(Pt.2)
Hafe’ s Part
ทุกครั้งนายแบบคนหล่อจะต้องมีเวลาเตรียมตัวก่อนเข้างานประมาณครึ่งชั่วโมง แต่ทว่าวันนี้ดันมีทีมงานที่ต้องการคุยเรื่องที่จะให้เฮฟบินไปถ่ายงานที่ต่างประเทศแทรกเข้ามา จึงทำให้ไม่ได้มีเวลาปลีกตัวไปแกะของขวัญ และนั่งอ่านจดหมายจากแฟนคลับเหมือนดั่งเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา เจ้าตัวก็ทำได้แค่เพียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมาเท่านั้น
ถ้างั้นเอาไว้ช่วงพักค่อยทยอย ๆ อ่านก็แล้วกัน
หลังจากที่ได้เข้าเซตถ่ายภาพนิ่งลงปกนิตยสารเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตากล้องก็ได้สั่งเฮฟให้ไปพักเบรกได้ พ่อนายแบบคนหล่อจึงได้มีเวลาหยิบจับจดหมายของบรรดาเหล่าแฟนคลับขึ้นมาอ่านได้สักที
จังหวะเดียวกันนั้น พี่เก๋ผู้ซึ่งเป็นเมเนฯ ส่วนตัวของเฮฟ ก็ได้ยื่นขวดน้ำพร้อมกับข้าวกล่องมื้อกลางวันมาส่งให้เฮฟในช่วงเวลาพักอันน้อยนิดของนายแบบหน้าหล่อคนใหม่ของค่ายทันที
“เออจริงสิ มีแฟนคลับคนหนึ่งให้จดหมายมาด้วย แถมย้ำนักย้ำหนาว่าต้องส่งให้นายเปิดอ่านให้ได้นะ เพราะมันสำคัญมาก” พี่เก๋ชี้ๆ ไปยังกองจดหมายที่มันกองอยู่รวมกันหลายฉบับให้เฮฟหันไปมองตาม
แล้วมันฉบับไหนวะเนี่ย ?
แม่งมันมีตั้งหลายฉบับ!
เฮฟปรายหางตามองไปยังกองจดหมายที่มีอยู่หลายฉบับ มือแกร่งจึงลองสุ่มหยิบจดหมายแต่ละฉบับขึ้นมาอ่านหน้าซองดูก่อน
แล้วซองไหนกันละที่สำคัญ ?
ส่วนมากก็จะมีชื่อจ่าหน้าซองจดหมายไว้เป็นเรื่องปกติของแฟนคลับที่ต้องการให้คนที่ตัวเองชอบรู้ว่าเป็นใคร ตาคมจึงไล่กวาดมองไปเรื่อย ๆ จนสบเห็นว่ามีฉบับหนึ่งที่ซองเป็นลายกวางมูสและไม่มีชื่อจ่าหน้าซองมาด้วยจึงรีบหยิบขึ้นมาเปิดอ่านดู เมื่อได้อ่านข้อความบนจดหมายก็ดวงตาคมเข้มถึงกับเบิกตากว้างจนออกอาการตกใจแรง ถึงกับเผลอสบทออกมาอย่างลืมตัว
"เฮ้ย!! เชี่ย.." เสียงสบทของเฮฟดังจนทำให้พี่เก๋ ถึงกับต้องหันหน้ากลับมาจ้องมองทันทีทันใด
“เฮฟ อีกหน่อยนายจะเป็นคนดังแล้วนะ พูดจาให้มันระวัง ๆ หน่อย คำหยาบนะมันไม่ดีต่อภาพลักษณ์ คนอื่นมาได้ยินจะดูไม่ดีเอา” พ่อนายแบบคนดัง โดนพี่เก๋เอ่ยตักเตือนด้วยความหวังดีขึ้นมาทันทีเช่นกัน
อันนี้ก็เข้าใจได้ แต่มันตกใจจริง ๆ นี่หว่า
“แล้วมีอะไร ถึงได้ตกใจขนาดนี้” เมเนฯ เห็นนายแบบเงียบไป ไม่ได้โต้แย้งเถียงออกมาสักคำประดุจว่าช็อกไปแล้วหลังจากที่ได้อ่านจดหมายฉบับนั้น
“คนที่ให้จดหมายนี้ เขาได้บอกชื่อกับพี่ไหม” เฮฟจึงชูจดหมายลายกวางมูสในมือให้พี่เก๋ดู
“ไม่ได้บอกนะ” พี่เก๋มองหน้าเฮฟเพียงเสี้ยววินาที แล้วหันกลับไปกดยุกยิกยุ่งอยู่กับหน้าจอสมาร์ตโฟนในมือของตัวเองต่อ
“แล้วเขาเป็นผู้ชายตัวเล็ก ๆ ผิวขาว ๆ ปะพี่” เฮฟนึกถึงใบหน้าจิ้มลิ้มนวลใสลอยผุดขึ้นมาทันทีจึงรีบคาดคั้นเอาคำตอบจากเมเนฯ เป็นพัลวัน
“เอ่อ จะว่าไปตัวก็เล็กอยู่นะ สูงประมาณแค่ไหล่ฉันเองมั้ง แล้วก็ผิวขาวจัด เส้นผมสีอ่อนๆ นั่นแหละ แต่อาจจะเป็นพวกสตอล์กเกอร์แบบครั้งก่อนๆ ที่ส่งมาแกล้งกันอีกนึเปล่าหรอก" สายตาไม่ไว้ใจของเมเนฯ ส่งผ่านมองมาทางใบหน้าเคร่งขึงของนายแบบหน้าใหม่
"..." ใบหน้าหล่อเริ่มขมวดคิ้วเข้าหากันแล้วรู้สึกเริ่มร้อนใจ ขึ้นมา แต่ก็อดที่จะหวนคิดตามสิ่งที่พี่เก๋เอ่ยออกมาถึงเรื่องสตอล์กเกอร์ไม่ได้อยู่ดี เพราะมันเคยมีเครสมาก่อน
"เหมือนตอนนั้นไง พวกแฟนคลับประหลาดๆ น่ะ ที่พยายามหลอกล่อให้นายออกไปหาข้างนอกไง จริงๆ แล้วไม่มีอะไรหรอก แค่พวกอยากโชว์ตัวให้เด่นในสายตานายบ้าง จะได้สนใจพวกมันน่ะ” พี่เก๋พูดขึ้นแม้นจะฟังดูเจ้ากี้เจ้าการไปสักหน่อย แต่เพราะเนื่องจากเหตุการณ์สัปดาห์ที่แล้ว มันมีพวกสตอล์กเกอร์ส่งจดหมายแปลก ๆ มาให้นายแบบหน้าใหม่ตลอดเลยน่ะสิ
“อย่าไปสนใจเลย พวกที่จ้องจะจับนายน่ะ มันมีเยอะเพื่อความสุขสบายของตัวเองทั้งนั้น นายยังต้องเรียนรู้และได้พบเจอในเส้นทางนี้อีกยาวไกลเลยล่ะ” พี่เก๋เมเนเจอร์หันหน้ามาจ้องมองใบหน้าอันหล่อเหลาของพ่อนายแบบในสังกัดที่ตนดูแลอีกครั้งราวกับสอนประสบการณ์เส้นทางของวงการบันเทิงอันหรรษานี้
“เลิกอ่านแล้วก็รีบๆ กินข้าวเถอะ เดี๋ยวก็หมดเวลาพักก่อนหรอก ช่วงบ่ายนายยังมีสัมภาษณ์ต่ออีกยาวเลยนะ” เมเนฯ คนดุยังคงเอ่ยปากกำชับกับนายแบบตรงหน้าอีกรอบ
แต่ทว่าคนที่ยังคงติดความสงสัยในความคิด ก็ยังคงรู้สึกร้อนใจและยังข้องใจไม่หายสักที หากไม่ออกไปให้เห็นกับตาตัวเองแบบนี้ มันก็จะรู้สึกตะขิตตะขวงใจอยู่แบบนี้แหละ
เมื่อคิดได้อย่างนี้แล้วนายแบบคนหล่อจึงตัดสินใจผุดลุกขึ้นยืนเต็มความสูงขึ้นมาแบบกะทันหันแล้วรีบก้าวขายาวๆ กึ่งเดินกึ่งวิ่งออกไปดูกลุ่มแฟนคลับด้านนอกทันที โดยไม่ได้สนใจเสียงของเมเนฯ ที่เรียกรั้งชื่อตามหลังมาด้วยเลยสักนิด
ขอแค่ได้ออกไปดูสักนิดให้หายแคลงใจก็ยังดี
แต่เมื่อได้ลองออกมากวาดสายตามองดูยังลาดที่แฟนคลับชอบนั่งรอกันอยู่เป็นประจำแล้ว กลับได้เจอเพียงแค่เหล่าแฟนคลับที่เป็นกลุ่มหน้าคุ้นเคย กลายเป็นทำให้พวกเด็กๆ พากันฮือฮาแตกตื่นตกใจที่อยู่ๆ ก็ได้เห็นนายแบบสุดหล่อออกมาเดินเพ่นพ่านอยู่ข้างนอกแบบไม่คาดคิด
แถมยังทำท่าทางเหมือนกำลังมองหาใครอยู่ด้วย จนพี่เมเนฯ ต้องรีบวิ่งตามออกมาคว้าตัวและก็รีบรั้งดึงท่อนแขนของพ่อนายแบบคนดังกลับเข้าไปด้านในโดยด่วน ก่อนที่เหล่าแฟนคลับจะกรูกันเข้ามารุมล้อมขอถ่ายรูปกับเฮฟให้ขยับตัวได้ยากยิ่งกว่าเดิม
เฮฟจึงจำต้องทำใจเลยได้แค่ปล่อยวางเรื่องนี้ไปก่อน และก็เห็นตามด้วยกับพี่เก๋ว่าจะต้องรีบลงมือกินข้าวได้สักทีแล้ว เพราะมันจวนเจียนใกล้จะหมดเวลาพักแล้วด้วย
แถมตารางงานช่วงบ่าย พ่อนายแบบยังต้องมีการให้สัมภาษณ์เพื่อนำไปใช้เป็นบทความเขียนลงในนิตยสารอีกด้วย
แม้นว่าตอนนี้ พ่อนายแบบต้องอ่านสคริปต์คำถาม ของทางนิตยสารเพื่อจะได้เตรียมคำตอบไว้ให้ดี เพื่อจะได้ไม่เกิดความผิดพลาด
แต่ทว่าในใจของเฮฟก็ยังว้าวุ่น กังวลว่าถ้าข้อความในจดหมายเป็นคนคนนั้นจริง ๆ เขาควรจะทำยังไงดี
หรือผมควรติดต่อเขาแล้วเจรจาดี ? แล้วผมจะติดต่อเขายังไงละ?
เพราะช่วง 3-4 วันหลังจากที่ผมพูดเรื่องจะจ่ายเงินให้คนตัวเล็กนั้นไป
ผมก็รู้สึกผิดจริง ๆ นะ ผมไปนั่งรอเขาที่บาร์ของฮิมทุกวันเลย แต่ก็ไม่ได้เจอกับเขาอีก
แต่เอาวะ ยังไงครั้งนี้ผมจะต้องลองไปดูที่บาร์ของฮิมอีกรอบละกัน
ในสมองของนายแบบหนุ่มมัวแต่คิดสะระตะ จนใบหน้าหล่อคมเกิดอาการหน้านิ่วคิ้วขมวด เผลอแสดงสีหน้าไม่ดีออกมา มีอาการชะงักหยุดตอบคำถามไปบ้างในบางครั้ง ทำเอาคนสัมภาษณ์ต้องคอยเอ่ยถามประโยคย้ำๆ ออกมาใหม่ให้อยู่หลายรอบทีเดียว จนพ่อนายแบบต้องขอโทษขอโพยทีมงานไปหลายครั้งหลายคราเช่นกัน
จนพวกพี่ทีมงานปล่อยให้นายแบบได้ไปพักก่อน เพื่อปรับอารมณ์ หลังจากมีสมาธิมากกว่านี้ แล้วค่อยกลับมัมภาษณ์ใหม่ ซึ่งในช่วงเบรกเฮฟจึงได้ยินพี่ทีมงานโดยเฉพาะพี่ตากล้องที่เป็นฝ่ายบันทึกภาพเคลื่อนไหวกำลังเอ่ยตำหนิพ่อนายแบบหน้าใหม่อยู่กับพวกทีมงาน
ซึ่งเป็นเรื่องที่เฮฟใจลอยจนดูเหมือนไม่ได้ตั้งใจทำงานนั่นแหละ แถมยังเป็นแค่เด็กใหม่ในวงการยังแลดูไม่สนใจงานแบบจริงจังเลยด้วยซ้ำ ทำนิสัยลอยตัวได้ขนาดนี้อีกหน่อยถ้าดังเปรี้ยงปร้างขึ้นมาก็คงไม่เห็นหัวใครแล้วล่ะ
คำนินทาลอยเข้าหูเจ้าตัวจนทำเอาเฮฟต้องพยายามตั้งสติในการทำงานใหม่ทั้งหมด เฮฟจึงต้องเพ่งสมาธิให้จดจ่ออยู่กับงาน ส่วนเรื่องอื่นๆ ก็ค่อยว่ากันทีหลังก็แล้วกัน ไม่อย่างนั้น ชื่อเสียงของตัวเองต้องเป็นขี้ปากไปในทางที่แย่ตั้งแต่ออกสตาร์ทในวงการนายแบบเช่นนี้แน่ๆ
เฮ้ออ นี่ผมคงต้องสะบัดเรื่องขุ่นใจทั้งหมด ออกไปจากหัวให้ได้ก่อน
เพราะผมก็ยังแค่เป็นเด็กใหม่ ที่เพิ่งจะเริ่มเข้าวงการ
จะมาเสียการงานเพราะเรื่องของคนที่ชื่อ ฟาร์รัง แค่คนเดียวไม่ได้ปะวะ
หลังจากการถ่ายปกนิตยสารเปิดตัวใหม่จบลงไปแล้ว และการสัมภาษณ์งานในนิตยาสารให้กับบริษัทเปิดใหม่ในวันนั้นของเฮฟ กลับกลายเป็นว่าทำให้ชีวิตของพ่อนายแบบหน้าใหม่เปลี่ยนไปทันที ราวกับว่าดังชั่วข้ามวีคก็ว่าได้ เฮฟยิ่งมีชีวิตในวงการที่ยุ่งมากขึ้นแบบก้าวกระโดดเป็นทวีคูณเลย
หลังจากงานแรกที่ได้เปิดตัวโปรโมทร่วมกับนิตยสารจบลงแล้ว นายแบบสุดหล่อก็ต้องบินไปฮ่องกงเพื่อถ่ายแบบกับนิตยสาร Zelloe ที่กำลังมาแรงที่สุดในตอนนี้ แถมผู้บริหารของบริษัทนี้ยังรีเควสขอนายแบบออกมาเองว่าต้องเป็นเฮฟคนนี้เท่านั้น ทางต้นสังกัดของเฮฟจึงไม่สามารถปฏิเสธได้เลย
ซึ่งมันก็ทำให้ชีวิตของเฮฟนั้นเริ่มเข้าสู่ความยุ่งมากมายจนเรียกได้ว่าวิกฤตทางการให้ชีวิตของนายแบบหน้าใหม่ได้ย่างกรายเข้ามาแทนชีวิตที่ว่างมานานให้หายไปจนหมดสิ้นได้เลย
ชีวิตของนายแบบหน้าใหม่ที่ดังเปรี้ยงคนนี้จึงวนเวียนอยู่แค่กับการตื่นนอน และไปถ่ายแบบที่สตู พอถึงช่วงเช้าของอีกวันก็ต้องเข้าไปพบกับบรรดาผู้บริหาร เมื่อหมดวันก็กลับมานอนพักผ่อนอย่างหมดพลัง พอเช้าวันใหม่อีกวันก็มีงานออกบูทบ้างหรือบางครั้งก็จะมีงานเลี้ยงที่ทางบริษัทแจ้งมาแบบกะทันหันอีกว่าขอเพิ่มแทรกรายการเข้ามาทีหลัง พอกลับมาก็มืดค่ำแล้ว ดังนั้นพอนายแบบคนดังกลับเข้าถึงห้องปุ๊บ หัวก็ถึงหมอนปั๊บหลับเป็นตายราวกับถูกใช้ร่างกายแบบหักโหมเช่นนี้มาราวสองอาทิตย์กว่าแล้ว
เหนื่อยมาก ๆ แต่ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีมาก ๆ เช่นกัน
นี่แหละคือสิ่งที่ผมเคยวาดฝันเอาไว้ในวัยเด็กเลย
#ทุ่มเทเพื่อรัก