ดวงตาสีนิลของแพรนรียังคงจับจ้องคนบนเตียงไม่วางตา แต่ทั้งคู่ก็คงสนุกไม่ได้รู้สึกถึงการจับจ้องสักนิด ผู้หญิงแสนดีที่ทำตัวเป็นเพื่อนมาตลอดสี่ปีในรั้วมหาวิทยาลัยที่เมืองของเธอ กับเวลาเกือบสองปีที่ใช้ชีวิตอยู่ต่างแดนด้วยกัน เธอไม่เคยระแคะระคายเลยสักนิด
“แต่ลิซยังเหนื่อย เรายังมีเวลาสนุกอีกนาน กว่าที่คุณจะไปรับยัยแพรที่งานเลี้ยง”
“แต่ผมไม่อยากปล่อยเวลาอันมีค่าของเราให้สูญเปล่าไปแม้แต่นาทีเดียว”
“ไปอดอยากปากแห้งจากไหนมาค่ะ เมื่อวานลิซก็หาข้ออ้างออกไปข้างนอก ปล่อยให้คุณกับยัยแพรอยู่ด้วยกันเกือบสามชั่วโมง” หญิงสาวถามเสียงหวาน ทว่าเสียงของเธอก็ถูกริมฝีปากของอีกคนประทับจูบต่อหน้าคนที่ได้ขึ้นชื่อว่าคู่หมั้น
“อย่าพูดถึงคนอื่นให้ผมหงุดหงิดใจเลย แพรหัวโบราญยังกะผู้หญิงที่เกิดในสมัยรัชกาลที่ 5” ชายหนุ่มบอกอู้อี้ มือของเขายังคงฟอนเฟ้นทรวงเต้าอิ่ม
พลังบางอย่างในตัวแพรนรีทำให้เธอรู้สึกวูบวาบ ร่างกายร้อนผ่าว เหมือนกระแสไฟฟ้าอ่อนๆแล่นไปทั่วร่าง กระตุ้นให้เลือดสูบฉีดรวดเร็ว หนึ่งใจอยากถลาเข้าไปหาคนบนเตียง แต่เธอก็ทำได้เพียงกำมือแน่นและสงบสติอารมณ์
คำสั่งสอนของมารดาผุดขึ้นมาได้ทันก่อนที่เธอจะขาดสติ การอยู่ต่างบ้านต่างเมืองที่ต้องพึ่งพากันอยู่ ดีกรีการศึกษาทำให้เธอต้องรักษาหน้าตาเอาไว้ ขบกลั้นความโกรธราวเพลิงที่พร้อมพุ่งทะยานเผาผลาญให้ดับมอดลง กลืนความรู้สึกปวดร้าวลงท้องไป
ลืมแม้กระทั่งสิ่งที่เธอตั้งใจเดินกลับมาเอา แพรนรีผินหน้าไปมองเจ้าของร่างนวลเนียนอวบอิ่มกับผู้ชายที่ได้ชื่อว่าเป็นคู่หมั้นของเธอจูบกันดูดดื่มบนเตียงอีกครั้ง ก่อนที่มือเล็กสั่นเทิ้มของเธอเปิดประตูเดินออกไปอย่างเงียบๆ
ไม่มีหยดน้ำตา ไม่มีคำพูดด่าทอ แต่เธอเดินจากออกมาอย่างเงียบๆ ใบหน้าแดงซ่านด้วยความโกรธเมื่อแว๊บมองคนบนเตียงทั้งสองที่ยังมีความสุขเพียงเสี้ยววินาที
แพรนรีทนหน้าด้านมองต่อไปไม่ไหว ถึงแม้พวกเขาจะไม่อายที่ทำเรื่องบัดสีลับหลังเธอ แต่เธอก็หน้าบางเกินกว่าที่จะก้าวเข้าไปแสดงตัว
เท้าเล็กๆ พาเจ้าของมาร่างอ้อนแอ้นมาหยุดอยู่ที่เชิงสะพานข้ามทะเลสาบซูริก เธอทอดมองออกไปที่ผืนน้ำเวิ้งว้างเบื้องหน้า บางทีการได้ปล่อยให้จิตใจล่องลอยก็อาจจะลบความรู้สึกอึดอัดที่อัดแน่นภายในใจลงได้
ในหัวพยายามยามหาทางออกให้กับความรู้สึกของตัวเอง เธอควรจะทำอย่างไรเมื่อเจอกับสถานการณ์แบบนี้ ในสถานที่ที่ไม่ใช่บ้านเกิดเมืองนอนของตัวเอง การแตกหักไม่ใช่ทางเลือกที่ดี แต่เธอก็ไม่ใช่คนจิตใจดีราวนางฟ้าที่จะมองข้ามไปโดยไม่รู้สึกอะไรได้
แพรนรีมองสำรวจตัวเอง ผู้หญิงวัย 28 กำลังจะคว้าปริญญาเอกทางด้านเศรษฐศาตร์การเงินในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า พร้อมกับก้าวเข้าไปเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยชื่อดังของเมืองไทย แล้วเธอจะต้องเอาเกียรติของเธอไปแลกกับของพวกนั้นจะคุ้มกันหรืออย่างไร
ในห้วงของความคิดที่สับสน สายตาของหญิงสาวก็มองเห็นหอนาฬิกาแห่งโบสถ์เซนต์ปีเตอร์ (St.Peter) ที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า แม้จะอยู่ห่างจากจุดที่เธอยืนไกลพอสมควร แต่หอนาฬิกาที่ได้ขึ้นชื่อว่ามีหน้าปัดนาฬิกาที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปก็ทำให้เธอเห็นเข็มที่ขยับเดินได้ชัด บนยอดโบสถ์ที่เก่าแก่ที่สุดของเมือง อีกหนึ่งสถาปัตยกรรมการออกแบบตกแต่งแนวโกธิคโบราณ
“ตายล่ะ!” หญิงสาวยกมือขึ้นป้องปาก หันรีหันขวางเหมือนกำลังจะทำอะไรไม่ถูก เวลาที่บอกเอาไว้หมายถึงเธอยังเหลือเวลาเดินทางอีกแค่สิบนาที กับหนึ่งช่องทางที่หลงเหลือคือ...วิ่ง
ซาๆ เสียงสายฝนเทลงมา หญิงสาวมองเป้าหมายของตัวเองที่เป็นตึกตรงข้ามถนน ไฟข้ามถนนสีเขียวกระพริบบอกเวลาที่เหลือ
ติ๊ด! 5... หญิงสาววิ่งฝ่าสายฝนอย่างไม่ลังเล ระดับนักวิ่งทีมมหาวิทยาลัยอย่างเธอยังทัน
ติ๊ด! 4... ขอบถนนที่มีรถจอดรอยาวเหยียด
ติ๊ด! 3... สายตาทุกคู่ต่างเล็งไฟสีแดงที่เป็นสัญญาณเตือนของพวกเขาตรงหน้า
ติ๊ด! 2...หญิงสาวจ้องป้ายสีเขียวของตัวเอง เหลือเพียงหนึ่งวินาที กับขาที่ต้องรีบก้าว
ติ๊ด! 1... “กรี๊ด!!!” หญิงสาวเปล่งเสียงร้องออกมาสุดเสียง ปลายเท้าของเธอเหยียบจิกถนนเบรกตัวเอง รถคันหรูวิ่งเฉียดหน้าอกของเธอไปห่างไม่ถึงนิ้ว พอๆ กับล้อรถคันนั้นเกือบจะบดนิ้วเท้าของเธอเข้ากับบู๊ทคู่โปรดเข้ากับพื้นถนนไปด้วย เธอไม่ทันได้มองแต่คนขับรถคันนั้นก็ต้องรู้กฎ เธอยังเหลือเวลาของเธอ
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองป้ายไฟจราจร ปุ้มวงกลมตรงหน้าเปลี่ยนจากสีเขียวกลายเป็นสีแดงบอกว่าตอนนี้เธอผิดเต็มประตูที่ยังยืนอยู่ในพื้นที่ถนน เสียงแตรรถคันหลังย้ำบอกให้เธอรีบก้าวออกไปจากพื้นที่ของพวกเขา
ในจังหวะที่หัวใจเต้นระทึกแต่สมองส่วนสั่งการกลับมึนเบลอ กล้ามเนื้ออ่อนแรงตีบตันแต่ดวงตาของเธอกลับลุกวาว เมื่อมีรถอีกคันกำลังพุ่งเข้าหาเธอ
ขาที่เสมือนไร้เรียวแรงเมื่อครู่ส่งพลังให้เธอก้าวผ่านหน้ารถคันดังกล่าวไปได้ก่อนที่เธอจะโดนชน
เอี๊ยด!!
เสียงล้อรถเบรคครูดไปกับพื้นถนนทางด้านขวามือของหญิงสาวอีกครั้ง เจ้าของเรียวขาหลับตาปี๋ นึกถึงคุณงามความดีกับบรรพบุรุษ
“ที่นี่ไม่ใช่แคตวอล์กที่จะได้เดินเป็นนางแบบ” เสียงเข้มของเจ้าของรถคันหรูสบถลั่นออกมานอกตัวรถ
หญิงสาวลืมตาขึ้นมอง บอกตัวเองว่าเธอยังไม่ตาย แต่ก็ไม่มีเวลามากพอที่จะมองเจ้าของรถคันหรู พอๆ กับสายฝนที่ซ้ำเติมความโชคร้ายของเธอไม่หยุด
“ไอ้บ้า...ปากหรือนั่น ฉันวิ่งแล้วไม่เห็นหรือไง” หญิงสาวบอกเป็นภาษาไทย อย่างน้อยถ้าจะระบายหรือด่าใครที่นี่ก็ไม่มีปัญหาตามมาทีหลัง คนพวกนั้นคงฟังเธอไม่รู้เรื่อง
“อยากเกิดมาเป็นคนจนเหมือนฉันมั่งไหมล่ะ”
แพรนรีรีบก้าวออกไปให้พ้นเนื้อที่ถนน ไปยืนรวมอยู่กับกลุ่มผู้คนที่ยืนหลบฝนไม่ต่างจากเธอ หญิงสาวล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าหยิบกระดาษทิชชูออกมาซับน้ำออกจากใบหน้าและลำตัว ยังดีที่ฝนเพิ่งตกไม่นาน ทำให้เสื้อผ้าของเธอไม่ทันได้เปียกถึงขั้นยับเยิน
คิดแล้วช่างน่าขัน...เธอสมควรที่จะขอบคุณละอองฝนพวกนี้มากกว่า เพราะถ้าไม่มีมัน เธอก็คงเป็นผู้หญิงโง่ๆ ที่โดนคู่หมั้นกับเพื่อนสาวรวมหัวกันหลอกสวมเขาให้เธอต่อไป แต่เธอก็ยอมแพ้ไม่ได้ พวกเขาต้องได้รู้รสของการถูกทรยศหักหลังเหมือนอย่างเธอ
หญิงสาวเดินเข้าไปในอาคาร เวลาในตอนนี้งานเป็นสิ่งสำคัญที่สุดกว่าสิ่งใด ข้อดีของแพรนรีอีกข้อ เธอจะไม่เอาเรื่องส่วนตัวมาปะปนให้เสียงานเด็ดขาด ความรับผิดชอบเหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมด ในขณะเม็ดฝนข้างนอกเริ่มซาลง เหมือนเมื่อครู่มันแค่จงใจบอกอะไรบางอย่างกับเธอเท่านั้น