ตุ้บ...
ร่างบางถูกวางลงบนเตียงอย่างเบามือ นนท์นธีนั่งลงกับพื้น เขายกขาเธอขึ้นมาดูก็พบว่าบริเวณข้อเท้าบวมแดง หวานเย็นแอบยิ้มที่เห็นเขาปฏิบัติกับเธออย่างอ่อนโยน ชายหนุ่มลุกขึ้นไปเปิดลิ้นชักที่โต๊ะตรงหัวเตียงแล้วหยิบยานวดบรรเทาอาการปวดออกมา
“ดูท่าจะข้อเท้าแพลงนะ”
“ต้องใส่เฝือกหรือเปล่าพี่นนท์”
“แค่ข้อเท้าแพลงไม่ใช่กระดูกหัก ไม่ต้องใส่หรอกน่า”
หวานเย็นแอบเสียดาย เธอจะอ้อนเขาให้เต็มที่เสียหน่อยหากต้องใส่เฝือกจนขยับไม่ได้
“เดี๋ยวทายาไปก่อนจะได้ไม่เจ็บมาก พออาบน้ำเสร็จฉันจะพาไปหาหมอในเมือง คงต้องให้หมอตรวจดูให้แน่ใจอีกที”
นนท์นธีบอกหลังจากนวดยาตรงข้อเท้าให้เธอแล้ว มือเขาเบากว่าที่คิด หญิงสาวแทบไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดเลย
“พี่นนท์ ช่วยอะไรฉันอีกอย่างได้ไหม”
“อะไรอีกล่ะ”
เขาถามเสียงขุ่น ขณะที่กำลังเก็บยานวดใส่ลิ้นชักตามเดิม หวานเย็นเหยียดยิ้มอย่างมีแผน นัยน์ตาเจ้าเล่ห์มองร่างกายของชายหนุ่มปานจะกลืนกิน
“พาฉันไปที่ตู้เสื้อผ้าหน่อยสิ ฉันอยากใส่เสื้อผ้าแล้ว ตอนนี้รู้สึกเหมือนนั่งแก้ผ้ายังไงไม่รู้”
คำพูดของเธอทำให้เขาเผลอเงยหน้ามองสภาพของเธอในตอนนี้ไปอย่างลืมตัว หวานเย็นแกล้งยกขาขึ้นสูงเล็กน้อยจนผ้าขนหนูถลกขึ้นไปเกินครึ่งขาอ่อน เผยให้เห็นเรียวขายาวสวย นนท์นธีมองตาไม่กะพริบ
“สร้างปัญหาจริงนะ”
เขาสะบัดหัวไล่ความคิดประหลาดที่แวบเข้ามา ก่อนจะลุกขึ้นประคองหญิงสาวไปที่ตู้เสื้อผ้า เธอเดินกะเผลกๆ มือข้างหนึ่งกอดคอเขาเอาไว้
“ขอบคุณนะพี่นนท์ ถ้าไม่ได้พี่ฉันต้องแย่แน่ๆ”
“รู้ตัวก็ดี วันหลังก็หัดระวังซะบ้าง จะได้ไม่สร้างปัญหาให้ฉันบ่อยนัก” พูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก็เดินเข้าห้องน้ำไป หวานเย็นมองตามแล้วอมยิ้มมีความสุข
“น่ารักจังเลยแฮะ”
เธอพูดกับตัวเอง เห็นเขาเขินจนหน้าแดงเวลาที่เธอแกล้งอ่อยเราก็อดเอ็นดูไม่ได้ ยิ่งพอได้ลองจินตนาการเวลาที่ได้อยู่ในอ้อมแขนของเขาเธอก็ยิ่งใจเต้นระรัว
ยุคนี้ต้องด้านได้อายอดเท่านั้น! ขืนมัวแต่ทำเหนียม เธออาจจะต้องเสียเขาให้ผู้หญิงคนอื่นไปอีกก็เป็นได้ หวานเย็นจะไม่ยอมให้เป็นแบบนั้นอีกแล้ว
นนท์นธีต้องเป็นของเธอคนเดียวเท่านั้น!
“ฮึบ! ใส่ยากจริงวุ้ย”
บ่นอุบขณะกำลังพยายามใส่กางเกงสามส่วน โดยต้องระวังไม่ทิ้งน้ำหนักตัวลงไปที่ขาขวามากจนเกินไป
ด้านนนท์นธีที่อยู่ในห้องน้ำ เขายืนผ่อนลมหายใจเข้าออกอยู่หน้ากระจกมาหลายนาทีแล้ว เหตุผลก็เพราะมังกรของเขาที่กำลังผงาดดันเนื้อผ้าออกมาอยู่ในตอนนี้นั่นเอง เขาไม่ใช่พระอิฐพระปูนนะ และหวานเย็นก็ไม่ใช่คนขี้ริ้วขี้เหล่ ตรงกันข้าม เธอสวยสะพรั่งสมวัยและมีร่างกายที่งดงามน่ามองเกินกว่าเขาจะปล่อยผ่านไปได้ เรียวขาสวยและหน้าอกหน้าใจที่ใหญ่เกินตัวนั่นสร้างความปั่นป่วนในใจเขาไม่น้อย
“ยัยลิงนั่น...โตขนาดนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ”
นนท์นธีถอนหายใจเป็นรอบที่ล้านเห็นจะได้ เขากำลังรอคอยให้ตัวเองสงบลงมากกว่านี้ก่อน เพราะขืนออกไปเจอหญิงสาวทั้งๆ แบบนี้ เขากลัวว่าตัวเองจะอดใจไม่ไหวและเผลอทำอะไรที่ไม่สมควรลงไป
เธอเป็นภรรยาแค่ในนามเท่านั้น เขาไม่มีสิทธิ์แตะต้องอะไรในตัวเธอสักอย่าง ชายหนุ่มพยายามท่องประโยคเหล่านี้ให้ขึ้นใจ
“พี่นนท์ขา เสร็จหรือยัง อุ้มฉันลงไปข้างล่างหน่อยสิ”
ทั้งที่เขากำลังพยายามหักห้ามใจแท้ๆ แต่ไหงเธอถึงทำตัวเหมือนแกล้งกันแบบนี้!
โรงพยาบาล
“จากผลเอ็กซเรย์ก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงนะครับ แค่ข้อเท้าแพลงเท่านั้น ยังไงก็งดเดิน งดใช้ขาขวาสักเจ็ดวันและกินยาตามหมอสั่งเดี๋ยวก็หายครับ”
คุณหมอแจกแจงอาการของหวานเย็น เบื้องต้นพยาบาลได้ทำการพันผ้าที่ข้อเท้าเพื่อกันกระแทกไว้ให้เธอแล้ว ทั้งคู่เอ่ยขอบคุณหมอที่รักษาก่อนที่นนท์นธีจะเข็นรถเข็นพาเธอออกมารอรับยาที่ด้านนอก
“พี่ได้ยินใช่ไหม คุณหมอบอกว่าหวานห้ามเดินเจ็ดวันเลยนะ”
“หวาน?”
นนท์นธีทวนคำ เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินเธอเรียกแทนตัวเองด้วยชื่อแบบนี้ เขามองเธอด้วยสายตาแปลกใจ หวานเย็นที่คิดไม่ถึงว่าเขาจะจับสังเกตได้ไวขนาดนี้เกิดอาการเลิ่กลั่ก
“กะ...ก็เราแต่งงานกันแล้วนี่คะ ถ้ายังทำตัวเหมือนเดิมคุณย่าหรือคนอื่นๆ อาจจะสงสัยได้ หวานก็แค่คิดว่า...เราน่าจะมีการเปลี่ยนแปลงระหว่างกันบ้าง”
เธอตอบอ้อมแอ้ม อันที่จริงระหว่างที่รอเขาอาบน้ำ เธอแอบค้นข้อมูลวิธีพิชิตใจชายหนุ่มมาพอสมควร แต่สำหรับคนที่เติบโตมาด้วยกันเหมือนเพื่อนและพี่น้องอย่างเธอกับเขา สิ่งแรกที่ควรทำคือการสร้างความแปลกใหม่ระหว่างกัน เพื่อให้อีกฝ่ายมองตนเองเป็นเพศตรงข้ามบ้าง
“ที่เธอพูดมามันก็ถูก แต่มันก็แค่สามเดือนเองนะ เราจำเป็นต้องทำอะไรขนาดนั้นเลยเหรอ”
“จำเป็นสิพี่นนท์!” หวานเย็นเสียงดัง นนท์นธีรีบเอ็ดเธอทางสายตาเพื่อให้เบาเสียงลง
“ถึงจะแค่สามเดือน แต่เพื่อคุณย่า เราต้องทำนะ” หญิงสาวยกเอาคุณย่าเอื้องฟ้ามาพูด
“แล้วฉันต้องทำยังไงบ้างล่ะ ถ้าเธอเรียกแทนตัวเองด้วยชื่อ งั้นฉัน...”
“พี่ไง พี่นนท์ก็...เรียกแทนตัวเองว่าพี่กับหวานไงคะ”
เป็นอีกครั้งที่เธอทำให้นนท์นธีประหลาดใจกับการพูดจามีหางเสียง ปกติหวานเย็นจะเป็นคนพูดจาห้วนๆ ไม่ค่อยลงท้ายเพราะๆ เวลาคุยกับเขาสักเท่าไหร่ จู่ๆ มาทำตัวน่ารักพูดจาอ่อนหวานแบบนี้ก็เล่นเอาเขาไปไม่เป็นเหมือนกัน
“เอางั้นก็ได้ เพื่อคุณย่า”
“ค่ะ เพื่อคุณย่า”
หวานเย็นดีใจที่ทุกอย่างเป็นไปตามแผน เธอไม่ยอมหุบยิ้มเลยสักวินาทีเดียวจนนนท์นธีต้องบีบแก้มเธอเบาๆ เพื่อให้เธอเลิกยิ้ม
“หยุดยิ้มได้แล้ว แมลงวันจะบินเข้าปากอยู่แล้วรู้ไหม”
“ก็หวานมีความสุขนี่นา มีความสุขก็ต้องยิ้มสิคะ จะให้ร้องไห้เหรอ”
“มีความสุขเรื่องอะไร?”
“ก็...ที่ระหว่างเรามีการเปลี่ยนแปลงบ้างแล้ว”
เธอตอบออกไปตรงๆ พร้อมกับสบสายตากับเขา ชายหนุ่มจ้องมองเธอนิ่ง เขาไม่รู้เลยว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ ทุกอย่างที่เธอทำและแสดงออกมามันดูทีเล่นทีจริงไปเสียหมด
“เดี๋ยวพี่ไปรับยาให้ รออยู่ตรงนี้นะ”
“หวานขาเจ็บอยู่แบบนี้ คงไปวิ่งซนที่ไหนไม่ได้หรอกค่ะ”
เธอตอบเมื่อเห็นเขากำชับราวกับเธอเป็นเด็กน้อย นนท์นธีรีบลุกไปรับยามาให้เธอ แม้จะรู้สึกแปลกๆ กับทีท่าที่เปลี่ยนไปของหญิงสาว แต่นนท์นธีก็ไม่ได้คิดถึงขั้นว่าจะมีอะไรแอบแฝงอยู่ในการเปลี่ยนแปลงนั้น
“ไอ้นนท์! ไอ้นนท์ใช่ไหมเนี่ย”
เสียงทุ้มต่ำที่ไม่ได้ยินมานานดังขึ้น นนท์นธีหันไปมองตามเสียงเรียกก็พบว่าเขาคือ ‘เดชาธร’ หรือ ‘เดช’ เพื่อสมัยเด็กที่โตมาด้วยกันกับเขาและหวานเย็น เมื่อก่อนทั้งสามคนจะเล่นด้วยกันบ่อยๆ โดยเฉพาะเดชกับหวานเย็น ที่มักจะเป็นคู่หูคู่ซี้ในการเล่นอะไรแผลงๆ จนถูกพวกผู้ใหญ่ดุอยู่เสมอ
“ไอ้เดช”
เขาเรียกชื่อเพื่อด้วยความดีใจ เดชาธรในชุดกาวน์รีบเดินเข้ามาหา หลังจากเรียนจบชั้นมัธยมปลาย เขาก็ไปเรียนต่อแพทย์ที่อเมริกาและไม่ได้กลับมาอีกเลย การติดต่อของพวกเขาจึงค่อยๆ ขาดหายไปตามกาลเวลา
“มาทำอะไรที่นี่วะเนี่ย คิดไม่ถึงเลยว่าจะได้มาเจอ ฉันกะว่าอาทิตย์หน้าจะเข้าไปหาแกอยู่พอดีเลย”
“แกกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่เห็นส่งข่าวบอกกันเลย”
“สามวันที่แล้วน่ะ พอดียุ่งๆ เรื่องเอกสารเพราะฉันจะย้ายมาเป็นแพทย์ประจำอยู่ที่โรงพยาบาลนี้ แล้วตกลงแกมาทำอะไร ไม่สบายเหรอ”
เดชาธรเอ่ยถามเพื่อนด้วยความเป็นห่วง นนท์นธีสั่นหัวก่อนจะชี้นิ้วไปทางหวานเย็นที่กำลังเพ่งสายตามองมาทางนี้
เธอและเดชาธรต่างก็มองหน้ากันด้วยต่างคนต่างพยายามคิดว่าอีกฝ่ายเป็นใคร พอคิดออก พวกเขาก็อ้าปากหวอและเรียกชื่อกันและกันทันที
“หวานเย็น!”
“พี่เดช!”
ด้วยความดีใจที่ได้เจอพี่ชายที่ไม่ได้เจอกันมานาน หวานเย็นลืมความเจ็บปวดที่ขารีบลุกขึ้นจะวิ่งมาหาเขา ทว่าความเจ็บปวดกลับทำให้เธอเสียหลักจนเกือบล้มซะก่อน โชคดีที่เดชาธรพุ่งเข้าไปรับตัวเธอเอาไว้ได้ทัน
“ยังไม่ระวังตัวเหมือนเดิมเลย”
“พี่เดช พี่เดชจริงๆ ใช่ไหมเนี่ย”
“ตัวจริงเสียงจริงเลยล่ะ ไม่เชื่อลองกอดดูสิ”
“อ๊ายย พี่เดชจริงๆ ด้วย ฉันคิดถึงพี่มากเลยนะเนี่ย” หวานเย็นโผเข้ากอดเขาแน่นอย่างดีใจ ตั้งแต่เด็กๆ แล้ว เวลามีเรื่องอะไรให้ดีใจพวกเขามักจะพุ่งเข้ากอดกันแบบนี้ ความสนิทที่เคยเว้นช่วงไปนานกว่าสิบปีสามารถต่อติดได้โดยเร็ว
หมับ!
กอดกันได้ไม่ถึงสามวินาที นนท์นธีก็เข้ามาดึงคอเสื้อหวานเย็นจากด้านหลังแล้วยกตัวเธอออกมาจากอ้อมกอดของเพื่อนรัก เดชาธรที่กางแขนกอดอากาศอยู่คนเดียวถึงกับแปลกใจ เมื่อก่อนไม่เห็นเคยจะสนใจเวลาที่พวกเขากอดกันเลยสักนิด
“เฮ้ๆ ไม่เอาน่า หมายความว่ายังไง”
เดชาธรมองหน้าทั้งสองคนสลับไปมา หวานเย็นที่คิดเข้าข้างตัวเองไปว่ากำลังโดนหวงอยู่ก็ยิ้มเขินอาย ก่อนจะชูมือข้างซ้ายให้คนถามเห็นแหวนเพชรที่นิ้วนาง
“ฉันกับพี่นนท์...”
“พวกเราแต่งงานกันแล้ว” นนท์นธีจับมือหวานเย็นขึ้นมาโชว์ให้เดชาธรเห็นราวกับกำลังแสดงความเป็นเจ้าของแล้วเป็นคนเอ่ยบอกถึงความสัมพันธ์เสียเอง