11 - ทำไมผมเหมือนตายทั้งเป็น
ผมพยายามเรียกคนที่เดินผ่านผมไปแต่ว่ามันกลับถูกกลุ่มผู้คนกลืนหายไปทำให้ผมไม่ทันได้เห็นเขา ผมจำสีขวดฟองสบู่ได้ดีก่อนจำลักษณะตัวเขาได้ ผมวิ่งตามไปแต่มันไม่ทัน ตอนนี้ผมมองไม่เห็นแล้วว่าคนที่ผมกำลังตามหาหายไปไหน เหมือนโอกาสอยู่ตรงหน้าแต่ผมคว้ามันไว้ไม่ทัน
ผมเองผิดหวังเพราะว่าผมเหมือนเห็นความรักเข้ามาอยู่ตรงหน้าแล้ว แต่ผมคว้ามันไว้ไม่ทันจนมันลอยไปลับตาตามหามันไม่เจอแล้ว มันน่าเสียดายเหมือนกันนะที่ผมกำลังจะเจอคนที่ใช่แต่ถูกผู้คนกลืนหายไปจากสายตา
‘เสียดายจังเลย ทำไมเราคว้าความรักไว้ไม่ได้เลย ทั้งที่อยู๋ตรงหน้าแล้ว’ ผมแอบตัดพ้อในใจเพราะผมเหมือนเห็นสิ่งดี ๆ แต่คว้าไม่ทันและผมไม่รู้ว่าผมจะเห็นเขาอีกไหม เอาเป็นว่าจุดเด่นของผมคือขวดฟองสบู่สีน้ำเงินก็แล้วกัน รอบหน้าผมจะได้ตามหาง่ายขึ้น
“แฟนต้า... เหมือนมีใครเรียกเราเลย” ผมรู้สึกว่าเหมือนผมได้ยินเสียงผู้ชาย แม้ไม่ได้เรียกชื่อแต่เหมือนเรียกให้ผมหันไป เมื่อผมหันก็ไม่พบใคร ผมไม่ได้หูแว่วแน่นอนแต่ว่าทำไมเสียงคุ้นหูแค่คำ ๆ เดียว ผมสามารถบอกได้ทันทีว่าคุ้นหู
“เราไม่เห็นได้ยินเลย”
ผมอาจจะคิดไปเองก็ได้แต่เอาเถอะ วันนี้ผมตั้งใจออกไปเที่ยวกับแฟนต้าอยู่แล้ว ไม่ได้ไปไหนไกลจากกรุงเทพ วันนี้ผมจะนั่งรถไฟฟ้าไปทุกสีที่กรุงเทพวางสีเส้นทางให้ครบเลย การท่องเที่ยวของผมผ่านรถไฟฟ้าไม่มีพลาดและเสียเงินไม่น้อยกว่าหนึ่งพันบาท เงินนั้นแฟนต้าเป็นคนจ่าย ผมไม่ต้องทำอะไรมาก เที่ยวฟรีเงินอยู่ครบทั้งกระเป๋าก็พอใจแล้ว ผมยังไม่วางความคิดจากเรื่องก่อนหน้าหรอกเพราะอาจจะมีคนเรียกจริง ๆ ก็ได้
เวลาต่อมา
“พวกเอ็งสองคนมาก็ดีละ พวกเหนียวหนี้มันต้องใช้ไม้เด็ด ถึงจะยอมจ่ายแบบไม่มีข้อแม้ ทำเหมือนที่พวกเอ็งทำก็แล้วกัน กูถือว่าใจดีไม่ตามคุมชีวิตพวกมึงก็ดีแค่ไหนแล้ว” เสี่ยที่ผมกับหยดน้ำถือว่าเป็นผู้มีพระคุณในระดับหนึ่งกำลังป้อนคำสั่งให้พวกผมไปจัดการทำอะไรบางอย่างที่คนปกติเขาไม่ทำกัน รอบนี้ส่งให้เราสองคนไปตามทวงหนี้ในตลาด ทำยังไงก็ได้ให้พวกมันจ่ายแบบไม่เล่นลิ้นเพราะคนเหนียวหนีมันก็ชอบหาข้ออ้างนั่นนี่เสมอ
“รับทราบครับ”
ผมตอบรับทราบกับเสี่ยแต่ความจริงผมชอบอู้งานจะตาย แม้จะอู้งานแต่ก็ไม่ได้นานจนไม่ทำอะไรเพราะถ้ามีคนอื่น โทรศัพท์หาหรือถ่ายรูปเป็นหลักฐานบอกเลยว่าผมเกมแน่นอน พวกลูกน้องชอบหักหลังกันเองแบบนี้แล้วผมจะเอาเวลาไหนไปหาความรักล่ะ
“อย่าให้พลาดล่ะไอ้เกย์นอร์ท มึงอะชอบเอาเวลาไปหาความรักกับผู้ชายด้วยกัน”
“เสี่ยครับ ผมไม่ได้เป็นแบบนั้นสักหน่อย” ผมยอมรับเสมอว่าผมเป็นเกย์ที่มองหาความรักอยู่เสมอ แม้หลายคนจะชอบทำลายความฝันในการตามหาว่าผมหน้าตาแบบนี้จะหาแฟนที่ไหนได้ ถึงยังไม่ใช่ตอนนี้แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะไม่มีแฟนในชาตินี้
“ดูบุคลิกมึงดิ ใครเขาจะกลัวมึง แต่กูเห็นเพราะมึงกำลังขัดสนเรื่องเงิน” เสี่ยวิกรมเป็นคนให้โอกาสคนแต่ให้โอกาสกับผมไปทำงานอะไรที่ดุดัน แล้วผมจะมองหน้าคนในสังคมยังไงเพราะใคร ๆ ก็ตัดสินว่าผมเป็นคนเลวไปแล้ว แต่เอาเถอะผมยอมทำดีกว่าไม่มีเงิน แต่ที่ผมไม่ยอมมากกว่าคือการที่คนอื่นมาเรียกผมว่าเกย์นอร์ท ผมไม่ชอบฉายานี้ด้วยซ้ำ
“ไปจัดการได้แล้ว”
ผมและคนอื่นรับคำสั่งก่อนจะเดินออกไปทำงานต่อ ผมไม่กล้าต่อปากกับเสี่ยมากหรอก เดี๋ยวลูกปืนจะได้เป็นคำตอบแทนคำตอบที่ออกมาเป็นคำพูด ผมจำยอมทำงานแบบนี้ไปได้ยังไง
อีกด้านหนึ่ง
ทางด้านฉายหลิง
ฉายหลิงขับรถยนต์ไฟฟ้าไปตามทางบนโบกมนุษย์ที่ผมและเพื่อนคนอื่นได้มาอาศัยอยู่ได้พักหนึ่งแล้ว ระหว่างทางผมเปิดเครื่องเสียงหมุนหาคลื่นเพลงโปรดที่ผมชอบฟัง ระหว่างนั้นผมปรับหูฟังแท่งแม่เหล็กให้ความเย็นคงที่เสมอ มันเป็นของประจำตัวที่ทีมผมทุกคนต้องมี แม้ว่าผมจะยังไม่ใช่สมาชิกของทีมนอร์ทโปลเต็มที่ แต่ความพยายามของผมจะทำให้ทุกคนเห็นว่า ความสามารถของผมทำให้ทุกคนเห็นว่าความตั้งใจผมสามารถช่วยให้คนตามหาความรักจากความคิดที่ผมมอบให้ส่วนหนึ่ง
ผมเห็นปอแก้วยืนอยู่ริมฟุตบาธหน้าร้านกาแฟ ผมค่อย ๆ ชิดรถไปทางซ้ายแล้วรับเขาขึ้นรถมาด้วยกัน เพราะก่อนหน้านั้นเขาติดต่อมาบอกให้ผมมารับแล้วจะได้เดินทางไปด้วยกัน ผมทำตามคำสั่งรุ่นพี่และเราสองคนรีบเดินทางไปตามหาทุกคนต่อไป
“ชาเขียวสำหรับฉายหลิงครับ”
“รู้ใจผมเหมือนกันนะครับ”
ปอแก้วเป็นเพื่อนของผม แม้ว่าอายุจะห่างกันไม่ไกลแต่ถือว่าเป็นเพื่อนเลยก็ว่าได้ เวลาผมคุยกับเขาก็ถือว่าใช้คำที่สนิทกันได้เลย แต่ไม่รุนแรงยังถือว่าสุภาพต่อกันอยู่ เขารู้ใจผมขนาดไหนถึงซื้อชาเขียวของโปรดที่ผมชอบมาให้ดื่มไปตลอดทางขับรถ ในขณะที่ผมขับไป ผมก็ถามทุกเรื่องราวเวลาที่ปอแก้วมาโลกมนุษย์ก่อนสักพัก เห็นอะไรหลายอย่างกว่าจะปรับตัวได้ก็นานพอสมควร
“นอร์ทเหรอ”
ผมเห็นรูปนอร์ทในโทรศัพท์เมื่อเขาเปิดให้ผมดู หน้าตาของเขาก็ถือว่าหล่อใช้ได้เลย จะว่าไปหน้าตาเหมือนไอดอลคนไหนสักคน บอกเลยว่าหล่อไม่แพ้กันเลย ปอแก้วเป็นคนเลือกเพื่อนเก่งเหมือนกันนะ ผมเห็นแล้วดึงดูดสายตาผมเป็นอย่างดี
“ใช่... เขายังไม่มีแฟน แต่เราไม่สามารถจีบคนในโลกมนุษย์ได้หรอก ไม่ผิดกฎแต่เปิดเผยตัวตนตอนนี้ไม่ได้”
“แล้วไปบอกนอร์ทให้เชื่อเรื่องมิสเตอร์นอร์ทโปลทำไม” ผมได้ยินและคนในทีมชอบรายงานให้เด็กฝึกหัดแบบผมว่าปอแก้วชอบไปบอกเรื่องมิสเตอร์นอร์ทโปลให้คนอื่นฟัง ต่อให้นอร์ทจะรู้เรื่องแต่ไว้ใจได้เหรอที่เขาจะไม่เอาไปบอกต่อ
“เอาเป็นว่าเราไว้ใจเขา เขาไม่ใช่คนเลวหรอก”
บางทีผมไม่รู้ว่าปอแก้วเป็นคนชอบเพื่อนในโลกมนุษย์มากจนแยกแยะความดีเลวกับหน้าตาไม่ออกหรือไง บางทีหน้าตาคนไว้ใจได้ที่ไหนแล้วอีกอย่างรู้จักคนที่ชื่อนอร์ทและอยู่ในสถานะเพื่อนได้ดีแค่ไหน ผมเตือนเขาว่าอย่าไว้ใจให้มากกลัวจะพลาดท่ากับคนในโลกมนุษย์เสียเอง
ทางด้านนอร์ท
ผมเดินมาดเท่แต่ทรงนักเลงแบบนี้ ใครเห็นก็ต้องหวาดกลัวอยู่แล้วเพราะความเก๋าและชอบหาเรื่องทำให้ชาวบ้านเกรงกลัวผม ใครหน้าไหนเบี้ยวหนีไม่ยอมจ่าย ผมและหยดน้ำจะเก็บไม่ให้เหลือชื่อนามสกุลไปเขียนในงานศพแน่นอน ผมทำมาดเท่คาบไม้จิ้มฟัน ผูกผ้าคาดหัวลายดาวเหมือนนักร้องลูกทุ่งแต่หล่อไม่แพ้กัน ดูไม่ค่อยหลงตัวเองเท่าไหร่นะ ผมมองรอบข้างดูสายตาใครเล่นหูเล่นตากับผม ผมจะเก็บที่ร้านนั้นก่อนเลย
“ป้า อย่ามาหนีผมนะ”
ผมเห็นป้าร้านข้าวแกงจะทำเป็นเดินไปส่งข้าวให้คนในตลาดบ้าง ผมไม่หลงกลมุกดักควายเด็ดขาด ป้าห่อข้าวส่งลูกค้ายังไงในกล่องไม่มีข้าว ใส่แต่อากาศให้สุนัขตัวไหนรับประทานมิทราบ ผมรีบพาลูกน้องไปดักเลยจะได้ไม่มีทางหนี คนชอบเหนียวหนีมันต้องเจอคนแบบผม
“จะจ่ายหรือไม่จ่ายครับ ผมมาทวงดี ๆ แล้วนะ” บุคลิกของผมมันทำให้คนไม่กลัวหรือไง หน้าตาผมหล่อเหมือนคนนั้นเหรอถึงไม่เกรงกลัวความโหดผมเลย ผมเรียกให้หยดน้ำช่วยอีกแรง
อีกด้านหนึ่งทางฝั่งทางเข้าตลาด ผู้ชายสองคนผู้เป็นเพื่อนซี้กันเดินเข้ามาในตลาดใกล้มหาวิทยาลัยที่ผมเรียน มันเป็นเวลาเที่ยงกว่าแล้ว ผมมีร้านเด็ดในดวงใจที่ผมต้องมาซื้อนอกมหาวิทยาลัย ยอมลงทุนออกมาแค่ไหนเพราะบางทีผมก็เบื่ออาหารในโรงอาหารเหมือนกัน
“กินอะไรดีอะ”
“เราอยากกินน้ำปั่น เมนูเดิมแล้วกัน กล้วยหอมปั่นสตรอเบอร์รี่และนมหมีน้ำผึ้ง” บอกเลยว่านี่มันเป็นเมนูโปรดของผมเลยก็ว่าได้ สองผลไม้เข้ากันมากมันทำให้ผมเห็นเมนูนี้เป็นเมนูโปรดของผมไปแล้ว เวลาไปร้านน้ำปั่นร้านไหน ผมต้องสั่งเสมอ เช่นเดียวกันกับตอนนี้
ผมสั่งน้ำปั่นมาแล้วจะเดินไปทางขวาของตลาด ผมรู้สึกว่าเหมือนมีคนกลุ่มหนึ่งกำลังยืนล้อมร้าน ผมเห็นแล้วดูไม่น่าไว้ใจสักเท่าไหร่ ทำไมรูปลักษณ์ภายนอกเขาน่ากลัวมากเลย ขนาดผมเป็นผู้ชายด้วยกันยังกลัวขนลุกคิดไปไกลนึกว่าเจอผู้ก่อการร้าย
“จะจ่ายไหม เห้ยย ตรงนั้นอะ จะหนีเหรอ”
หยดน้ำตกใจเมื่อนอร์ทเล่นใหญ่ชักปืนออกมา ผมตกใจบอกให้มันเก็บเพราะเสี่ยก็บอกว่า
“เดี๋ยวใครมาเห็นตกใจกันหมด”
ยูยิ้มและแฟนต้าตกใจวิ่งหนีตั้งแต่ผู้ชายกลุ่มนั้นชักปืนออกมา ผมจับแขนแฟนต้ารีบวิ่งหนีกลัวพวกมันหันมาแล้วเก็บพวกเราต่อ ผมไม่คิดเลยว่าผมกับเพื่อนมาเดินตลาดแต่ต้องมาหลบกระสุนเหมือนกำลังเจอเหตุการณ์กราดยิงเรียกได้ว่าผมกำลังตายทั้งเป็นเลยก็ว่าได้
“นี่กูมาทำอะไรตอนนี้วะเนี่ย”
ผมไม่รู้ว่าพวกนั้นเป็นใคร แต่น่ากลัวแถมมีปืนคนละกระบอก ผมเข้าใกล้เมื่อไหร่ พูดจาไม่เข้าหูได้กินลูกปืนแทนข้าวแน่นอน ผมรีบหนีออกไปให้เร็วที่สุดจะได้ปลอดภัย แต่ว่าทำไมผู้ชายที่ผมเห็นมันคุ้นเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน วันนี้ทำไมผมรู้สึกสงสัยและระแวงไปหมดล่ะเนี่ย
วันต่อมา
ทางด้านยูยิ้ม
ผมเดินทางมาถึงมหาวิทยาลัยที่ผมเรียนอยู่ ผมขับรถมาถึงที่นี่สักพักหนึ่ง เลี้ยวรถเข้าไปที่จอดรถยนต์ เมื่อผมจอดรถแล้ว ผมโทรหาแฟนต้านัดเจอกันที่โรงอาหารของคณะนิเทศศาสตร์ มันเป็นสาขาที่ผมเรียนอยู่ เพราะผมมีความฝันที่อยากทุ่มเทให้กับคณะนี้ ผมอยากเป็นดีเจ ผมถึงเข้ามาเรียนคณะนี้ได้เพราะใจรักและการตามหาความฝันของผมเอง
ตรี๊ดดด
บางทีผมหงุดหงิดแบบไม่มีเหตุผลกับแฟนต้ามากเลยเพราะว่าเขาชอบไม่รับสายผม ปิดหนีหรือไม่ได้ยินเสียงราวกับโยนโทรศัพท์ออกไปดาวอังคารแล้ว ให้ตายสิขนาดสายผมมันยังไม่รับ อาจารย์ที่ปรึกษามันยังไม่รับเช่นกันแล้วแบบนี้จะมีโทรศัพท์ไว้ทำไม
“ฮัลโหล...”
“มึงอยู่ไหน”
คำถามทุกเช้าที่ผมต้องถามแฟนต้าทุกครั้งหลังจากตื่นนอนแล้ว เพราะเวลาผมนัดไปทำธุระหรือมาเรียนทีไร ผมจะต้องเป็นฝ่ายมารอมันเสมอทั้งที่ปกติมันเป็นกระตือรือร้นและจริงจังในทุก ๆ เรื่อง เว้นแต่ว่าความขี้เกียจลุกออกจากเตียงทำให้การกระทำที่พร้อมตั้งใจทำในวันนี้หมดลง
“มึงจะลุกจากเตียงได้หรือยัง”
ผมเอาโทรศัพท์ไปจ่อใกล้ลำโพงบลูทูธขนาดเท่าขนมปังบาร์แกต เปิดโกสต์เรดิโอเอาเสียงผีหลอกให้มันฟัง จะได้มีแรงลุกจากเตียงไม่ต้องขี้เซาอีกต่อไป บอกเลยว่าสิ่งที่ผมทำ ทุกอย่างได้ผลจนมันด่าโวยวายผมหลังจากลุกออกมาแล้ว
“หรือจะให้กูเปิดเสียงปืนใส่”
“มึงอย่าเอาเรื่องนี้มาล้อเล่นได้ไหม” ผมตกใจเพราะเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องตลกด้วยซ้ำ ผมรีบลุกออกจากเตียงแล้วเดินทางไปมหาวิทยาลัยก่อนที่ยูยิ้มจะเกรี้ยวกราดรอผมแล้วไม่มาตามเวลาสักที
อีกด้านหนึ่ง
เสียงกีต้าร์ดังขึ้นบริเวณหน้าอาคารดนตรี มันถือว่าเป็นเรื่องปกติของนักศึกษาเอกดนตรีที่จะมาซ้อมดนตรีเล็กน้อยก่อนเข้าไปในห้องซ้อมจริงจัง ส่วนใหญ่มีกีต้าร์และเครื่องเป่าเท่านั้น เครื่องดนตรีที่พกพาง่ายและดึงดูดคนฟัง พวกเขาจะเอาออกมาเล่นอยู่แล้ว แต่ที่แปลกคือ คนที่เล่นอยู่ไม่ใช่นักศึกษาของมหาวิทยาลัยแห่งนี้แต่เป็นเพื่อนของปอแก้วอย่างนอร์ทนั่นเอง
ผมดีดกีต้าร์รอเวลาที่ปอแก้วเดินเข้าอาคารดนตรีซึ่งเป็นอาคารของสาขาวิชานี้ ผมมาถึงที่คณะสาขานี้ก็ต้องงัดวิชาเอกเขามาเล่นสักหน่อย ผมร้องเพลงที่ผมชอบพร้อมดีดกีต้าร์ เปิดเนื้อเพลงจากโทรศัพท์ ร้องเสียงกลาง ๆ ไม่ดังมากจะได้ไม่รบกวนคนอื่น ผมบอกเลยว่าเสียงผมร้องได้ไม่แย่มาก คนฟังไม่ต่อว่าผมหรอก ในขณะที่ผมกำลังร้องเพลงอยู่ ผมเห็นปลายเท้าเดินเข้ามา ผู้ชายตรงหน้าใส่รองเท้าผ้าใบสีขาว ขาผอมเรียวมาก ใส่ชุดนักศึกษาแบบกึ่งทางการ ใส่รองเท้าผ้าใบและไม่มีเทคไนเข้ามาหาผม ผมเงยหน้าขึ้นมาบอกเลยว่าผมหยุดและมองเลยเพราะหน้าตาเขาคุ้นเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
“มีอะไรเหรอครับ”
“ร้องได้นะแต่ไม่ดีกว่า...”
“นายว่าไงนะ”