วันต่อมา จันทร์ศิตางค์แต่งตัวสวยพริ้งในชุดแซกสีดำเข้ารูปเสื้อแขนในตัว ความสั้นเหนือหัวเข่าขึ้นไปประมาณหนึ่งคืบ เผยขาเรียวยาวขาวเนียนสวย และชุดสีดำขับผิวพรรณที่ขาวผุดผ่องได้เป็นอย่างดี ส่วนผมนั้นเธอจับมัดรวบตึงขึ้นไปไว้กลางศีรษะแบบหางม้า แต่งหน้าสวยจัดเน้นดวงตาคมเฉี่ยว ส่วนริมฝีปากเอิบอิ่มด้วย ลิปกลอสสีนู้ดชมพู เมื่อแต่งตัวเสร็จก็จัดแจงเอกสารเพื่อเตรียมสมัครงาน และแน่นอนว่าเธอไม่ให้วุฒิปริญญาตรี ทว่าใช้วุฒิ ม.6 สำหรับสมัครงาน เพราะงานที่จะทำนั้นเป็นเพียงพี่เลี้ยงและแม่บ้านเท่านั้น พอเตรียมทุกอย่างเสร็จแล้วเธอจึงก้าวออกไปจากห้องนอนด้วยท่าทีมาดมั่น
จันทร์ศิตางค์เดินลงมาถึงชั้นล่างของบ้านและตรงไปที่ห้องอาหาร เพราะเวลานี้ยังคงเช้าตรู่ คาดว่าบิดาละพี่ชายยังคงรับประทานอาหารกันอยู่ และทันทีที่เธอเข้าไปถึงพี่ชายสุดหล่อของเธอแทบจะลำลักกาแฟซึ่งกำลังจะยกดื่ม มองมาที่เธอ ตาค้างเลยทีเดียว
แค๊ก! แค๊ก! แค๊ก! พี่ชายทำทีสำลักและไอออกมา ก่อนจะวางแก้วกาแฟนั้นแล้ว แซวน้องสาวคนสวยทันที
“เอ่อ จะไปไหนครับคุณผู้หญิง วันนี้แต่งตัวสวยและมีราคามาก” ตะวันรอนชมจากใจจริงแม้จะเหน็บแนมด้วยคำว่าคุณผู้หญิงก็ตาม
“ปกติจันทร์เป็นคนมีราคาอยู่แล้วค่ะ และตอนนี้ยังไม่บอก จันทร์จะไปทำธุระ” จันทร์ศิตางค์ตอบเสียงเรียบก่อนจะเดินมาข้างๆ บิดา
“ธุระอะไรแต่งตัวสวยขนาดนี้จันทร์เจ้าขา” บิดาเอ่ยถามพลางเรียกชื่อเล่นที่แสนจะน่ารัก
“ก็ธุระไงคะคุณพ่อ เอาเป็นว่าอย่าเพิ่งรู้ ให้จันทร์เจ้าขาจัดการกับธุระให้เสร็จลุล่วงเสียก่อน แล้วจะมาบอกทีหลัง” เธอบอกเสียงเรียบอีกครั้ง ขณะเดียวกันแม่บ้าน ก็เดินมาหา
“คุณหนูจันทร์เจ้าขาจะรับอะไรดีคะ โจ๊กหรือกาแฟ” แม่บ้านวัยเดียวกับบิดาถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“จันทร์ขอกาแฟดีกว่าค่ะ ขอบคุณค่ะ” จันทร์ศิตางค์ตอบกลับอย่างอ่อนโยนเช่นกัน แม่บ้านจึงรีบไปจัดการเอากาแฟออกมาเสิร์ฟ ไม่นานนักจันทร์ศิตางค์ก็ได้ ดื่มกาแฟสมใจ
“จันทร์จะเข้าบ้านช่วงบ่ายๆ นะคะคุณพ่อ”
“แล้วแกจะไม่เข้าไปดูบริษัทช่วยพี่กับพ่อหน่อยเหรอ แต่งตัวสวยขนาดนี้ พี่ว่าแกต้องไปเที่ยวช้อปปิ้งมากกว่าไหม” พี่ชายถามด้วยความสงสัย ทว่าเธอกลับ ชักสีหน้ากวนๆ ใส่
“จันทร์มีธุระของจันทร์ งานเดี๋ยวค่อยทำ พนักงานเต็มบริษัทไม่มีปัญญาช่วยพี่รอนกับพ่อหรือไง ถ้าใครไม่มีปัญญาช่วยนะไล่ออกไปเลยไป” ดูเหมือนเธอ จะไม่พอใจ อีกอย่างเธอเพิ่งกลับจากเมืองนอกและอยากจะขอพักสักระยะ ค่อย เข้าไปช่วยดูแลบริษัท และพูดถูกที่ว่าพนักงานเยอะแยะ
“พูดซะ เถียงไม่ได้เลยว่ะ จะไปไหนก็ไปเลย ไม่แคร์ก็ได้วะ” พี่ชายบอกอย่างงอนเง้าเล็กน้อยไม่ได้จริงจัง
“งั้นจันทร์ไปนะคะคุณพ่อ ไปนะพี่รอน เชอะ” เธอบอกอีกครั้งก่อนจะยกกาแฟขึ้นดื่มจนหมดแก้วแล้วสะบัดหน้าพี่ชายเล็กน้อย จากนั้นจึงลุกไปจากโต๊ะทานอาหารทันที ทำให้บิดาอดขำไม่ได้ ทั้งพี่และน้องแม้จะดูเหมือนคู่กัดแต่ก็รักกันอย่าบอกใครเชียว พี่ก็แขวะเก่ง น้องก็กวนแบบไม่แยแสอีกต่างหาก
“แกนี่เคยพูดเพราะๆ กับน้องบ้างหรือเปล่า น้องเรามันเป็นผู้หญิงนะโว้ย” บิดาอดว่าให้ไม่ได้
“แหมคุณพ่อ ผมก็พูดกับยัยจันทร์แบบนี้เป็นประจำ นึกว่าจะชินแล้วเสียอีก พี่น้องสนิทกันก็ต้องพูดอย่างนี้แหละครับ”
“เผื่อน้องอยากได้ยินคำเพราะๆ จากปากแกไง”
“โอเคครับจะพยายามไม่กวนบาทาน้อง” ตะวันรอนตอบแบบกวนประสาทเช่นเดิมแม้จะรับคำเป็นมั่นเหมาะ แต่ก็นั่นล่ะเพราะรักจึงหยอกเย้า ทว่าเวลานี้ก็อดเป็นห่วงน้องสาวไม่ได้ เพราะเขาและบิดาแท้ๆ ที่เอาปัญหามารุมเร้าน้องสาวเช่นนี้ ถึงสีหน้าจะมีรอยยิ้ม คำพูดจาจะกวนประสาทพอกัน แต่เขาก็รับรู้ได้ว่าน้องกำลัง เป็นทุกข์ซึ่งเกิดจากเรื่องเมื่อวานที่ได้ยินนั่นเอง
ขณะเดียวกัน ทางจันทร์ศิตางค์ได้ขับรถออกมาจากบ้านด้วยตัวเอง โดยไม่ให้คนขับรถไปส่ง เนื่องจากว่าธุระของเธอนั้นไม่สามารถบอกใครได้ ไม่อย่างนั้นล่ะก็เป็นได้อกแตกตายแน่ๆ นั่นเพราะเธอกำลังจะไปสมัครงานนั่นเอง และงานที่จะทำไม่ใช่งานที่เงินเดือนสูงเหมาะสมกับวุฒิปริญญาโทที่คว้ามาเลย
จุดหมายปลายทางที่จันทร์ศิตางค์จะเดินทางไปนั้นคือบริษัทหลักทรัพย์ เกริกเกียรตินั่นเอง แน่นอนว่าจะไปสมัครงาน ดูสิว่าจะรับเธอเข้าทำงานหรือไม่ จากนั้นก็ใช้เวลาขับรถอยู่นานพอสมควรเพราะกว่าออกจากบ้านค่อนข้างสาย อีกอย่างไม่ได้อยู่กรุงเทพฯ นาน มันทำให้เธอลืมเส้นทางนิดหน่อย แต่ยังดีที่รถมี GPS เอาไว้บอกทาง ให้รู้ว่าบริษัทนี้ตั้งอยู่ตรงไหน กระทั่งผ่านไปเกือบห้าสิบนาที
จันทร์ศิตางค์ขับรถมาถึงหน้าบริษัทที่ว่านี้ และจอดรถอยู่ตรงลานจอดรถด้านหน้า ลักษณะของบริษัทนี้คล้ายกับธนาคารดีๆ นี่เองแต่มีหลายสิบชั้น แต่มันก็ยังไม่ใช่ธนาคารเสียทีเดียว เธอก้าวออกมาจากรถและมองไปเบื้องหน้าพร้อมกับยิ้มกริ่มอย่างมีแผน ก่อนจะเดินเข้าไปในบริษัทผ่านยามเฝ้าประตูหน้าทางเข้า ทว่าสายตาดันเหลือบเห็นป้ายปิดประกาศรับสมัครแม่บ้านและพี่เลี้ยงเข้าพอดี แสดงว่ายังหาไม่ได้สินะ เธอคิด จากนั้นจึงเดินเข้าไปข้างใน แล้วเมื่อเจอกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์จึงได้สอบถามข้อมูล ทว่าทุกคนกลับหันมามองเธอเป็นตาเดียว เพราะว่าเธอสวยมาก ราวกับนางแบบก็ไม่ปาน แต่เธอลืมไปว่าจะมาสมัครเป็นแม่บ้านทำให้แต่งตัวซะสวยเชียว
“สวัสดีค่ะ ดิฉันมาสมัครงานต้องไปที่แผนกไหนคะ” จันทร์ศิตางค์ถาม ด้วยน้ำเสียงหวานแต่มาดมั่น ใบหน้าเชิดเล็กน้อยพอให้ดูสง่าน่าเกรงขาม
“เอ่อ ช่วงนี้เรายังไม่ได้เปิดรับสมัครพนักงานน่ะค่ะ” พนักงานสาวตอบกลับอย่างสุภาพ
“เอ เห็นที่หน้าบริษัทปิดป้ายเอาไว้ไม่ใช่เหรอคะ หรือว่าดิฉันเข้าใจผิด”
“หา! ว่าไงนะคะ นั่นสมัครพี่เลี้ยงค่ะ” พนักงานสาวบอกด้วยความตกใจเพราะไม่คิดว่าผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าจะมาสมัครงานแบบนี้
“ใช่เลยค่ะ ดิฉันมาสมัครตำแหน่งนี้แหละค่ะ” จันทร์ศิตางค์ตอบและยิ้มหวานให้
“หา! เอ่อคือ” พนักงานแทบจะพูดไม่ออกเพราะจันทร์ศิตางค์สวยเกินไป และถือว่าสวยมากเสียด้วยซ้ำ ดูมีการศึกษาสูงไม่น่าจะมาสมัครในตำแหน่งที่ว่านี้เลย
“ไม่ทราบว่าดิฉันต้องไปสมัครตรงแผนกไหนเหรอคะ”
“คือ คือ เอ่อ ถ้าอย่างนั้นรอสักครู่นะคะ ฉันขอโทรศัพท์ขึ้นไปแจ้ง ท่านประธานบนห้องก่อน”
“ได้ค่ะ ขอบคุณมากค่ะ” จากนั้นพนักงานสาวก็รีบยกหูโทรศัพท์โทรขึ้นไปแจ้งกับท่านประธานที่ว่านี้ทันที ชั่วครู่เท่านั้นเธอก็วางสายและรีบหันมาบอกจันทร์ศิตางค์
“เชิญที่ชั้นยี่สิบห้องทำงานของท่านประธานเลยนะคะ เดี๋ยวจะมีเลขาบอกด้วย”
“ห้องทำงานท่านประธานเหรอคะ” จันทร์ศิตางค์ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงให้ไปที่ห้องท่านประธาน แต่ไม่อยากถามมากความ
“ใช่ค่ะเชิญค่ะ ขึ้นลิฟต์ไปได้เลยค่ะ”
“ขอบคุณนะคะ” จันทร์ศิตางค์บอกและยิ้มหวานอีกครั้งก่อนจะเดินตรงไปยังลิฟต์ซึ่งอยู่ด้านข้างนั่นเอง ขณะเดียวกันพนักงานประชาสัมพันธ์ยังนึกสงสัยอยู่ว่าสวยระดับนางฟ้าขนาดนี้จะมาเป็นแม่บ้าน หรือว่าสวยแต่โง่ หรือไม่ก็เรียนน้อยหรือเปล่า แต่บุคลิกดูไฮโซมากนี่นะ