เวลา

1418 คำ
หลังจากที่พบเจอกับแขกหรือคนแปลกหน้าไปแล้วนั้น เพียงรัมภาก็เอาแต่เก็บตัวเงียบอยู่ภายในห้องของเธอเพื่อหลบหลีกความกลัวภายในใจที่ต้องพบเจอกับคนแปลกหน้าแบบนั้น เธอเฝ้าปลอบใจตัวเองอยู่นานสองนานกว่าจะรวบรวมความกล้าในตัวก้าวขาออกจากห้องอีกครั้งโดยมีไม้เท้าคอยนำทางเธอ และเมื่อก้าวขาพ้นประตูห้องไปไม่กี่ก้าวก็มีป้าปิ่นเข้ามาคอยดูแลการเดินเหินของเธอเหมือนเดิม โดยไม่ได้ปล่อยให้เธอต้องเดินเพียงลำพัง แม้เธอจะคุ้นชินกับบ้านหลังนี้มาตั้งแต่เกิดก็ตาม เพียงรัมภาเลือกที่จะเดินไปที่บริเวณสวนหย่อมข้างบ้านเพื่อนั่งรับลมเย็นๆ และเพื่อนั่งคืนสติให้กับตัวเองอีกครั้ง โดยยังไม่พร้อมไปพบหน้าพ่อของเธอ กิจวัตรประจำวันของเธอแปลกออกไปพอสมควรเพียงเพราะการพบหน้ากับคนแปลกหน้านั้น ทั้งที่ปกติแล้วเวลาเย็นแบบนี้เธอจะไปกินอาหารเย็นกับพ่อของเธอและพูดคุยกันตามประสาพ่อลูกก่อนจะแยกย้ายกันไปพักผ่อน แต่วันนี้มันไม่อาจเป็นอย่างนั้นได้ ด้วยเพียงรัมภาไม่อาจยิ้มหรือหัวเราะได้เมื่อใจของเธอยังคงเผชิญความหวาดกลัวอยู่ เธอกำลังพยายามทำให้ใจของเธอมันกลับมาเป็นเหมือนเดิม ยงยุทธนั้นก็มีอาการผิดปกติไปไม่ต่างจากลูกสาวของเขา เขาเอาแต่เฝ้าคิดหาทางออกของชีวิตที่มันเหลือน้อยเต็มทนของเขา เขาเอาแต่จะสรรหาคนที่เหมาะสมให้เข้ามาดูแลลูกสาวของเขาแทนเขาที่กำลังจะตาย จนอาการป่วยนั้นทรุดลงกะทันหัน จนถึงขั้นที่เขาต้องนอนลงกับเตียงเพื่อรักษาชีวิตเอาไว้ ไม่อาจลุกขึ้นนั่งต้านแรงโน้มถ่วงของโลกใบนี้ได้อีกแล้ว และลมหายใจของเขามันก็เริ่มติดขัดมากขึ้น ผสานกับหัวใจที่อ่อนแรงเต็มทนเพราะต้องสู้กับโรคร้ายมานาน “คุณพ่อเหนื่อยหรือเปล่าคะ ทำไมหายใจดังแบบนั้นล่ะคะ” แต่เพียงรัมภากลับไม่ได้รับรู้อะไรเกี่ยวกับอาการของพ่อของเธอเลยแม้แต่น้อยนิด เพราะคนในบ้านช่วยกันปิดข่าวเอาไว้ เธอรู้เพียงแค่ว่า พอจิตใจของเธอมันกลับมาดีขึ้น เธอก็เดินเข้ามาหาพ่อของเธอเพื่อพูดคุยกันก่อนนอน ในระหว่างทางที่เดินเข้าใกล้ผู้เป็นพ่อมากขึ้นเรื่อยๆ เธอก็ได้ยินเสียงเครื่องช่วยหายใจดังมากขึ้นผสานกับเสียงหายใจอย่างเหนื่อยหอบของพ่อเธอ ร่างบางโผล่เข้าไปหาผู้เป็นพ่ออย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่เธอจะทำได้โดยมีปิ่นคอยเป็นตาให้เธอได้มองเห็นในสิ่งที่เธอไม่เห็นเพื่อไม่ให้เกิดอันตรายอะไรขึ้นกับเธอ ความกลัวเริ่มเกาะกินหัวใจดวงน้อยๆ ของเธออีกครั้งเพราะเกรงว่าผู้เป็นพ่อกำลังจะจากเธอไปอย่างไม่มีวันกลับ “นิดหน่อยนะ เดี๋ยวก็ดีขึ้น” มือหนาที่แสนซีดเซียวและเกือบจะไร้เรี่ยวแรงของยงยุทธค่อยๆ ยกขึ้นจากข้างตัวอย่างช้าๆ ไปหยิบเอาเครื่องช่วยหายใจที่ครอบอยู่บนใบหน้าออกแล้วเอ่ยพูดกับลูกสาวอันเป็นที่รักของเขา คำพูดแต่ละคำถูกเปล่งออกมาด้วยความอยากลำบาก ผ่านความเหน็ดเหนื่อยของคนใกล้หมดลมหายใจเต็มทน มันติดขัดจนแทบจะฟังไม่เป็นคำพูด แต่สำหรับยงยุทธมันทำให้เขารู้สึกดีเป็นที่สุดที่ยังสามารถพูดกับลูกสาวได้แม้ลมหายใจสุดท้ายของชีวิตมันใกล้เข้ามามากแล้วก็ตาม “คุณพ่อพักผ่อนนะคะ เดี๋ยวหนูหนึ่งนวดให้” เพียงรัมภาได้ยินน้ำเสียงของผู้เป็นพ่อแล้วก็ใจหายวาบราวกับหัวใจถูกกระชากออกจากอก น้ำเสียงนั้นเป็นเหมือนสัญญาณเตือนของการต้องพลัดพรากกัน และนั้นคือสิ่งที่เธอยังไม่พร้อมจะพบเจอ “พ่อคงอยู่ได้อีกไม่นาน หนูหนึ่งรู้ใช่ไหม” ยงยุทธพยายามเปิดเครื่องช่วยหายใจออก และส่งเสียงออกมาพูดคุยกับลูกสาวของเขา ด้วยเวลาของเขามันเหลือน้อยเต็มทนแล้ว เขาอยากจะมีเวลากับนางฟ้าตัวน้อยๆ ของเขาให้ได้มากที่สุดเท่าที่พ่อคนหนึ่งจะทำได้ “หนูทราบดีค่ะ แต่ก็ไม่อยากรับรู้เรื่องนี้เลย หนูอยากให้คุณพ่ออยู่กับหนูไปให้นานที่สุด” ร่างเล็กลงนั่งข้างเตียงนอนของคนป่วยอย่างคนหมดแรงที่ต้องกำลังจะต้องทำใจให้ได้แม้ไม่อยากทำใจเลยเพราะไม่อยากให้คนเป็นพ่อต้องจากเป็น ใบหน้ากลมสวยแต่ทว่ามีแต่ความเศร้าโศกเสียใจแสดงออกมาซบลงไปหาลำแขนของคนเป็นพ่อ แขนที่ก่อนหน้านี้เธออยากจะบีบนวดให้ท่านได้รู้สึกผ่อนคลาย หยดน้ำตาใสๆ เริ่มไหลออกมาอย่างช้าๆ จากดวงตาที่มืดบอดของเธอที่ไม่เคยมองเป็นแม้แต่หน้าคนเป็นพ่อที่กำลังจะจากเธอไปเลยสักครั้ง ความเสียใจที่พยายามหลีกเลี่ยงมาตลอดนับตั้งแต่วันที่ได้รับข่าวร้ายว่าผู้เป็นพ่อจะอยู่ได้อีกไม่นานเริ่มกลับมากัดกินหัวใจดวงน้อยๆ อีกครั้ง ไม่อยากจะให้เรื่องนี้เป็นความจริงเลย อยากให้เป็นเพียงฝันร้ายที่พอตื่นนอนเรื่องนี้มันก็จะหายไปจากชีวิตของเธอ ด้วยในชีวิตของเธอมีเพียงผู้เป็นพ่อเท่านั้นที่คอยเป็นทุกอย่างให้ ส่วนผู้เป็นแม่นั้นก็จากเธอไปตั้งแต่เธอยังเล็กๆ “ไม่ได้หรอกนะ ทุกอย่างมันมีเวลาเป็นของตัวมัน และเวลาของพ่อก็ใกล้หมดลงแล้ว” เสียงแหบพร่าของยงยุทธยังคงพยายามพูดคุยเพื่อบอกให้ลูกสาวอันเป็นที่รักนั้นเตรียมใจเอาไว้กับการจากไปของเขา สลับกับการหายใจผ่านเครื่องช่วยชีวิตที่ครอบอยู่บนใบหน้าของเขา เพื่อให้กลับมามีแรงอีกครั้งที่จะพูดคุยกันต่อ “ขออีกนิดไม่ได้เหรอคะ อีกสักปีสองปีไม่ได้เหรอคะ” น้ำเสียงหวานเอ่ยต่อรองเวลากับผู้เป็นพ่อแม้รู้อยู่เต็มอกว่าเวลานั้นไม่มีอยู่อีกแล้ว มันเป็นเพียงภาพฝันที่เธอมักหยิบยกขึ้นมาเพ้อในเวลาที่คนเป็นพ่ออาการทรุดหนักให้ได้เห็น และมันไม่เคยเป็นความจริง อาการโรคหัวใจของพ่อเธอเดินทางมาถึงระยะสุดท้ายของโรคนี้แล้ว หมดสิ้นทุกการรักษาที่มีอยู่บนโลกใบนี้แล้ว ถึงเวลาแล้วที่ท่านจะต้องจากไป และเธอจะต้องรับความจริงให้ได้ แต่ก็นั่นแหละ เธอไม่อยากยอมรับความจริง ไม่อยากให้เรื่องนี้เกิดขึ้น “เราขอร้องความตายไม่ได้หรอกลูก เมื่อถึงเวลาเราทุกคนก็ต้องไป หนูหนึ่งต้องเตรียมใจรับมันเอาไว้นะลูก เมื่อถึงเวลาลูกต้องมีสติอย่าเสียใจให้มากนักนะ อย่าให้พ่อต้องห่วง” ยงยุทธยังคงทำหน้าที่พ่อของเขาอย่างเต็มความสามารถ ถึงแม้เรี่ยวแรงจะหมดลงเรื่อยๆ แล้วก็ตาม คำพูดของเขาเริ่มไม่ค่อยชัดและขาดหายไปเป็นช่วงๆ เพื่อพักให้กับการหายใจ แต่ถึงอย่างนั้นทุกคำพูดก็ออกมาจากหัวใจของคนเป็นพ่ออย่างเขา ที่หวังอยากให้ลูกสาวนั้นเสียใจให้น้อยที่สุดหลังจากที่เขาจากลาโลกใบนี้ไปแล้ว เพราะเขาคงไม่สบายใจถ้าต้องเห็นลูกสาวนั้นเอาแต่ร้องไห้เสียใจจนไม่เป็นอันทำอะไร “หนูเกลียดความใจร้ายนั้น ทำไมต้องมาพรากเอาคุณพ่อไปจากหนูด้วย” มือบางพยายามปาดน้ำตาบนแก้มที่ไหลออกมาเป็นสายไม่มีหยุดนั้น พยายามจะไม่ร้องไห้แม้มันจะห้ามไม่ได้ก็ตาม ยังคงอยากจะซื้อเวลาของการมีพ่ออยู่ด้วยกันให้ได้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ต่อให้มันต้องมีราคาแพงแค่ไหนก็ตาม เพราะถ้าไม่มีท่านเธอก็ไม่เหลือใครอีกแล้วในชีวิต ญาติพี่น้องก็ไม่มีเพราะพวกเขาเอาแต่ตั้งแง่รังเกียจคนตาบอดอย่างเธอ
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม