@ บ้านสกุลกัลยวัฒน์
“แหม กว่าจะกลับมาถึงบ้านได้นะ” เสียงแหลมปรี๊ดของแม่เลี้ยงคนใหม่ ทำท่าจีบปากจีบคอทักทายร่างบางทันที เมื่อดวงตาของหล่อนจ้องรอการปรากฏตัวของลูกชายคนเล็กจอมดื้อรั้นของบ้านนี้
เมื่อขาเรียวก้าวขาเข้ามายังในบ้านหลังใหญ่ แทนที่จะได้ยินเสียงของประมุขของบ้านก่อนเป็นอันดับแรก แต่ที่ไหนได้กลับกลายเป็นเสียงดูแคลนของเมียใหม่ของป๊าที่ดันดังโพล่งขึ้นมาก่อนเสียงบิดาของตนเสียอีก
"สวัสดีครับป๊า"
มือเรียวยกขึ้นไหว้ผู้เป็นพ่อเพียงผู้เดียว ส่วนผู้หญิงที่อยู่ข้างๆ ป๊านั้น นัยน์ตาสีอ่อนทำเพียงแค่ชำเลืองมองผ่านไปและเบือนหน้าหนีทันที ราวกับหลอนไม่เคยมีตัวตนในสายตาฟาร์รัง
ใบหน้าหวานยอมหันกลับไปมองใบหน้าฉุนเฉียวไม่พอใจของป๊าแทนก็ยังจะดีซะกว่าใบหน้าปั้นจิ้มปั้นเจ๋อของหญิงสาวด้านข้างกายป๊าแน่นอน
ป๊าน่าจะรู้อยู่แล้วว่าระหว่างผมกับเมียใหม่ของเขานั้น ไม่ค่อยจะลงรอยกันมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
ประมุขของบ้านจึงรีบเอ่ยปากยุติการฟาดฟันทางสีหน้าและแววตาของทั้งคู่ออกมาขัดซะก่อนที่บรรยากาศจะมาคุแย่ลงไปมากกว่านี้
"แกมาก็ดีแล้ว ฉันว่าจะส่งให้แกย้ายไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ ไหนๆ พี่แกก็อยู่ที่นั่นอยู่แล้ว จะได้เรียนรู้งานกับพี่แกไปด้วยเลยทีเดียว" คนเป็นบิดากล่าวธุระที่ต้องการจะบอกออกมาทันทีอย่างไม่พิรี้พิไรรออีกต่อไป
"ป๊า!! แต่..แต่ว่า..ผมเหลืออีกแค่ 2 ปีเอง ก็จะเรียนจบแล้วนะป๊า ผมไม่อยากไปเริ่มต้นใหม่ที่ไหนแล้ว" ใบหน้าตกตะลึงไม่คาดคิดจนต้องเปล่งน้ำเสียงสั่นออกมา รีบกล่าวแย้งกับคนเป็นพ่อทันที
ที่จริงฟาร์รังนั้นต้องการจะเรียนให้จบก่อน และได้รับปริญญาพร้อมกับเพื่อนที่คณะ อยากที่จะถ่ายรูปคู่กับหมอกตามที่เคยสัญญากันเอาไว้ตั้งแต่ได้สนิทกันแรกๆ ว่าจะไม่ยอมซิ่วแล้วชิ่งหนีหายกันไปไหนเด็ดขาด ต่อให้ยากลำบากแค่ไหนก็ตาม จึงไม่อยากจะโยกย้ายห่างกันไปปุบปับแบบนี้เลย
แล้วทำไมป๊าถึงทำกับผมแบบนี้ละ มันไม่เกินไปหน่อยเหรอ?
เพียงแค่อยากจะเขี่ยผมออกไปให้ไกลหูไกลตาใช่ไหม ?
ทำไมต้องคอยผลักไสไล่ส่งให้ผมไปไกลขนาดนี้ด้วย ?
เพราะจะได้ไม่เป็นภาระและรกหูรกตาให้กับวงศ์ตระกูลใช่ไหม ?
ใช่สิ ก็ผมมันเป็นลูกที่พ่อไม่รักไง!!
"ก็จะไปยากอะไร..แกก็เทียบโอนหน่วยกิตไปสิ หรือจะไปเริ่มต้นเรียนใหม่เลยก็ได้ เลออนมันตามใจแกอยู่แล้วนิ" น้ำเสียงเข้มขึงดังขึ้นทำเอาฟาร์รังที่กำลังตกอยู่ในห้วงภวังค์สับสนกัลความฉุกละหุกและการตัดพ้อต่อบิดาบังเกิดเกล้าตรงหน้าจึงต้องดึงสติกลับมาหลังต้องฟังคำสั่งต่อ
"..." ใบหน้าแทบจะร้องไห้รอมร่อทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากนั่งเงียบฟังอย่างเดียว
"ฟาร์รัง สิ่งที่แกเรียนมาตอนนี้ก็ใช่ว่าจะตรงสาย แกจะมาบริหารงานที่บริษัทฉันได้ยังไงหึ? ดันไปลงเรียนสาขาวิชาอะไรขีดๆ เขียนๆ วาดรูปไร้สาระพวกนั้นเล่นไปวันๆ มันไม่ได้ทำประโยชน์อะไรให้กับบริษัทฉันได้เลยสักนิด" ใบหน้านิ่งเฉยทว่าแววตาดุเข้มที่จ้องมองลูกชายคนเล็กด้วยความอคติเสมอมา
"..." คนเป็นลูกที่ยิ่งได้ยินคำปรามาสดูถูกดูแคลนในสิ่งที่ตัวเองชอบจากปากคนที่เป็นพ่อแล้วก็ยิ่งรู้สึกปวดร้าวที่หน้าอกข้างซ้าย เจ้าตัวจึงจำต้องเอาแต่ก้มมองต่ำลงบีบมือของตนเองเข้าหากันแน่นลดความหวาดหวั่นในใจและความรู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่ง
"ฉันบอกเลออนเรียบร้อยแล้ว อีก 2 วันแกก็บินไปได้เลย" ผู้ทรงอำนาจสุดได้เอ่ยปากบอกต่อคนที่นั่งตัวค้อมลงต่ำราวกับได้หมดเรี่ยวแรงการจองหองหัวรั้นไปเสียแล้ว
“ไม่..ไม่นะ! ป๊า..ผมขอเวลาอีก 2 อาทิตย์นะ ผมจะจัดการเรื่องเรียนและก็ขอไปบอกลากับเพื่อน ๆ ก่อน นะป๊า ไปแบบนี้มันปุบปับเกินไป ผะ..ผม” ฟาร์รังรีบเงยหน้าขึ้นมาพยายามอ้อนวอนขอร้องคนเป็นพ่อทันทีเมื่อฟังประโยคคำสั่งเมื่อครู่ราวกับคำตัดสินที่ฟาร์รังไม่สามารถทำอะไรต่อจากนี้ได้เลย นอกจากต้องทำตามคำบัญชาการของคนตรงหน้าเท่านั้น พ่อคนนี้ที่เอาแต่บงการชีวิตของลูกแบบเขาตลอดมา
“เรื่องมาก! ฉันให้เลออนมันจัดการเตรียมทางนู้นให้หมดแล้ว แกก็แค่รอวันบินเท่านั้นก็พอ เรื่องอื่นไม่ต้องแส่” ประมุขจอมบงการถอนหายใจใส่คนเป็นลูกที่นับวันมันชักจะเริ่มแข็งข้อกับเขาขึ้นเรื่อยๆ หากยังปล่อยให้อยู่ที่นี่
“เออ แล้วแกจะไปมหาลัยอีกทำไม ในเมื่อฉันสั่งให้คุณศศิจัดการเรื่องของแกเรียบร้อยไปหมดทุกอย่างแล้ว แกไปได้เลยอย่ามากเรื่องนักเลยฟาร์รัง ฉันสั่งอะไรไป บอกอะไรไป แกก็แค่ทำ ๆ ไปก็พอ” ริมฝีปากสีเข้มยังคงขยับไม่หยุดราวกับเทศนาให้ลูกชายคนที่ไม่ปลื้มได้ฟังเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตแล้ว
“แต่ว่า..ผม..ผม..” ริมฝีปากบางเริ่มพูดกระท่อนกระแท่น จนกลายเป็นพูดอะไรต่อไม่ออกแล้ว เพราะสมองมันตื้อมึนเบลอเกิดอาการแบลงขึ้นมาทันควัน ดวงตากลมโตก็เริ่มพร่ามัวจากการถูกม่านน้ำตาบดบังไปทั่วดวงตาแล้ว
เป็นเพราะฟาร์รังไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยเกี่ยวกับเรื่องที่จะต้องจากลาหมอกเพื่อนคนสำคัญในชีวิตที่มีเพียงคนเดียวเลยสักนิด ไหนจะยังมีเรื่องที่ยังค้างคาใจกับคนคนนั้นอีกด้วย
แล้วผมจะทำยังไงดีละทีนี้ ?
คนมีอำนาจที่สุดในบ้านส่ายหัวอย่างระอิดระอาให้กับลูกคนเล็ก ที่ไม่เคยจะทำให้เขาได้รู้สึกภาคภูมิใจได้เลยสักครั้ง ที่ผ่านมามีแต่ขยันสร้างเรื่องที่มันน่าอับอายขายขี้หน้าทั้งนั้น ยิ่งตอนที่เขาได้รับรู้ว่ามันชอบผู้ชายด้วยกันเองยิ่งแล้วใหญ่ เขานี่รับไม่ได้เลย แทบจะอยากจะไล่ตะเพิดมันให้ออกไปห่างไกลให้พ้นหูพ้นตาตั้งแต่ตอนนั้นซะให้รู้แล้วรู้รอด แต่ติดที่ว่าเลออนเจ้าลูกชายคนโตจอมต่อรองหรอกที่มันได้ร้องขอให้เมตตาน้องเอาไว้ก่อนต่างหากละ
เหอะ! ไม่อย่างนั้นมันไม่ได้มานั่งเสนอหน้าอยู่ในบ้านหลังนี้ได้จนถึงทุกวันนี้หรอก
น่ารังเกียจชะมัด
ทำเอาด่างพร้อยจนเสียชื่อวงศ์ตระกูลไปหมด
คนเป็นพ่อที่นึกรังเกียจคนตรงหน้าอยู่แล้วเริ่มมีสีหน้าถมึงทึงขึ้นมาจนดูน่ากลัว พร้อมยังกล่าวบริภาษใส่คนลูกด้วยน้ำเสียงอันดุดันทรงพลังราวกับว่าจะเอ่ยลาแล้วต้องการตัดขาดกันด้วยการออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงที่ดังฟังชัดเจนยิ่งกว่าเดิม
“แกเป็นลูก! ไม่ใช่พ่อฉัน! อย่ามากเรื่อง อย่าต้องให้พูดซ้ำซากนะฟาร์รัง” น้ำเสียงคำสั่งติดความระอาใจ
“และนี่คือคำสั่ง ไม่ใช่คำขอร้อง แกเข้าใจรึเปล่า ห๊ะ?!”
"คะ..ครับ" ร่างบางถึงกับสะดุ้งทันทีที่สุรเสียงทรงอำนาจ เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่แข็งกร้าว ราวกับประกาศคำสั่งวาจาสิทธิ์ที่ไม่ใช่คำร้องขอเช่นทุกครั้ง
แล้วลูกที่ถูกผลักไสแบบผมจะเลือกอะไรได้ละ ?
เมื่อคนเป็นพ่อหมดธุระกับลูกนอกสายตาแล้ว ร่างท้วมทรงอำนาจมีท่าทางฮึดฮัดผุดลุกออกไปจากห้องโถงทันที ปล่อยให้ร่างบางนั่งทบทวนความคิดอยู่เพียงลำพังแต่กลับยังมีน้ำเสียงของปีศาจเอ่ยปากออกมาจิกกัดดังขึ้นมาให้ได้ยินบาดใบหู
“หึ กำจัดเซี้ยนหนามแบบแกออกไปได้จริงๆ สักทีสินะทีนี้ รกหูรกตามาตั้งนานแหนะ.." สองมือเรียวยกขึ้นมากระทบปัดกันไปมาราวกับว่าได้ปัดไรฝุ่นให้หลุดออกไปจากฝ่ามือของตัวเองได้สำเร็จสักที
"เฮ้อ ทีนี้ ณภัทร ของฉันก็ไม่ต้องกังวลเรื่องของแกอีกต่อไปแล้ว คิก คิก” มือเรียวยกขึ้นมาทาบวางลงบนปลายคางมนพร้อมกับเผยรอยยิ้มที่ดูสะใจราวกับแม่มดสิ้นดีสำหรับในสายตาของฟาร์รัง
"ฮ้า..ต่อไปนี้อากาศบ้านนี้ก็จะบริสุทธิ์ขึ้นอีกโขเลย โฮะ โฮะ" เสียงแจ๋นของผู้หญิงที่ผมเกลียดที่สุดยังเอ่ยตอกย้ำส่งความสะใจใส่ผมให้เจ็บแสบ
"คุณพี่ขา"
เมื่อหล่อนพูดจาถากถางใส่ฟาร์รังเสร็จสมดั่งใจแล้วก็ได้พาร่างอรชรผุดลุกขึ้นออกเดินนวยนาดจากไป แล้วเปล่งน้ำเสียงออดอ้อนเรียกป๊าของฟาร์รังด้วยเสียงอ่อนเสียงหวาน
จนคนตัวเล็กที่ยังคงนั่งมองตามแผ่นหลังบางของแม่เลี้ยงแพศยาที่หายลับไปแล้ว กลับต้องมีอาการขนลุกซู่ขึ้นไปยันหัวให้กับความมารยาเสแสร้งของผู้หญิงคนนั้นแบบเต็มร้อยเลยแหละ
แต่ฟาร์รังก็ทำได้แค่เพียงมองตามแผ่นหลังบางอันน่าขยะแขยงของผู้หญิงคนนั้นที่เดินจากไปจนลับสายตา โดยที่ไม่สามารถทำอะไรหล่อนได้เลย ในเมื่อฝ่ายที่แพ้นั้นเป็นตัวเองที่มักจะถูกคนเป็นพ่อขับไล่ไสส่งราวกับเป็นลูกที่ไร้ค่าในสายตาของป๊าเสมอมา
แล้วถ้าผมลุกไปจิกหัวเขาตอนนี้ แบบตอนที่ผมอายุ 17 ปี ผมจะโดนป๊าตบหน้าอีกไหม?
เห้อออออ....
ความคิดชั่ววูบที่แล่นเข้าหัวมา ทำเอาฟาร์รังต้องเลือกที่จะพรูลมหายใจออกมาแล้วปล่อยวาง จึงได้ล้มเลิกความคิดอาฆาตแค้นแล้วนั่งถอดถอนลมหายใจยาวๆ อย่างปลดปลงออกมาแทน
ในหัวได้แต่ตีรวนกันไปมา ทำให้วนเวียนหวนย้อนกลับไปคิดถึงเรื่องสำคัญที่ยังไม่มีโอกาสได้บอกกับคนคนนั้นด้วยตัวเองเลย
แบบนี้ก็คงไม่มีโอกาสได้ไปบอกเรื่องเจ้าตัวเล็กในท้องกับพี่เฮฟแล้วสินะ
ถ้าอย่างนั้นก็ช่างมันเถอะ ผมจะยอมสารภาพเรื่องราวทั้งหมดกับพี่เลออนเอง!!
หลังจากนั้นฟาร์รังบอกกับตัวเองว่า แม้นเจ้าตัวเล็กจะมีแค่เขาคนเดียว ก็จะพยายามเลี้ยงดูเจ้าตัวน้อย ๆ นี่ให้มีความสุขคนเดียวให้ได้!!
เพราะถ้าหากผมบอกป๊าตอนนี้ ผมคงโดนปลิดชีพทิ้ง ก่อนจะได้ไปหาเลออนที่นู่นแล้วแหละ
⍣
(เห้ยทำไมมันกะทันหันแบบนี้อะฟาร์) เพื่อนซี้ตัวโตถามคนตัวเล็กออกมาด้วยน้ำเสียงตกใจ แกมเหงาหงอยเพราะสังเกตได้จากปลายหางเสียงที่เปล่องออกมาอย่างแผ่วเบา
“ก็ป๊าดิ สั่งคำไหนคำนั้น กูขัดคำสั่งอะไรได้อ่ะ” ฟาร์รังก็ถอนหายใจใส่โทรศัพท์ ระหว่างบอกลาหมอกทางโทรศัพท์ด้วยเช่นกัน
(แล้วเรื่องที่มึงท้องละ ป๊ามึงรู้ไหม) น้ำเสียงของหมอกบ่งบอกได้ถึงความเป็นกังวลออกมาให้ได้รับรู้
“ถ้ารู้กูก็ตายดิ มึงคิดว่าป๊าจะทำยังไงกับกู ห่วงหน้าตากับชื่อเสียงตระกูลขนาดนั้น”
(แล้วมึงจะบอกพ่อของลูกไหม พี่เฮฟควรจะรู้นะมึง) น้ำเสียงติดกังวลของหมอกสื่อออกมาแสดงถึงความเป็นห่วงคู่สนทนายิ่งกว่าเดิม
“กูพยายามหาทางติดต่อแล้วมึง ทั้งฟอลในทวิต กูลองส่งข้อความทาง DM ทั้งทาง IG แต่เขาไม่เห็นอ่านหรือตอบอะไรเลยอ่ะมึง”
(แล้วงี้มึงจะทำยังไงต่ออ่ะ กูว่ามึงลองปรึกษาพี่เลออนดีกว่า) หมอกพยายามหาทางออก บอกให้เพื่อนซี้ตัวเล็กที่เป็นห่วงเป็นใยอย่างกับลูก
ผมเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่เล็กเลยสำหรับวัยอย่างพวกผม
แถมผมยังเป็นผู้ชายที่ประหลาดอีกด้วย
“อืม กูคงบอกพี่เลออนแหละ จะโดนด่าก็ยอม กูก็ไม่รู้จะทำยังไงแล้ว”
(โชคดีเว้ยมึง ติดต่อหากูบ้างนะ กูคงคิดถึงมึงแย่เลย) หมอกเปล่งน้ำเสียงออกมาอย่างติดสั่นเครือเล็กน้อยราวกับกำลังข่มใจไม่ให้ร้องไห้ยังไงยังงั้น
“หมอก ร้องไห้ปะเนี่ยยยย” คนตัวเล็กได้ทีจึงรีบเอ่ยถามออกมาอย่างขำขันราวกับแหย่แซวเพื่อนสุดซี้ไปที ทั้งที่ตัวเองก็ยังนั่งปาดน้ำตาออกจากใบหน้าป้อย ๆ ก่อนจะกดเปิดกล้อง
(แล้วมึงจะคอลแบบเปิดกล้องทำไมเนี่ย) คนผิวน้ำผึ้งรีบเอ่ยต่อว่าคนตัวขาวอย่างไม่จริงจังทันทีที่ฟาร์รังต้องการจะเปิดกล้องคอลคุยกัน
“ก็อยากเห็นหน้าพี่หมอกอ่ะคับ ว่านั่งปาดน้ำตาร้องไห้แง ๆ อ่ะเปล่า” ใบหน้าทะเล้นไม่ว่าเปล่า ไอ้เพื่อนแสนดื้อของหมอก ยังพูดกระเซ้าเย้าแหย่ให้คนตัวโตได้ควันออกหูเล่นๆ
(ยังมีอารมณ์ขันนะมึงน่ะ) หมอกจึงยกนิ้วกลางใส่คนปั้นหน้าแสร้งแย้มยิ้มออกมาทั้งที่แววตาสลดลงไปจนน่าใจหาย ประดุจเสแสร้งแกล้งว่าสบายดีทันทีหลังจากที่ทั้งคู่ยอมเปิดกล้องคอลด้วยกัน
(เออ..พอสนิทกันจนคิดว่าจะเรียนจบไปด้วยกัน อยู่ดี ๆ ก็ต้องจากกันกะทันหันแบบนี้ ใจหายวะมึง กูยังไม่ทันเตรียมใจเลย)
“กูคงคิดถึงมึงมาก ๆ เหมือนกัน ขอโทษนะมึง ที่กูไม่ได้อยู่ด้วยกันยันเรียนจบ แบบตอนที่เราเคยพูดกันไว้ตอนเริ่มรู้จักกันแรก ๆ เลยอ่ะ” คนตัวเล็กส่งแววตาเสียใจผ่านเลนส์กล้องไปให้เพื่อนสนิทสุดซี้แสนใจดีที่หาไม่ได้ง่ายๆ แบบหมอกคนนี้
(นั่นดิ แต่เอาเถอะ มึงก็อย่าขาดการติดต่อก็พอ ถ้าไปถึงแล้วบอกกูบ้างนะ อย่าเงียบหายก็พอ กูเป็นห่วง) ฟาร์รังเริ่มได้ยินเสียงหมอกพูดมาแบบขาด ๆ หาย ๆ ปนกับเสียงสะอึกนิดหน่อย อาจจะเป็นเพราะหมอกเบนหน้าออกห่างหนีจากหน้าจอสี่เหลี่ยมไปจนแทบจะหลุดกล้องอยู่รอมร่อแล้ว แถมยังหงายหน้าจอโทรศัพท์ ให้เห็นแต่เพดานห้องอีกต่างหาก
“รักมึงนะเว้ยหมอก ไม่อยากไปเลยวะ กูหนีได้ไหม”
(ถ้าบ้านกูเป็นแก๊งมาเฟีย กูจะพามึงหนีแล้วละฟาร์) น้ำเสียงของคนใจหายได้เปล่องออกมาแบบติดขำในลำคอทว่ากลับดูเหมือนเศร้าใจมากกว่า
ทั้งคู่ต่างพูดปลอบใจกันและกันไปมา แต่ก็รู้กันอยู่แล้วว่าความเป็นจริงนั้น มันไม่สามารถทำอะไรได้เลย พอดวงตาโตเห็นเพื่อนซี้ โผล่ใบหน้าอันหล่อเหลากลับเข้ามาในกล้องอีกครั้ง จึงรีบจัดการใช้มุกออดอ้อนใส่เช่นทุกครั้งทันที
“พี่หมอกค้าบ พาน้องฟาร์หนีหน่อยค้าบ” คนตัวเล็กติดยิ้มแกล้งแหย่หมอกเล่น เพราะฟาร์รังรู้ว่าเพื่อนซี้ตัวโตคนนี้น่ะ มันแพ้เวลาโดนอ้อนใส่ตลอด ยิ่งเวลาโดนเรียกพี่หมอกอย่างนั้น พี่หมอกอย่างนี้ หมอกมันเคยบอกว่า อยากได้น้องชายขี้อ้อนเก่ง ๆ แบบที่ฟาร์รังทำใส่ทีไรถึงได้มีรีแอคชั่นกลับคืนมาเสมอ
(อย่ามาอ้อนแบบนี้ไอ้น้องฟาร์ กูจะหัวใจวาย) เพื่อนซี้ตัวโตชี้นิ้วจ่อลงยังจอสี่เหลี่ยมคืนทันควัน ประดุจว่ามันจะสามารถทะลุผ่านเลนส์หน้าจอสมาร์ตโฟนออกมาได้ยังไงยังงั้น
“พี่หมอกไม่ช่วยน้องฟาร์จริงเหรอครับ”
ฮ่า ๆ ๆ
คนตัวเล็กทั้งอ้อนทั้งขำเมื่อเห็นสีหน้าของเพื่อนตัวเอง ที่บัดนี้มันขึ้นสีแดงพาดผ่านไปหมด
ท่าทางจะแพ้ลูกอ้อนของฟาร์จริงด้วยแฮะ
(ไม่เล่นแล้ว ๆ โชคดีนะมึง ดูแลตัวเองด้วย อัปเดตหลานกูด้วยนะเว้ย)
“ค้าบ แค่นี้นะครับพี่หมอก น้องฟาร์ต้องไปจัดของต่อแล้ว”
(ไอ้เหี้xนี่)
ตึ๊ด! คนปลายสายได้กดปิดหน้าจอหนีใบหน้าจิ้มลิ้มที่ยังส่งยิ้มหวานค้างอยู่ ดวงตากลมโตยังคงจับจ้องมองไปยังหน้าจอที่ได้ดับลงไป จนกลับคืนสู่วอลล์เปเปอร์ภาพเบสิกที่ติดมากับเครื่องไปเรียบร้อยแล้ว
แต่ฟาร์ทันได้สังเกตเห็นว่า ใบหน้าของเพื่อนซี้ตัวโตเมื่อครู่มันมีอาการขัดเขิน จนหูแดงหน้าแดงไปหมดจึงต้องรีบตัดสายใส่กัน
มือเรียวราวกับไร้เรี่ยวแรงปล่อยสมาร์ตโฟนให้หลุดร่วงลงบนที่นอน ก่อนจะล้มตัวนอนหงายพึ่งกายแผ่หลาอย่างเหม่อลอยอยู่บนที่นอนอย่างไม่อยากจะทำอะไรเลยสักอย่าง
เฮ่อ ผมไม่อยากไปเลยอ่าาาาาา
บ๊ายบายนะหมอก...
ลาก่อนครับ...พี่เฮฟ...
#ทุ่มเทเพื่อรัก