ชีวิตใหม่ [6.1]

2470 คำ
หก ชีวิตใหม่ นางเคยเชื่อมั่นว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา ชะตากรรมของนางย่อมอยู่ในกำมือตนเอง ...ทว่าแท้จริงแล้วมันอาจถูกสวรรค์ลิขิตมาแล้วตั้งแต่ต้น! เสาอวี่รู้สึกราวกับหล่นวูบลงจากที่สูง จิตใต้สำนึกถูกกระตุ้นจนคับคล้ายคับคลาว่าเคยสัมผัสกับเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน ครั้งหนึ่งนางเคยพลัดตกลงมาจากหน้าผา เมื่อนานแสนนาน...นานแสนนานมาแล้ว เสียงกรีดร้องโหยหวนก้องกังวาน กลิ่นเหม็นคาวโลหิตอาบย้อมกายจนน่าขยะแขยง ภาพของผืนป่าและทิวเขาที่หมุนคว้างถูกแทนที่ด้วยความมืดมิดอันไร้ขอบเขต กระทั่งร่างของนางปะทะเข้ากับความความอ่อนนุ่มสบายราวกับปุยเมฆ ความรู้สึกสบายเช่นนี้นางเพิ่งจะได้สัมผัสเป็นคราแรก หรือที่นี่จะเป็นสรวงสวรรค์? นกยูงสาวตั้งคำถามขึ้นในใจ ก่อนจะมีอีกเสียงหนึ่งแย้งขึ้นมาว่าคนที่เอาแต่ปล้นอย่างนางคงต้องตกนรกเสียมากกว่า “นายหญิงเจ้าคะ...” เสียงเรียกแผ่วเบามาพร้อมกับกลิ่นหอมอบอวลของบุปผา ละมุนละไมผิดแผกไปจากความเคยชิน แม้จะอยากตื่นแต่ร่างทั้งร่างกลับหนักอึ้งไร้เรี่ยวแรงจะตอบสนอง นางขมวดคิ้วเข้าหากัน ไม่อาจลืมตาขึ้นได้แม้จะพยายามมากเพียงไรก็ตาม “นายหญิง...” เสียงดังกล่าวยังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ครานี้มันกลับแฝงไปด้วยความสิ้นหวังและเศร้าสร้อย เสาอวี่ไม่เคยจินตนาการมาก่อนว่าจะมีผู้อื่นนึกสนใจว่านางจะอยู่หรือตาย ความอุ่นวาบเยียวยาความรู้สึกอันว่างเปล่าไปชั่วขณะ พยายามอย่างยิ่งที่จะส่งสัญญาให้อีกฝ่ายรู้ว่านางยังไม่ตาย... การขยับกายสร้างความเกร็งให้กับร่างทั้งร่าง เหงื่อที่ไหลซึมออกมาตามไรผมส่งผลให้หญิงสาวรู้สึกไม่สบายตัว แต่แล้วความพยายามของเจ้าตัวก็ได้ผลเมื่อที่ปลายนิ้วขยับเล็กน้อย “นายหญิงรู้สึกตัวแล้ว นายหญิงรู้สึกตัวแล้ว! ” น้ำเสียงแปลกหูเจือไปด้วยความยินดีอยากสุดซึ้ง “เร็วเข้าสิ! รีบไปตามท่านหมอมา! ” ผู้ที่นอนอยู่บนเตียงใหญ่ได้ฟังเพียงเพียงเท่านั้นก็สลบไสลไปอีกคราด้วยความอ่อนเพลีย จมดิ่งไปในห้วงแห่งความฝันซึ่งยังคงไร้ซึ่งภาพใดๆ ดังเช่นที่ผ่านมา “อวี่เอ๋อร์...หนีไปให้ไกล” คราวนี้เสียงของผู้ที่จำได้อย่างแม่นยำว่าเป็นแม่บังเกิดเกล้าหาได้อบอุ่นดังที่ผ่านมาไม่ ต่อให้สรรพสิ่งทุกอย่างมืดสนิทแต่ผู้ที่เพิ่งผ่านช่วงเวลาแห่งความเป็นตายกลับสามารถจิตนาการได้ว่าอีกฝ่ายมีสีหน้าหวาดกลัวมากเพียงไร “อวี่เอ๋อร์ ต่อให้หลังจากนี้ลูกจะจำใบหน้าของพ่อกับแม่ไม่ได้ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ลูกต้องจำไว้ให้มั่น...” ครานี้เป็นเสียงของบุรุษที่ดูมีสติมากกว่า “รับปากพ่อ...อย่าได้ไว้วางใจผู้ใด อย่าเชื่อใจใครง่ายๆ จำไว้ให้ดี! ” “อวี่เอ๋อร์ ไม่ต้องห่วงพ่อกับแม่ รีบหนีไปให้ไกลจากเมืองจื้อโหยว! ” กลิ่นสาบเหงื่อลอยคลุ้งจนรู้สึกแสบจมูก นางอยากพูด บอกเล่าสิ่งที่นางเผชิญและถามไถ่สิ่งต่างๆ ให้กระจ่าง อยากรับปากท่านพ่อ อยากขอโทษท่านแม่ที่หวนกลับมาที่เมืองจื้อโหยว แต่ริมฝีปากแห้งผากลับปิดสนิทประหนึ่งว่ามันไม่ใช่ร่างกายของตนเอง “พ่อกับแม่รักลูกนะ...” ความโหยหาต่อครอบครัวฝังลึกอยู่ในใจไม่จางหายส่งผลให้ขอบตาร้อนผ่าว หยาดน้ำตาไหลรินผ่านพวงแก้มแล้วซึมผ่านริมฝีปากจนรับรู้ถึงความเค็มของมัน “นายหญิง” เสียงที่ชัดเจนกว่าทุกครั้งเรียกให้ดวงตาสุกสกาวราวอัญมณีลืมขึ้นอย่างเหนื่อยล้า เสาอวี่กะพริบถี่ ภาพปรากฏเบื้องหน้าที่ชัดเจนขึ้นสร้างความมึนงงให้นางอย่างที่สุด มุมอับในจวนท่านเจ้าเมืองกลับถูกแทนที่ด้วยเสาของเตียงไม้ขนาดใหญ่ ม่านเป็นผ้าผืนบางสีชมพูโปร่งคลุมทับและม้วนจับกลีบซ้อนเรียงกับราวกับดอกโบตั๋นดูปรานีตและวิจิตร ครั้นเสาอวี่จะพลิกตัวก็รู้สึกว่าแขนขาหนักอึ้งไร้เรี่ยวแรง นางหันหน้าก่อนจะเบิกตากว้างขึ้นเรื่อยๆ เมื่อพบว่าชายแขนเสื้อของตนเป็นสีชมพูอ่อนหวานชนิดที่ไม่เคยคิดแตะต้องมาก่อนตลอดชีวิต อย่าว่าแต่ให้สวมใส่เลย เพียงแค่เห็นมันก็ขนลุกจะแย่... ผู้ใดบังอาจจับนกยูงดำเช่นนางมาใส่ชุดหวานแหวว เห็นทีคงอยากอายุสั้นกระมัง! โจรสาวขบกรามพร้อมกับเหยียดกายเปลี่ยนท่าเป็นนั่ง แม้จะหน้ามืดอยู่บ้างแต่ก็ลงมือจะถอดเสื้ออย่างไม่ไยดี “นายหญิงถอดชุดทำไมเจ้าคะ! ” ครานี้ผู้ที่เพิ่งฟื้นหยุดมือ อดไม่ได้ที่จะกวาดสายตามองไปรอบๆ อีกครั้งเพื่อไตร่ตรองดูให้มั่นใจว่าตนอยู่ที่ใดกันแน่ ข้าวของทุกอย่าง...ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะ คันฉ่อง และผ้าม่านล้วนเป็นของราคาแพง เล่นเอาแม่นกยูงถึงกับตาพร่า คำนวณดูราคาของพวกมันในใจแล้วก็ต้องลอบกลืนน้ำลาย ความแสบร้อนในลำคอเป็นสิ่งตอกย้ำว่านางยังคงมีชีวิตอยู่...หมายความว่าโจรเช่นนางรอดชีวิตมาอยู่ในขุมสมบัติหรืออย่างไร? ผู้คิดดึงสายตากลับมายังหญิงสาวสามนางในอาภรณ์ที่ต่างสีกันออกไป แต่ละนางล้วนมีใบหน้างดงามสะอาดสะอ้าน แววตาที่มองมาเต็มไปด้วยความห่วงใยและเทิดทูน เสาอวี่รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวอย่างประหลาด สตรีแปลกหน้าเหล่านี้นางไม่เคยรู้จักมาก่อน คาดว่าคงไม่ใช่พวกของหมอหญิงเทวดาหรือฟางฟาง “พวกเจ้าเป็นใคร” เสาอวี่ถามจบก็อ้าปากค้าง เสียงของนางแม้จะยังแหบแห้งอยู่บ้างแต่ก็แว่วหวานผิดปกติ ราวกับมันไม่ใช่เสียงของนาง! ใบหน้าที่เดิมทีขาวผุดผ่องราวกับเหยือกกล้วยยิ่งซีดเซียวลงไปอีก สีหน้าสับสนของผู้เป็นนายส่งผลให้สาวใช้ทั้งสามหันมามองหน้ากันแล้วปรึกษาหารือกันผ่านแววตา ก่อนที่ซือซือ สาวใช้ในชุดสีฟ้าอ่อนจะเคลื่อนกายเข้าไปใกล้ร่างบนเตียงมากยิ่งขึ้น ยามนี้อีกฝ่ายอาจมีอาการสับสนหลังจากเห็นคนถูกสังหารอย่างเหี้ยมโหดไปต่อหน้าต่อตา มิหนำซ้ำยังถูกวางยาพิษร้าย เพราะฉะนั้นการปลอบขวัญร่างบอบบางจึงเป็นเรื่องที่สมควรทำเป็นอันดับแรก “นายหญิงเพิ่งฟื้นตัวอาจจะเกิดความสับสน ข้าน้อย ‘ซือซือ’ เองเจ้าค่ะ เป็นหนึ่งในสามสาวใช้ขั้นที่หนึ่ง มีหน้าที่ดูแลเรื่องตารางการนัดหมายของนายหญิง” นางกล่าวจบก็ผายมือไปยังสาวใช้อีกสามคนที่อยู่ถัดไป เสียงของนางทั้งอ่อนโยนและฉ่ำเย็นราวกับสายน้ำไหล บ่งบอกถึงบุคลิกนิสัยว่าเป็นคนใจเย็น ซือซือผายมือไปยังสาวน้อยวัยเดียวกันในชุดสีส้ม “ส่วนนางคือเจียวเจียว เป็นสาวใช้ขั้นที่หนึ่งซึ่งคอยดูแลเรื่องเครื่องแต่งกายของนายหญิง” จากนั้นก็เคลื่อนมือไปยังสาวใช้คนสุดท้ายในชุดสีเหลือง “สุดท้ายคือหลิวหลิว สาวใช้ขั้นที่หนึ่งผู้รับหน้าที่ดูแลเรื่องสำรับอาหารของนายหญิงเจ้าค่ะ” เสาอวี่ยิ่งฟังก็ยิ่งงง ตั้งแต่เมื่อไรกันที่นางกลายเป็นนายหญิง? หญิงสาวเค้นยิ้มเชือดเฉือน ชักจะล้อเล่นกันหนักเกินไปแล้ว! “เช่นนั้นรึ” เจ้าเสียงหวานไพเราะเค้นหัวเราะอย่างผิดวิสัย เล่นเอาผู้ฟังรู้สึกราวกับหัวใจหล่นวูบลงจากที่สูง ก่อนจะพากันสะดุ้งโหยงเมื่อหญิงสาวกลับคว้าหมอนขึ้นมาก่อนจะเขวี้ยงผ่านศีรษะพวกนางไปโดนแจกันที่วางประดับอยู่บนโต๊ะกลางห้อง เพล้ง! แจกันที่ตกแต่งส่งผลให้สาวใช้ทั้งสามคุกเข่าพร้อมกับโขกหัวอย่างลนลาน “ข้าน้อยสมควรตาย!” “ไปตามนายของพวกเจ้ามาพบข้า!” อย่าให้นางรู้นะว่าผู้ใดแต่งองค์ทรงเครื่องนางเสียหวานเลี่ยนเช่นนี้ แถมยังมอบตำแหน่งนายหญิงให้อีก คอยดูเถิด...นางจะเล่นงานจนต้องโอดครวญร้องขอชีวิตเลยทีเดียว! สีหน้าโหดเหี้ยมซึ่งขัดกับใบหน้าจิ้มลิ้ม ส่งผลให้มันดูบิดเบี้ยวน่ากลัวเกินทนสำหรับผู้มอง ‘นายหญิงเป็นอะไรไป...’ คำถามอันแปลกประหลาดเรียกให้สาวใช้ทั้งสามหันไปมองหน้ากันอีกครั้ง ทั้งแตกตื่นดูตกใจอย่างปิดไม่มิด สายลมยามเย็นนับว่าไม่ร้อนไม่หนาวจนเกินไป ทว่าเหตุใดบรรยากาศในห้องนี้จึงน่าอึดอัดจนบ่าวไพร่ต่างพากันหายใจไม่ทั่วท้อง “นะ...นายหญิงคือนายของพวกเราเจ้าค่ะ” เหลียวเหลียวที่ก้มหน้าอยู่กลั้นใจตอบ นายหญิงของนางอายุยังน้อยแถมยังไร้เดียงสา แต่ไหนแต่ไรก็เป็นกุลสตรีผู้เพียบพร้อมไปด้วยรูปโฉมและชาติกำเนิด ไฉนกลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากนางจึงได้ดูดิบเถื่อนราวกับเป็นคนละคน เสาอวี่ชันเข่าขึ้นมาข้างหนึ่ง “เช่นนั้นก็ไปตามคนที่มีอำนาจสูงสุดในที่นี้มาพบข้า!” ซือซือเองก็สัมผัสถึงความผิดปกติของนายหญิง แต่ทำใจให้ชื้นเข้าไว้ บางทีนางอาจจะแค่คิดเป็นตุเป็นตะไปเอง นางแหงนหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย ครั้นเห็นการวางตัวที่ดูห่ามจากเดิมก็ตั้งสติอยู่นานถึงจะเปิดปากพูดออกไป “นายหญิง ท่านคือสตรีผู้มีอำนาจสูงสุดในที่นี้ ที่นี่คือจวนท่านเจ้าเมือง ท่านหมดสติอยู่ตรงกำแพงเมือง ท่านอวี่เหลียงจึงพาท่านมาพักผ่อนที่จวน ทว่าซ้ำร้ายท่านกลับถูกวางยาพิษ ยามนี้คนร้ายถูกลงโทษไปแล้ว พวกข้าน้อยผลัดเปลี่ยนกันมาเฝ้าไข้ท่านอยู่ตลอด ท่านไม่ได้สติมานานสองทิวาราตรี รู้สึกตัวอยู่ครู่เดียวก็สลบไปอีกครั้งจนฟื้นคืนในวันที่สามเจ้าค่ะ” คำอธิบายส่งผลให้ผู้ฟังหน้าดำคล้ำ ประเสริฐยิ่งแล้ว! นางหมดสติไปในจวนท่านเจ้าเมือง พอรู้ตัวอีกทีก็กลายเป็นว่าต้องมาสวมรอยเป็นท่านเจ้าเมืองที่เป็นลมบนกำแพงเมืองงั้นรึ! “เหลวไหล! ข้าถูกทะ...” นางเคลื่อนมือมากุมหน้าท้องบานราบที่จำได้ว่ามีบาดแผลฉกรรจ์ หากมิทันไรใบหน้าก็ซีดเผือดเมื่อคลำไปแล้วไม่พบผ้าพันแผล พอกดนิ้วลงไปแล้วหาได้เจ็บปวดไม่ สาวใช้ทั้งสามเห็นนายตนเป็นเช่นนั้นก็พากันตัวสั่นเทา หรือว่าอารมณ์ฉุนเฉียวจะเกิดจากผลค้างเคียงของยาพิษ? ...เช่นนั้นต้องรีบเรียกท่านหมอมาดูอาการให้เร็วที่สุด! “พี่สาวซือ ข้าจะรีบไปตามท่านหมอเกามาให้เร็วที่สุด” เจียวเจียวกล่าวจบก็วิ่งออกจากห้องไปทันที ทิ้งให้สาวใช้อีกสองคนที่เหลือต่างพากันหายใจไม่ทั่วท้อง หลิวหลิวเงยหน้าขึ้นสบตาผู้ที่กำลังไม่พอใจอีกครั้ง “นายหญิง ท่านหมดสติไปนานก็จริงอยู่ แต่เมืองจื้อโหยวปลอดภัยดี พยัคฆ์เงินถอยทัพกลับแคว้นอู๋ไปแล้วเจ้าค่ะ” เสาอวี่รู้สึกปวดหัว มึนงงสับสนไปหมด เหตุใดคนเหล่านี้จึงได้ยัดเยียดสิ่งที่นางไม่อยากรู้มาไม่รู้จักจบจักสิ้น! “เจ้ากำลังจะบอกว่าข้าคือซูเฉิ้งหนาน? ” “จะ...เจ้าค่ะ” คนทั้งสองตอบรับอย่างพร้อมเพรียงด้วยเสียงอันสั่นเครือ “ข้าไม่รู้จักพวกเจ้า แล้วก็ไม่รู้จักคนที่ชื่ออวี่เหลียง! พวกเจ้ามันพวกต้มตุ๋น! บรรพบุรุษของเจ้าทั้งเก้าชั่วโคตรล้วนเป็นนักต้มตุ๋น!” เสียงตวาดดังขึ้นก่อนที่เจ้าตัวจะตบมือลงบนเสาเตียงเสียงด้วยกำลังทั้งหมดที่มี แต่สุดท้ายกลายเป็นนางเองที่เบ้หน้าอย่างเจ็บปวด เหตุใดเสาไม้จึงได้แข็งราวกับหิน ยิ่งพินิจมองมือยาวเรียวเล็กก็ตกใจจนแทบเผลอกัดลิ้นตนเอง สุดท้ายจึงหันหน้าที่ประเดี๋ยวแดงประเดี๋ยวซีดกลับไปยังสาวใช้ ข้อสงสัยมากมายถาโถมเข้าใส่ราวกับระลอกคลื่น นางยังคงเป็น เสาอวี่...จอมโจรนกยูงดำ อยู่หรือไม่! ร่างในอาภรณ์สีชมพูดีดกายลงจากเตียง ส่วนสูงที่หดลดลงส่งผลให้ราวกับมีก้อนบางอย่างจุกอยู่ในลำคอ จะหัวเราะก็ไม่ได้...จะร้องไห้ก็ไม่เชิง ขอร้องเถอะ! อย่าให้สิ่งที่นางคิดไว้เป็นความจริงเลย! “นายหญิง...” โจรสาวหาได้สนใจเสียงเรียกเหล่านั้นไม่ ทันทีที่เท้าสัมผัสพื้นก็วิ่งพรวดพราดออกไปจากห้องทันที! สาวใช้ที่ยืนอออยู่ด้านนอกเห็นนายของตนวิ่งด้วยกิริยาไม่สำรวมก็ตกใจ รีบลุกขึ้นยืนแล้ววิ่งตาม ปากก็ตะโกนร้องเรียกอย่างเป็นห่วง “นายหญิง! อย่าวิ่งเจ้าค่ะ ท่านเพิ่งฟื้นไข้ ประเดี๋ยวอาการจะทรุดหนัก นายหญิง!” หญิงสาวละความสนใจจากพวกนางโดยสิ้นเชิง ความใหญ่โตของเรือนแห่งนี้ทำให้สองเท้าเนียนผ่องปราศจากรองเท้าห่อหุ้มเริ่มเจ็บ แม้เจ้าตัวจะพยายามรวบรวมกำลังภายในเพื่อใช้วิชาตัวเบาก็ไม่เป็นผล สุดระเบียงทางเดินรอบตัวเรือนยื่นออกไปเหนือบ่อน้ำใส ฝูงปลาจิ๋นหลี่[1]ต่างพากันว่ายหนีซ่อนตัวเมื่อพบว่ามีเงาสายหนึ่งทาบทับบังแสงสุริยันกลมแดงที่ใกล้จะลับขอบฟ้า การวิ่งด้วยระยะทางไม่ถึงครึ่งลี้กลับสร้างความเหน็ดเหนื่อยให้กับแม่โจรสาวอย่างไม่น่าเชื่อ ก้อนเนื้อในอกนางเต้นถี่รวนจนแทบจะหลุดออกมาด้านนอก ภาพที่ทอดลงบนผิวน้ำเกิดรอยกระเพื่อมไหวเป็นระลอกคลื่น หากมันยังเทียบไม่ได้กับเสี้ยวหนึ่งของความสั่นไหวในดวงตากระจ่างใสดั่งอัญมณีเจียระไน ดวงหน้าหวานรูปหัวใจรับเข้ากับริมฝีปากอวบอิ่มน่าทะนุถนอมประหนึ่งบุปผาบริสุทธิ์ที่บัดนี้อ้ากว้าง ตกตะลึงในสิ่งที่เห็น เจ้าตัวปล่อยให้แสงยามบ่ายอาบไล้ร่าง ความชาลามจากศีรษะจรดปลายเท้า จึงทำได้เพียงยืนนิ่งงันอยู่เช่นนั้น ไม่สิ...นางมิอาจเรียกได้ว่าอาการชาเหล่านี้เป็นที่ตนเลยด้วยซ้ำ ในเมื่อภาพที่กำลังสะท้อนอยู่บนบ่อน้ำมันมิใช่ร่างของนาง! [1] ปลาจิ๋นหลี่ (**) ในภาษาจีนคือ ปลาคาร์ฟ
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม