สองวันต่อมา
“คุณย่าคะ ได้เวลากินยาก่อนอาหารแล้วนะคะ”
หวานเย็นเดินเข้ามาในห้องของคุณยาเอื้องฟ้าพร้อมแก้วใส่ยาและแก้วน้ำในมือ สองวันมานี้เธอมาค้างที่ไร่เพื่อคอยดูแลคุณย่าอย่างใกล้ชิด
“ขอบใจนะจ๊ะ ถ้าไม่ได้หนู ย่าคงเหงาแย่เลย”
“พูดอะไรแบบนั้น ตอนหนูเด็กๆ คุณย่าก็คอยดูแลหนูบ่อยไป พ่อชอบเที่ยวของหนูคงเอาหนูมาฝากคุณย่าบ่อยเลยสินะคะ”
หญิงสาวพูดไปหัวเราะไป เธอต้องการให้คุณย่าที่เอาแต่นั่งเหม่อมองไปนอกระเบียงได้ยิ้มออกมาบ้าง ตั้งแต่นนท์นธีเข้ากรุงเทพฯ เขาก็ไม่ได้ติดต่อมาอีกเลย ซึ่งหวานเย็นก็ไม่กล้าบอกเรื่องที่เขาไปรับแฟนสาวมาหาคุณย่าเพราะเป็นเรื่องส่วนตัวของชายหนุ่ม จึงได้แต่โกหกไปว่าเขาเข้าไปทำธุระเท่านั้น
“ไม่หรอก เพราะพ่อของหนู ย่าถึงได้หัวเราะได้บ่อยๆ ตานนท์น่ะ...ตั้งแต่เสียพ่อแม่ไปก็กลายเป็นเด็กเงียบขรึม ไม่ค่อยยิ้ม ไม่ค่อยหัวเราะ อยู่กันแค่สองคนย่าหลานทีไรก็มีแต่ความเงียบทุกที แต่ว่า...พอมีหนูเข้ามา ไร่นี้ก็ไม่เงียบอีกเลย”
“นั่นเป็นคำชมหรือเปล่าคะเนี่ย”
หวานเย็นชักไม่แน่ใจว่าคุณย่ากำลังชมเธอหรือไม่ หญิงสาวรับแก้วยาและแก้วน้ำจากคุณย่าไปวางบนโต๊ะ ก่อนจะมานั่งลงบนพื้นข้างเตียงแล้วบีบนวดแขนให้
“ชมสิจ๊ะ ย่าเชื่อว่านธีเองก็ต้องคิดเหมือนกัน ย่าเลี้ยงเขา ย่ารู้ว่าเขาชอบอะไรและไม่ชอบอะไร”
“แต่เรื่องของหนู คุณย่าอาจจะคิดผิดก็ได้นะคะ”
“ไม่หรอกจ้ะ ย่ามั่นใจ”
คุณย่าพยักหน้ายืนยันด้วยรอยยิ้ม หวานเย็นเองก็อยากจะเชื่อแบบนั้น เธออยากจะเชื่อที่คุณย่าบอกว่านนท์นธีชอบเธอ แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมา การกระทำและการแสดงออกของเขาไม่ได้มีตรงไหนใกล้เคียงกับคำว่า ‘ชอบ’ เลยแม้แต่น้อย
ตั้งแต่เด็กๆ มีแต่เธอที่คอยเดินตามเขาต้อยๆ พอพยายามที่จะขึ้นไปเดินเคียงข้าง ก็จะมีผู้หญิงคนอื่นมายืนก่อนเสมอ และท้ายที่สุด...เธอก็จะต้องกลับไปยืนมองเขาจากทางด้านหลังเหมือนเดิม แม้กระทั่งตอนนี้...ผู้หญิงที่เขารักก็ยังเป็นคนอื่นอยู่ดี
ก๊อกก๊อกก๊อก
ประตูห้องถูกเคาะก่อนจะเปิดออก ชายหนุ่มที่ถูกพูดถึงยืนตีหน้าขรึมอยู่ที่ประตู เขายกมือสวัสดีคุณย่าเอื้องฟ้าก่อนจะกวักมือเรียกหวานเย็น
“ยัยลิง ออกมานี่ซิ”
“ไปสิจ๊ะ”
คุณย่าเอื้องฟ้าเอ่ยเมื่อเห็นว่าหวานเย็นเอาแต่มองหน้าคุณย่าไม่ยอมลุกขึ้นไปหาเขา เมื่อได้รับอนุญาต หญิงสาวจึงลุกขึ้นไปหานนท์นธี
“อ๊ะ...”
ทันทีที่เข้าใกล้ เธอก็ยกมือขึ้นอุดจมูกด้วยเหม็นกลิ่นเหล้าที่คละคลุ้งมาจากตัวของร่างสูง นนท์นธีรีบกระชากเธอออกมาจากห้องแล้วปิดประตู
“พี่กินเหล้ามาเหรอ”
หวานเย็นถามพลางจับตัวเขาด้วยความเป็นห่วง สีหน้าของนนท์นธีในตอนนี้ดูไม่ดีเลยสักนิด ราวกับมีเรื่องบางอย่างในใจของเขา
“ไม่ต้องยุ่งหรอก อาการของคุณย่าเป็นยังไงบ้าง”
“ก็ดีนะ แต่คุณย่าเอาแต่นั่งซึมมองออกไปนอกระเบียง ทานข้าวได้น้อยลงด้วย”
“งั้นเหรอ”
นนท์นธีเม้มปากแน่น เขาดูเครียดอย่างเห็นได้ชัด พอเห็นเขาเป็นแบบนี้ หญิงสาวก็อดเป็นห่วงไม่ได้ เธอค่อยๆ เอื้อมมือไปแตะแขนเขา
“พี่เป็นอะไรหรือเปล่า บอกฉันได้นะ”
“สามเดือน”
“หื้ม?”
“หมอบอกว่าคุณย่ามีเวลาอีกแค่สามเดือน เพราะฉะนั้น...เธอกับฉัน...”
“...”
“เราจะแต่งงานกันแค่สามเดือน”
คำพูดที่ออกมาจากปากของนนท์นธีเสมือนนาฬิกาหยุดเวลาชีวิตของเธอ หวานเย็นยืนตาโตอ้าปากค้างมองเขาตาไม่กะพริบจนชายหนุ่มต้องใช้สองมือกดปากเธอให้ปิดลง
“เพื่อให้คุณย่าสบายใจในช่วงสุดท้ายของชีวิต พวกเราจะแต่งงานกัน แต่แค่สามเดือนเท่านั้น หลังจากที่คุณย่าจากไปเมื่อไหร่ พวกเราจะหย่ากันทันที แน่นอนว่าในช่วงเวลาสามเดือนนั้น ฉันจะไม่แตะเธอแม้แต่ปลายก้อย เราจะนอนแยกเตียงกันทุกคืน”
นนท์นธีบอกรายละเอียดข้อตกลงทั้งหมดที่เขาครุ่นคิดมาเป็นอย่างดีแล้วแก่เธอ หวานเย็นที่ได้ฟังดังนั้นก็ขมวดคิ้วด้วยฟังดูทะแม่งๆ
เหมือนจะได้แต่งงาน...แต่ก็เหมือนไม่ได้แต่งงาน เธอคิดในใจ
“พี่กำลังพูดถึง...การแต่งงานแค่ในนามใช่ไหม”
“ใช่” คำตอบของเขาช่างเฉยชาและเลือดเย็นเสียจริง
หวานเย็นได้แต่แกล้งยิ้ม เก็บอารมณ์ความน้อยเนื้อต่ำใจที่สะสมอยู่เอาไว้ แม้อยากจะปฏิเสธเขาใจแทบขาด แต่ความกตัญญูและความรักที่เธอมีต่อคุณย่า เอื้องฟ้าก็ทำให้เธอต้องห้ามปากตัวเองเอาไว้
“ก็ได้ค่ะ เพื่อคุณย่า ฉันจะ...แต่งงานกับพี่”
นนท์นธีมองหน้าหญิงสาวที่ให้คำตอบกลับมาในทันทีด้วยสีหน้านิ่ง นัยน์ตาของเขาสะท้อนภาพของหวานเย็นอยู่ในนั้น
“แน่ใจนะ จะไม่ขอเวลาไปคิดทบทวนหน่อยเหรอ”
“ทำไมต้องคิดล่ะ พี่ไม่ใช่คนอื่นสักหน่อย เราเห็นกันมาตั้งแต่เด็กๆ ถ้าฉันต้องไปแต่งงานกับใครที่ไหนก็ไม่รู้สิถึงค่อยคิดหนัก”
“แต่นี่มันคือการแต่งงานเลยนะ อย่างน้อยเธอก็น่าจะอยากแต่งงานกับคนที่เธอรักไม่ใช่หรือไง”
หญิงสาวเบือนหน้าหนี ไม่รู้ทำไมคำพูดของเขาถึงทำให้เธออยากจะร้องไห้นัก ทั้งที่ตอนเรียนก็ได้รางวัลนักเรียนเรียนดีมาตลอดแท้ๆ แต่ทำไมเขาถึงดูเธอไม่ออกเสียที
“ช่างฉันเถอะน่า ฉันบอกแต่งก็คือแต่ง เรื่องอื่นพี่ไม่ต้องห่วงหรอก”
“ถึงเธอจะทโมนแค่ไหนแต่เธอก็เป็นผู้หญิงนะ เรื่องแบบนี้สำคัญสำหรับผู้หญิงมาก แล้วจะไม่ให้ฉันห่วงได้ยังไง”
“ไอ้พี่บ้า”
“อะไรนะ?”
“ฉันจะกลับแล้ว ที่เหลือพี่ก็บอกคุณย่าเองแล้วกัน เอาเป็นว่าฉันตกลงตามที่พี่บอกทุกอย่าง”
หวานเย็นร่ายยาวเป็นชุดก่อนจะรีบวิ่งลงบันไดไปโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้าสบตากับนนท์นธีสักวินาทีเดียว ชายหนุ่มมองตามหลังเธอด้วยความกังวล เขากลัวว่าการตัดสินใจแบบนี้จะดูเห็นแก่ตัวเกินไปสำหรับเธอ เพราหากในใจเธอตอนนี้มีชายคนรักอยู่ การต้องมาแต่งงานกับเขาเพื่อให้คุณย่าได้สมหวังและมีความสุขก่อนจากไปคงจะใจร้ายกับเธอไม่น้อย
“ยัยนั่น...แอบรักใครอยู่บ้างไหมนะ”
เขาครุ่นคิด