ่งเวลานี้นายท่านจิ้งไม่อยู่ที่เรือนยิ่งน่าเป็นห่วง หญิงสกุลจูคงรู้เช่นกันจึงได้เลือกมาเยือนเรือนคีตาสวรรค์เวลานี้
“ฮูหยินหกเชิญ”
หลังได้รับอนุญาตไม่นานร่างบอบบางอ่อนเยาว์ของจูเพ่ยหลินก็เข้ามาในเรือน จิ้งลี่อินเอ่ยชวนนางนั่งที่โต๊ะริมหน้าต่าง จูเพ่ยหลินจึงถือโอกาสสำรวจตัวเรือนของจิ้งลี่อิน น่าแปลกที่ลักษณะเรือนของผู้เป็นฮูหยินเอกนี้คล้ายคลึงกับเรือนของนางไม่มีผิด จะแตกต่างก็เพียงการจัดวางข้าวของด้านในเท่านั้น
ขณะที่จูเพ่ยหลินกวาดสายตาสำรวจตัวเรือนของจิ้งลี่อินนางก็ถูกสายตาของจิ้งลี่อินสำรวจกลับเช่นกัน จิ้งลี่อินมองดูร่างบอบบางตรงหน้าเครื่องหน้างดงามโดดเด่น ไม่แปลกใจเลยที่คืนเขาหอจิ้งเจิ้งหลี่จะอยู่ในเรือนของนางจนถึงเช้า
“เจ้ามาหาพี่ถึงเรือนมีเรื่องใดให้พี่ช่วยเหลือกัน”
จูเพ่ยหลินกลับมาสนใจคนตรงหน้า แววตาที่โศกเศร้าของจิ้งลี่อินทำให้นางรู้สึกสงสารขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ โดยปกติแล้วเมียเอกมักมีแววตาที่เด็ดขาดหรือไม่ก็ดุร้ายไม่ใช่หรือ แต่เหตุใดคนตรงหน้าจึงมีแววตาเศร้าหมอง อีกทั้งดูคล้ายมีเรื่องให้กังวลโดยตลอดหรือนายท่านจิ้งเจิ้งหลี่ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับฮูหยินใหญ่ผู้นี้เท่าที่ควร เช่นนั้นใครกันที่กุมอำนาจดูแลเรื่องใหญ่น้อยในตระกูลจิ้งรองจากเขา
“ไม่มีเจ้าค่ะเอ่อ... ฮูหยินใหญ่เจ้าคะข้า...”
จูเพ่ยหลินไม่รู้จะเรียกหญิงตรงหน้าเช่นไรดี ถ้าอย่างนั้นก็เรียกไปตามศักดิ์ก่อนก็แล้วกัน รอยยิ้มหวานส่งผ่านแววตาเศร้าหมองมองมาที่จูเพ่ยหลินอย่างนึกเอ็นดู เมื่อจับกระแสเสียงหวั่นใจในคำเรียกขานของนางได้
“เรียกข้าว่าพี่หญิงหรือพี่ลี่อินก็ได้”
รอยยิ้มสดใสส่งผ่านริมฝีปากบาง จูเพ่ยหลินรู้สึกถูกชะตากับหญิงตรงหน้าขึ้นมาหลายส่วน แม้คำกล่าวที่ว่าสตรีที่ใช้สามีร่วมกันไม่อาจญาติดีกันได้จะดังก้องในหัวก็ตาม
“เจ้าค่ะพี่ลี่อิน”
“ว่าแต่เจ้ามาหาพี่ถึงเรือนไม่มีเรื่องอะไรให้พี่ช่วยจริงหรือ”
“ไม่มีเจ้าค่ะ เพียงแต่ข้าเอ่อ... อยากออกไปซื้อปิ่นปักผมแต่ไม่รู้จะไปขออนุญาตใครดี ท่านพี่ก็ไม่อยู่เห็นจะมีก็แต่พี่ลี่อินที่จะเมตตาข้าได้”
“นึกว่าเรื่องอะไรใหญ่โต เจ้าอยากได้สักกี่อันก็บอกพ่อบ้านฟู เขาจะเป็นธุระให้”
เมื่อสตรีตรงหน้าเอ่ยปากเช่นนี้จูเพ่ยหลินก็รีบรุกทันที
“เอ่อ… ท่านพี่เคยเล่าให้ข้าฟังว่าสกุลจิ้งเรามีร้านเครื่องประดับหากสั่งซื้อจากที่นี่คงได้ราคาถูก พี่ลี่อินเห็นเป็นเช่นไร”
จิ้งลี่อินชะงักเล็กน้อย สตรีนางนี้มีความสำคัญมากแค่ไหนกัน จิ้งเจิ้งหลี่จึงกล้าเอ่ยเจรจากับนางถึงเรื่องกิจการในตระกูลเช่นนี้
“หากเจ้าต้องการก็ให้คนไปเชิญผู้ดูแลร้านมาพบก็แล้วกัน อยากได้แบบไหนก็แจ้งเขา ไม่ต้องห่วงเรื่องค่าใช้จ่ายข้าจะเป็นผู้ดูแลให้เอง”
“พี่ลี่อินช่างมีจิตใจเมตตานัก หากไม่เป็นการรบกวนเวลาพักผ่อนของพี่ลี่อินเราไปนั่งเล่นที่ศาลาริมน้ำกันดีไหมเจ้าคะ”
ไม่รู้เพราะเหตุใดจูเพ่ยหลินถึงเอ่ยออกไปเช่นนั้น หากจิ้งลี่อินปฏิเสธขึ้นมาคงเสียหน้าแย่
“หากพี่ลี่อินไม่สะดวก...”
“ไปสิ”
เสียงหวานเอ่ยตอบรับ ลู่หลินรู้สึกหวั่นใจระคนสงสัย มีเหตุผลใดให้ฮูหยินหกมาทำดีกับนายหญิงของตนเช่นนี้ หากแต่ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตามลู่หลินก็รู้สึกดีไม่น้อยที่นายหญิงของตนจะออกไปนอกเรือนเสียบ้าง เพราะตั้งแต่นางแต่งกับนายท่านจิ้ง นอกจากวัดหลงซานนายหญิงของตนก็อยู่อย่างสงบในเรือนนี้มาหลายปี หากนายท่านไม่เรียกหานายหญิงก็ไม่เคยออกจากเรือนสักครั้ง
“งดงามมากเลยเจ้าค่ะ นั่นดอกกุ้ยฮวาสีม่วงใช่หรือไม่เจ้าคะ”
“ใช่แล้ว หากเจ้าชอบที่สวนมีอยู่หลายตนข้าจะให้คนเอาใส่กระถางไปให้ที่เรือนเจ้า”
“ขอบคุณเจ้าคะ”
สองสาวงามเดินเคียงข้างกันในสวนหลังเรือนตระกูลจิ้ง ทว่าแม้เป็นสวนที่ใหญ่โตและงดงามหากแต่ช่างเงียบเหงาเกินบรรยาย จูเพ่ยหลินและจิ้งลี่อินเดินมานั่งที่ศาลาริมน้ำ ศาลายกพื้นสูงของที่นี่ให้บรรยากาศคล้ายเรือนไทยโบราณจนจูเพ่ยหลินอดรู้สึกคิดถึงช่วงเวลาตอนที่ตนยังคงเป็นปัณณิตาไม่ได้ ดวงตาหวานมีน้ำใสเอ่อคลออยู่ในทีแต่กลับให้ความงดงามที่แปลกประหลาดจนจิ้งลี่อินเองยังอดชื่นชมไม่ได้
“ดวงตาของเจ้างดงามมากจริงๆ”
คนถูกชมพลันได้สติ หันมายิ้มกว้าง จิ้งลี่อินเดินขึ้นไปนั่งบนศาลากว้างชิดขอบศาลาทอดสายตามองปลาสวยงามที่ว่ายในบึงน้ำใสอย่างอิสรเสรี สายลมเย็นกระทบใบหน้างามผมยาวที่ปล่อยบางส่วนลงมาปรกหน้าปลิวพัดจนเกิดภาพสาวงามริมสระบัว
“อากาศดีจริงๆ ด้วย”
จูเพ่ยหลินมองคนที่หลับตาพริ้มสูดกลิ่นหอมบางๆ ของดอกบัวแล้วก่อนเขยิบตัวไปใกล้จนประชิด
ลู่หลินมองการกระทำของฮูหยินหกอย่างตกใจ หวาดวิตกว่านายหญิงคนใหม่จะคิดร้ายผลักฮูหยินของนางตกน้ำ เหลียนฮวาถอนหายใจยาวกับสีหน้ากังวลของสาวใช้ข้างกายของนาง
“นายหญิงของข้าไม่ได้โหดร้ายเพียงนั้น”
คำพูดเรียบๆ ที่เอ่ยโดยไม่สบตาแต่กลับสบเข้ากับความคิดของลู่หลินอย่างจังทำให้ลู่หลินอดละอายใจไม่ได้ มือบางของ
จูเพ่ยหลินเอื้อมไปกุมมือของจิ้งลี่อินก่อนประจบออดอ้อนอย่างที่เคยใช้กับมารดา
“ข้าได้ยินมาว่าพี่ลี่อินเล่นพิณได้ไพเราะมาก พี่เล่นให้ข้าฟังได้ไหมเจ้าคะ”
จิ้งลี่อินยิ้มอ่อนโยนตอบกลับก่อนพยักหน้ารับ ส่งสายตาให้สาวใช้ตน ลู่หลินก้มศีรษะเล็กน้อยก่อนเดินไปหยิบพิณตัวงามออกมา
“ว้าว… งดงามมากจริงๆ เจ้าค่ะ”
จิ้งลี่อินไม่ได้กล่าวอะไรเพียงยิ้มอ่อนโยนเช่นเดิม นิ้วเรียวดีดไล่สายปรับให้ความตึงอยู่ในระดับที่ต้องการก่อนเริ่มบรรเลง
จูเพ่ยหลินมองตามนิ้วเรียวที่ดีดไปตามสายพิณจนเกิดเป็นเสียงเพลงไพเราะเกินบรรยาย
อ่า... ช่างงดงามและสูงส่งยิ่งนัก
เมื่อได้เริ่มดีดพิณคล้ายจิ้งลี่อินจะดื่มด่ำกับมันจนเพลิดเพลินไปด้วยกว่าจะรู้ตัวก็ดีดมาครึ่งชั่วยามแล้ว ปลายนิ้วงามแดงระเรื่อเล็กน้อยเพราะไม่ได้เล่นพิณมานาน หากแต่กลับทำให้รู้สึกมีความสุขยิ่งนัก
“มือท่านแดงหมดเลยพี่ลี่อิน”
“เล็กน้อยเท่านั้น เจ้าอย่ากังวลไปเลย”
จูเพ่ยหลินแอบรู้สึกผิดที่เอ่ยขอให้อีกฝ่ายเล่นพิณให้ฟัง ร่างบางยกพิณตัวงามหลบก่อนจับนิ้วแดงมานวดเบาๆ
“เมื่อก่อนข้านวดให้ท่านแม่บ่อยๆ เจ้าค่ะ ท่านชมว่าฝีมือการนวดของข้ายอดเยี่ยมมาก”
พูดจบก็ก้มหน้าก้มตานวดมือทั้งสองข้างให้จิ้งลี่อิน สัมผัสอ่อนโยนจริงใจของคนตรงหน้าทำให้จิ้งลี่อินรู้สึกอบอุ่นในใจอย่างบอกไม่ถูก ความอ้างว้างที่เผชิญมานานหลายปีนับจากมารดาบุญธรรมจากไปคล้ายจะถูกเติมเต็มจากเด็กสาวผู้นี้
“มารดาเจ้ากล่าวได้ถูกต้องเจ้านวดได้ดียิ่งนัก”
……………………………………………….