ร่างเล็กของจินเจาถูกลากออกมาจากโรงเก็บฟืนพร้อมกับผ้าห่มผืนโตที่นางตั้งใจนำมาให้หลินจื่อเว่ย หลังจากนั้นประตูโรงเก็บฟืนก็ถูกปิดเสียจนแน่นหนา
หลินจื่อเว่ยได้ยินเสียงร้องไห้ของจินเจาดังขึ้น แม้นางจะอ้อนวอนบ่าวเสี่ยวมี่และเสี่ยวมิ่งเพียงใดสตรีใจเหี้ยมโหดสองคนนั้นก็ยังไร้ความปรานี
หลินจื่อเว่ยได้ยินเสียงบ่าวเสี่ยวมี่กำชับกับทหารเสียงดัง
"เฝ้านางเอาไว้ให้ดีในสามวันนี้ห้ามให้ข้าวให้น้ำแก่นาง"
หลินจื่อเว่ยนั่งลงช้า ๆ หลับตาอย่างสงบแล้วฟังเสียงของจินเจาร้องไห้อยู่ด้านนอกเงียบ ๆ นางเองก็ไม่ได้เอ่ยคำใดออกไป การใช้ชีวิตอย่างสงบมาตลอดสองร้อยปี ทั้งยังถูกฝึกอย่างหนักให้มีจิตใจจรดจ่อไม่หวาดกลัวสิ่งใดง่าย ๆ จากไต้ซือผู้ตบะแข็งกล้า ทำให้บัดนี้นางมิใช่คนเดิมที่ดำเนินชีวิตด้วยจิตใจที่ร้อนรุ่มเช่นเคย
ยามนี้นางต้องทำใจให้สงบ ไม่อาจตื่นตระหนกและคิดวางแผนให้ดี เพื่อเอาตัวรอดให้ได้นางต้องสงบเสงี่ยมเจียมตนแม้ใจจะโกรธแค้น อย่างน้อยก็เพื่อให้ร่างกายอ่อนแอนี้ยังรักษาชีวิตเอาไว้ได้
หากนางตายแล้วย่อมไม่มีโอกาสไถ่โทษ กระดานหมากนี้นางไม่อาจล้มด้วยมือตนเองได้
หลินจื่อเว่ยรอจนกระทั่งเสียงร้องไห้ของบ่าวผู้ซื่อสัตย์ค่อย ๆ เบาลงจึงเดินไปเคาะประตูเบา ๆ จินเจาผวาเข้ามาใบหน้าแนบประตูที่เย็นจัด
“ท่านหญิง ท่านหนาวหรือเจ้าคะ”
หลินจื่อเว่ยเอ่ยด้วยน้ำเสียงแม้จะแหบแห้งไปบ้างแต่ก็ยังเปล่งเสียงออกมาได้ชัดทุกถ้อยคำ
“จินเจาไม่ต้องห่วงข้า เจ้าไปเถิดข้าไม่เป็นไร จำสิ่งที่ข้ากำชับได้หรือไม่”
บ่าวสองคนของพระชายาเลี่ยงลี่เงี่ยหูฟังว่าหลินจื่อเว่ยสั่งสิ่งใดกับจินเจาเพื่อเอาไปรายงาน
หลินจื่อเว่ยย่อมรู้ว่าคนพวกนั้นยังอยู่ จึงเอ่ยต่อว่า
“ข้าสั่งเจ้าว่าอย่าสนใจข้าอีก ข้าอาจตายวันตายพรุ่งแล้ว ร่างกายของข้าไม่อาจรับไหวเจ้าเองต้องมีชีวิตอยู่เพื่อจัดงานศพของข้ามิใช่หรือ”
บ่าวสองคนหัวเราะหยัน สตรีนางนี้คงรู้ตัวดีสินะว่าไม่อาจทนไหวได้ จึงสั่งเสียบ่าวของตนเช่นนี้
จินเจาย่อมรู้ว่าคำว่าจัดงานศพนั้นหมายถึงสิ่งใด นางยังต้องจัดการเรื่องที่ท่านหญิงสั่งเอาไว้ ดังนั้นจึงพยักหน้ารับคำ
“ท่านหญิง บ่าวจะทำให้ดีที่สุดเจ้าค่ะ เช่นนั้นบ่าวไปก่อนนะเจ้าคะ”
เสียงเล็กแหบแห้งเอ่ยอย่างระโหยโรยแรง
“อืม ไปเถิดไม่ต้องห่วงข้าแล้ว”
“เจ้าค่ะ”
จินเจารับคำในลำคอแผ่วเบา แล้วลุกขึ้นยามนี้คงมีเพียงการเชื่อฟังท่านหญิงเท่านั้นที่ตนเองสามารถทำได้
ทุกสิ่งมิใช่ท่านหญิงได้วางแผนเอาไว้แล้วหรอกหรือ
หลังจากสั่งจินเจาเสร็จหลินจื่อเว่ยก็ไม่ได้เอ่ยคำใดอีก เสี่ยวมี่และเสี่ยวมิ่งเองก็ไม่ได้แตะต้องร่างกายของหลินจื่อเว่ยแม้แต่ปลายนิ้ว ด้วยได้รับคำสั่งจากผู้เป็นนายของตนเอง
ห้ามทำร้ายหลินจื่อเว่ยเด็ดขาด เพราะตอนนี้พระชายาเลี่ยงลี่กำลังเล่นบทบาทแม่เลี้ยงผู้มีใจเมตตาเพื่อตบตาท่านอ๋อง เพราะน้ำใจอันประเสริฐของพระชายาคนใหม่นับวันหลินอ๋องยิ่งมองเห็นความดีนี้ของเลี่ยงลี่และรักนางขึ้นทุกวัน
หลินจื่อเว่ยเองก็เข้าใจเรื่องนี้กระจ่าง ยามที่นางเป็นอดีตฮองเฮา เมื่ออยู่ต่อหน้าฝ่าบาทและไทเฮานางเองก็ไม่เคยแตะต้องทำร้ายลูกเลี้ยง ยังรับเด็กคนนั้นมาเลี้ยงในตำหนักตนเองด้วยซ้ำ
ไม่น่าเชื่อว่าผ่านมาสองร้อยปีแล้ว แต่แม่เลี้ยงใจร้ายก็ยังใช้แผนเก่าคร่ำครึนี่ดังเดิม
หลินจื่อเว่ยค่อย ๆ ถอดอาภรณ์ที่เปียกชื้นออกกระทั่งเหลือชุดหนังที่ใส่เอาไว้ภายใน เพราะร่างกายนี้ทั้งบอบบางทั้งไร้กล้ามเนื้อ ทุกส่วนดูราวกับไร้กระดูกและนุ่มนิ่มยิ่งกว่าเต้าหู้ เมื่อเสื้อผ้าถูกถอดออกเช่นนี้นางจึงหนาวจนสั่นระริก
นางคว้าเสื้อคลุมขนเตียวของหลินหลงมาคลุม คลี่เสื้อผ้าเปียกชื้นออกแล้วมองหาช่องลมที่พัดเอาความหนาวเข้ามา หลังจากนั้นก็นำเสื้อผ้าที่เปียกไปกางออกแล้วอุดช่องลมตรงนั้น
การทำเช่นนี้ทำให้นางได้ประโยชน์สองอย่างในเวลาเดียวกัน เสื้อผ้าได้ผึ่งลมและแห้งเร็วยังช่วยกันลมหนาวที่พัดโชยเข้ามาภายในได้อีกด้วย
หลังจากนั้นนางก็หามุมหนึ่งในเรือนเก็บฟืน นำฟืนมากองกั้นลมอีกรอบหนึ่ง เหลือเพียงช่องแคบ ๆ ให้ตนเองขดกายอยู่ตรงนั้น อาการมือเท้าเย็นกำเริบขึ้นอีกครั้ง หลินจื่อเว่ยมองมือที่แดงก่ำของตนเองก็ได้แต่อดทนเอาไว้เมื่อนิ้วทั้งห้าของนางชาจนแทบจะขยับไม่ได้
ในขณะที่เท้าทั้งสองข้างก็เย็นเยียบจนนางแทบจะไร้ความรู้สึกอยู่แล้ว หลินจื่อเว่ยพยายามไม่ขยับตัวมากคิดว่าหากตนเองหลับไปความรู้สึกหนาวเย็นเสียดกระดูก เหล่านี้ก็คงจะหายไปด้วย
เมื่อคิดได้เช่นนี้หลินจื่อเว่ยนำยาลูกกลอนออกมากิน ดึงน้ำเต้าขวดเล็กที่จินเจาเตรียมเอาไว้ให้ออกมาจากบั้นเอว น้ำเต้านี้เป็นยาต้มเพื่อรักษาอาการมือเท้าเย็น รสชาติย่ำแย่จนแทบจะอาเจียน นางเป็นคนจัดยาและเคี่ยวเองกับมือจึงไม่อาจโทษผู้ใดได้
อาหารอดได้หลายวันย่อมไม่ตายแต่ร่างกายไม่อาจขาดน้ำได้ไม่เช่นนั้นคงได้ตายในสามวันนี้เป็นแน่
หลินจื่อเว่ยนั่งนิ่ง แทบจะไม่ขยับกายรักษาความอบอุ่นของร่างกายเอาไว้ให้ดีที่สุด ในใจหวนนึกถึงภาพวาดของคนผู้นั้น
บุรุษเพียงคนเดียวในโลกนี้ผู้มีอำนาจเพียงพอที่จะช่วยเหลือนางได้
วันต่อมา
ห่างไปไม่ไกลจากจวนหลินอ๋อง คู่หมั้นผู้สูงส่งของหลินจื่อเว่ยในอาภรณ์สีดำกำลังยืนกอดอกทอดสายตาไปเบื้องหน้าด้วยใบหน้าราบเรียบ
ร่างสูงสง่างามทั้งใบหน้าที่หล่อเหลานั้นช่างดูเย็นชาและลึกลับเย่อหยิ่งทั้งยังเหยียดหยามผู้คน คล้ายกลับว่าในโลกนี้ไม่มีเรื่องอันใดที่จะทำให้เขาเดือดร้อนและสามารถดึงดูดเขาได้
"ท่านอ๋อง จะไปพบนางหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
องครักษ์หวงจิ่งขยับเข้ามาใกล้โม่หรานเล็กน้อย เขามองใบหน้าด้านข้างอันหล่อเหลาทว่าฉาบไปด้วยน้ำแข็งแห่งความเย็นชาของโม่หรานอ๋องแต่ยังคงพบเพียงความราบเรียบไร้คลื่นลมเช่นเดิม
โม่หรานไม่ตอบคำถามแต่กลับถามหวงจิ่งออกไป
“ในเมืองมีข่าวคราวอันใดหรือไม่”
หวงจิ่งส่ายหน้าแล้วตอบว่า
“หลินอ๋องยังเก็บงำความลับเรื่องอดีตพระชายาเอาไว้พ่ะย่ะค่ะ ผู้คนภายนอกรวมทั้งฝ่าบาทยังคงเข้าใจว่าอดีตพระชายาจากไปเพราะอาการป่วยกะทันหัน เพราะนางติดโรคระบาดนั้นจึงเป็นอันตรายนักด้วยกลัวว่าเชื้อจะแพร่ออกไป จึงไม่อาจฝังนางได้จำเป็นต้องเผาร่างนั้น”
โม่หรานยกมุมปากกล่าวหยัน
“ไม่ว่าจะผ่านมากี่ปี หลินอ๋องผู้นี้ก็ยังคงหน้าบางยิ่งกว่าสตรีทั้งยังรักตัวกลัวตาย คงไม่ยอมให้ข่าวเรื่องอดีตพระชายามีชู้แพร่ออกไปนอกจวนเป็นแน่”
“ท่านอ๋อง ท่านเองก็คิดว่าเรื่องนี้ดูน่าสงสัยใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ เพราะหากไม่หลังชนฝาจริง ๆ ท่านหญิงคงไม่กล้าส่งจดหมายมาถึงท่านอ๋องที่ไม่เคยพบหน้ากันเช่นนี้”
“กล้าแล้วอย่างไร ที่ผ่านมาพวกเรามิใช่เคยพบเจอคนเหล่านี้มาไม่น้อยมิใช่หรือ เพื่อผลประโยชน์ทุกคนย่อมคิดที่จะใช้อำนาจจากข้ามิใช่หรือ”
“ท่านอ๋องท่านกล่าวเช่นนั้นก็ไม่ถูกต้อง นางเป็นเพียงสตรีอ่อนแอผู้หนึ่ง กระทั่งชีวิตตนเองในยามนี้ยังเอาตัวไม่รอด ทว่ากลับกล้ายื่นผลประโยชน์ที่ไม่มีผู้ใดกล้าให้ท่านอ๋อง แล้วเช่นนี้ท่านคิดว่านางไม่น่าสนใจหรอกหรือ”
โม่หรานหมุนตัวกลับมาจ้องหวงจิ่งใบหน้านั้นหล่อเหลาประดุจปฏิมากรรมชั้นยอดที่สมควรสถิตอยู่บนสรวงสวรรค์ เมื่อมองสบเข้าไปในดวงตาสีดำสนิทประดุจบ่อน้ำคู่นี้ทำให้แม้กระทั่งบุรุษยังรู้สึกเสมือนว่าตนเองกำลังตกลงไปสู่ความดำมืดที่ชวนให้หลงใหล
“เจ้าคิดว่าข้าสมควรยื่นมือเข้าไปสอดหรือ”
คำถามนี้แน่นอนว่าโม่หรานไม่ต้องการคำตอบจากองครักษ์ผู้รู้ใจ หากเขาไม่สนใจคู่หมั้นผู้ไม่เคยพบหน้าจริง ๆ จะมายืนอยู่ตรงนี้แล้วทอดสายตาไปที่จวนแห่งนั้นหรอกหรือ
หวงจิ่งคิดถึงตัวหนังสืองดงามอ่อนช้อยทว่าทรงพลังที่อยู่บนกระดาษหยาบ ๆ แผ่นนั้นแล้วถึงกับขนลุกชัน
ท่านหญิงหลินจื่อเว่ยผู้ที่เป็นสตรีในห้องหอ ชีวิตนี้ไม่เคยกระทั่งจะได้ก้าวออกจากจวนด้วยอาการป่วยที่มีมาตั้งแต่เกิด ไยข้อความในจดหมายนั่นคล้ายจะรู้ว่าท่านอ๋องของเขานั้นมีความปรารถนาในใจอันใดที่ไม่อาจเปิดเผยได้กัน