“อะไรของเขาน่ะ บทจะมา ก็มาเงียบๆ บทจะไป ก็ไปแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย”
นาราพรรณบ่นงึมงำขณะเดินกลับมาที่ม้านั่งแล้วยกมือลูบแขนตัวเองเบาๆ ก่อนจะขมวดคิ้วเข้าหากันยุ่ง เมื่อความรู้สึกก่อนหน้านี้ ตอนที่มีชายชรานั่งอยู่ด้วยได้หายไปราวกับปลิดทิ้ง
“คิดมากอีกแล้วเรา”
หญิงสาวต่อว่าตนเอง ก่อนจะหยิบภาพขึ้นมาพิจารณาดูใกล้ๆ แล้วหลับตานิ่งเมื่อรู้สึกว่าได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่โชยมากระทบจมูก ทำให้รู้สึกวิงเวียนจนต้องยกมือคลึงขมับให้หายจากอาการดังกล่าว
“ใครฉีดน้ำหอมแถวนี้น่ะ ทำไมได้กลิ่นแล้วปวดหัวจังเลย”
นาราพรรณหลับตานิ่งอยู่นานหลายนาที ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ แล้วลุกขึ้นเดินไปยังทิศทางที่ตั้งของหอศิลป์ ที่ชายชราได้บอกไว้ โดยไม่ลืมกอดกระชับภาพวาดติดมือมา เพื่อนำไปถวายให้เจ้าชายชารีฟร์ตามความต้องการของเจ้าของภาพวาด
“หอศิลป์แห่งชาติ ประเทศอัลนูรีน”
นาราพรรณอ่านป้ายชื่อที่แกะสลักสวยงาม เขียนกำกับเป็นภาษาอาหรับและภาษาสากลด้วยตัวหนังสือสีทองมองดูงดงามมีมนต์ขลัง ด้วยน้ำเสียงค่อนข้างดัง
“ในที่สุดเราก็หาเจอจนได้”
หญิงสาวเป่าลมออกจากปากอย่างโล่งอก พลางหันไปมองข้างๆ ประตูทางเข้าหอศิลป์ ซึ่งมีการจำหน่ายบัตรในราคาที่แตกต่างกันไปสำหรับชาวอัลนูรีนและนักท่องเที่ยวต่างชาติ
“รายได้จากการจำหน่ายบัตรมอบให้กับราษฎรเผ่าคาลีส์โดยไม่หักค่าใช้จ่าย”
นาราพรรณอ่านตามป้ายที่แปะติดไว้ ซึ่งด้านบนเขียนด้วยอาษาอาหรับและมีภาษาอังกฤษกำกับ เพื่อให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติได้ทราบวัตถุประสงค์ของการเก็บค่าเข้าชมภาพวาดด้วย
“เผ่าคาลีส์ อืม...ก็ดีเหมือนกันเก็บเงินค่าผ่านประตู ไปบริจาคให้กับราษฎร”
หญิงสาวก้าวเท้ายาวๆ ตรงไปที่จำหน่ายบัตร แล้วหยิบเงินยื่นให้คนขายตามราคาสำหรับคนต่างชาติ ขณะที่ยื่นเงินให้อีกฝ่ายมือหนึ่งก็ถือภาพวาดและกำบัตรเชิญซึ่งทำเป็นพิเศษไว้ในมือด้วย
“ซื้อบัตรหนึ่งใบค่ะ”
นาราพรรณบอกคนขายพร้อมกับคลี่ยิ้มบางๆ เมื่อเห็นอีกฝ่ายยิ้มกว้างให้ แล้วส่ายหน้าปฏิเสธไม่รับเงิน จากนั้นก็ชี้นิ้วมาที่บัตรเชิญที่เธอกำไว้อีกมือหนึ่ง แล้วเอ่ยบอกเป็นภาษาอาหรับซึ่งหญิงสาวไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายพูดว่าอะไร
“ขอดูบัตรเชิญใบนั้นหน่อยคะ”
คนขายบัตรยิ้มกว้างเอ่ยบอกขณะชี้นิ้วมาที่บัตรเชิญ ซึ่งเป็นการสื่อภาษาสองทาง นอกเหนือจากใช้ภาษาคำพูดที่ฟังกันไม่รู้เรื่องแล้วก็ใช้ภาษามือไปในตัวด้วย
นาราพรรณก้มลงมองตามทิศทางการชี้นิ้วของอีกฝ่าย เมื่อสื่อสารพอจะเข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการบัตรเชิญที่เธอได้รับจากเจ้าชายซารีฟร์ ซึ่งได้มอบให้เธอตั้งแต่ตอนที่อยู่ในบอสตัน ก็ได้ยื่นบัตรให้อีกฝ่ายดู
“จะเอาบัตรเชิญใบนี้หรือคะ”
ทั้งๆ ที่รู้ว่าคนขายไม่เข้าใจภาษาอังกฤษ แต่นาราพรรณก็เอ่ยถามไปอย่างลืมตัว อีกไม่กี่นาทีต่อมาคิ้วโก่งงามดุจคันศรก็ขมวดชนกันยุ่ง เมื่อคนขายลุกออกจากที่นั่งแล้วถอนสายบัวราวกับทำความเคารพแก่เธอ จากนั้นก็ผายมือเชิญให้เข้าไปข้างในหอศิลป์
นาราพรรณรับบัตรเชิญกลับมาคืน ก่อนจะก้าวขึ้นบันไดเตี้ยๆ เดินเข้าไปในหอศิลป์โดยไม่ลืมหันไปมองคนขายซึ่งยังคงคลี่ยิ้มกว้างให้เธอเหมือนเดิม
“สงสัยคนขายคิดว่าเราเป็นคนรักของเจ้าชายซารีฟร์แน่ๆ เลย ถึงได้ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แบบนี้”
หญิงงามจากแดนสยามที่รักงานศิลปะเข้าเส้นเลือด ได้เอ่ยคาดเดาอยู่คนเดียว บัตรเชิญที่เธอได้รับจากเจ้าชายซารีฟร์ จะมีชื่อของพระองค์เขียนไว้ด้านหลังบัตรด้วยตัวอักษรภาษาอาหรับกำกับภาษาอังกฤษอีกที ซึ่งเธอคิดว่าคนขายคงเข้าใจผิด คิดว่าเธอเป็นคนรักของพระองค์ จึงได้เชิญให้เข้าไปในหอศิลป์โดยไม่เก็บค่าผ่านประตู ซึ่งจริงๆ แล้วคนที่เป็นคนรักของเจ้าชายซารีฟร์คือนาราภัทร หรือน้ำหนาวแฝดพี่ของเธอต่างหาก
นาราพรรณเดินตามนักท่องเที่ยว ซึ่งหากเดาไม่ผิดเป็นชาวยุโรปสองสามีภรรยาเข้าไปในหอศิลป์ พอได้เห็นผลงานภาพวาดของเจ้าชายองค์เล็กแห่งดินแดนทะเลทราย รวมทั้งภาพวาดของนักเขียนชื่อดังก้องโลกท่านอื่น ซึ่งได้ให้เกียรตินำมาแสดงที่ประเทศอัลนูรีนด้วย ก็ได้เบิกตาโตเพราะความตื่นเต้นกับผลงานศิลปะอันแสนงดงาม ทำให้ผู้ที่เข้ามาในหอศิลป์ได้อิ่มเอมสุขใจกับสิ่งที่พวกเขาชื่นชอบ
คล้อยหลังที่เดินเข้าไปในหอศิลป์แค่ไม่กี่นาที หญิงงามจากแผ่นดินสยาม ผู้ที่มีบัตรเชิญพิเศษไม่รู้เลยว่าคนขายบัตรผ่านประตู ได้โทรรายงานองครักษ์คาซิมม์ ซึ่งเป็นองครักษ์เอกของเจ้าชายชารีฟร์ ให้ทราบว่าได้มีหญิงสาวงดงามถือบัตรเชิญของเจ้าชายซารีฟร์เข้าไปชมภาพในหอศิลป์ด้วย
องครักษ์คาซิมม์วางโทรศัพท์ลงกับแป้น หลังจากรับรายงานจากคนขายบัตร ซึ่งได้โทรมาแจ้งข่าวเรื่องของนักท่องเที่ยวสาว ที่กำลังเข้ามาชมภาพวาดในขณะนี้ องครักษ์หนุ่มช่างใจอยู่หลายนาที ว่าจะแจ้งให้เจ้าเหนือหัวทรงทราบดีหรือเปล่า เพราะตอนนี้พระองค์กำลังตั้งสมาธิวาดภาพกรุงเทพฯ เมืองหลวงของแผ่นดินไทย เพื่อเป็นของกำนัลแก่รัฐบาลไทย ตอนที่พระองค์ไปจัดนิทรรศการแสดงภาพวาดที่นั่น
“เอ่อ...พระองค์พ่ะย่ะค่ะ”
คาซิมม์ตัดสินใจเรียกเจ้าเหนือหัวของตนเอง โดยพยายามเปล่งเสียงให้เบาที่สุด เพื่อไม่ให้เป็นการทำลายสมาธิของจิตรกรมือหนึ่ง
“มีอะไรคาซิมม์ จะพูดอะไรก็พูดมา”
เจ้าชายชารีฟร์เอ่ยถามองครักษ์เอกทั้งๆ ที่มือยังคงตวัดปลายพู่กัน ลงรายละเอียดสีไปตามแผ่นผ้าสีขาว ซึ่งเขาได้วาดภาพไปได้ราวๆ สี่สิบเปอร์เซ็นต์แล้ว
“คนขายบัตรผ่านประตู โทรมาแจ้งกระหม่อมว่า ว่าที่พระชายาของเจ้าชายซารีฟร์ ได้เดินทางมาชมภาพวาดพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อได้รับอนุญาตจากเจ้าเหนือหัว คาซิมม์ก็เอ่ยรายงานตามข้อมูลที่ตนเองได้รับแจ้งมาอีกที พร้อมกันนั้นก็ได้หยิบผ้าขาวไว้สำหรับเช็ดมือ ยื่นให้เจ้าชายหนุ่มเมื่อพระองค์ได้วางพู่กันลง
“พระชายา...น้ำหนาวงั้นหรือ”
เจ้าชายชารีฟร์พึมพำกับตนเองขณะวางพู่กัน ละทิ้งการวาดภาพชิ้นโบว์แดงลงชั่วขณะ แล้วรับผ้าขาวจากองครักษ์เอกมาเช็ดคราบสีที่เลอะตามข้อมือและปลายนิ้ว
“กระหม่อมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ว่าใช่พระชายาน้ำหนาวหรือเปล่า แต่คนขายบัตรบอกว่าหญิงสาวคนนี้ถือบัตรเชิญซึ่งมีชื่อของเจ้าชายซารีฟร์มาด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
คาซิมม์เข้าไปเก็บอุปกรณ์วาดภาพ เห็นแน่ชัดแล้วว่าจิตรกรเอกหมดอารมณ์ที่จะวาดภาพต่อ เมื่อมีเรื่องของหญิงงามจากแผ่นดินสยามให้ขบคิด
“เราว่าไม่น่าจะใช่น้ำหนาวคนรักของท่านพี่ซารีฟร์ เราเพิ่งวางสายจากท่านพี่ก่อนหน้านี้ไม่ถึงชั่วโมง ไม่เห็นท่านพี่ซารีฟร์บอกว่าจะพาคนรักมาชมภาพวาด”
เจ้าชายหนุ่มเอ่ยบอกองครักษ์ ซึ่งเขามั่นใจว่าคนที่มาชมภาพวาดต้องไม่ใช่คนรักของเชษฐาซารีฟร์อย่างแน่นอนเพราะหากน้ำหนาวคนรักของเชษฐา หรือตัวเชษฐาเองได้เดินทางมาที่หอศิลป์ เชษฐาซารีฟร์จะโทรมาแจ้งให้เขาทราบล่วงหน้าเสมอ