และไม่ใช่แค่การบาดเจ็บเพียงผิวเผิน...แต่จากสภาพแล้วค่อนข้างหนักสาหัสอยู่พอสมควร
เสียงนุ่มทุ้มดั่งสุภาพชนส่งผลให้แม่โจรสาวตวัดสายตาไปยังผู้พูด ครั้นดวงตาคมสบเข้ากับดวงตาเรียวก็ชะงักค้างเมื่อพบว่าอีกฝ่ายมีดวงตาสีน้ำตาลแดงเหมือนกับนางไม่ผิดเพี้ยน
ในใจของรู้สึกแปลกๆ ชอบกล หากกลับบรรยายไม่ได้ว่าความรู้สึกนี้มันคืออะไร รู้เพียงว่ามันทำให้นางหงุดหงิดมาก จึงตีค่าว่ามันคงเป็นสิ่งที่ผู้คนเรียกว่าเกลียดขี้หน้าตั้งแต่แรกพบ
นางไม่ชอบให้ผู้ใดมีส่วนที่เหมือนกับนาง แม้ว่าจะไม่ตั้งใจหรือว่าเจตนาลอกเลียนแบบก็ตามที
“อย่ามาแตะต้องตัวข้า”
เสียงของหญิงสาวแข็งกระด้างขึ้นอย่างเห็นได้ชัด หากมิทันจะได้รวบรวมพละกำลังกำลังในเพื่อพุ่งตัวออกห่างก็ถึงกับสะดุ้งเมื่อเสียงฟ้าผ่าดังขึ้น
เปรี้ยง!
เจ้าของใบหน้าซีดเซียวตัวสั่นพร่า ดวงตาหลับปี๋ก่อนจะลงไปนอนขดตัวอยู่บนพื้นเย็น สลัดคราบนางพญาผู้หยิ่งผยองจนเหลือเพียงเงาร่างของลูกนกเสียขวัญ
อูกั๋วเห็นดังนั้นก็เริ่มใจชื้น มั่นใจว่านางคงเป็นมนุษย์มิใช่ผีสาง สตรีผู้นี้พูดจาห้วนสั้นป่าเถื่อนถึงเพียงนั้น ทว่าแง่มุมที่นางกลัวเสียงฟ้าผ่ากลับดูเหมือนสตรีอ่อนแอทั่วๆ ไป พินิจดูแล้วในใจก็เกิดความเอ็นดูขึ้นมาอย่างยากที่จะอธิบาย
คิดพลางเบือนสายตาไปยังบุรุษข้างกาย พบว่าเขากำลังจับจ้องคนเจ็บไม่วางตาเหมือนกำลังช่างน้ำหนักบางอย่างอยู่ในใจ พี่ใหญ่ของเขามักจะเป็นเช่นนี้เสมอ ไม่ว่าเห็นใครลำบากก็มักจะเข้าไปให้การช่วยเหลือโดยไม่มุ่งหวังสิ่งตอบแทน ทั้งยังกระทำในที่ลับโดยไม่เปิดเผยเอาหน้า อุดมการณ์เช่นนี้ช่างน่านับถือ...น่าเลื่อมใสยิ่งนัก
ในที่สุดชายหนุ่มก็เอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมาราวกับตัดสินใจได้
“แม่นาง คงต้องล่วงเกินแล้ว”
เสาอวี่ฝืนลืมตาแล้วจ้องอีกฝ่ายเขม็ง ระหว่างหลบหนีมากบดานอยู่ที่นี่นางพบเห็นประกาศตามจับพร้อมกับเงินรางวัลค่าหัวจอมโจรนกยูงดำที่แพร่กระจายไปทั่วแคว้นเกา กว่าจะมาถึงที่นี่ปะทะกับสุนัขของกองโจรไร้ตาและกองปราบมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่หน ความหวาดระแวงจากเหตุการณ์ที่ผ่านมาทำให้มิอาจวางใจผู้ใดทั้งสิ้น
ติงหยางคงรอดชีวิตจากเพลิงไหม้และกำลังพลิกแผ่นดินตามล่าตัวนางอยู่...
“ข้าไม่ฉวยโอกาสกับผู้ที่บาดเจ็บ”
คำยืนกรานหนักแน่นเรียกเสียงเค้นหัวเราะแผ่วเบา เสาอวี่พิจารณาหน้าตาของผู้มาใหม่อย่างละเอียดมากกว่าเดิม แม้ร่างกายจะบาดเจ็บแต่ทักษะการมองเห็นในความมืดยังคงทำงานได้อย่างไร้ที่ติ บุรุษผู้นี้มีใบหน้าเกลี้ยงเกลาผสมผสานระหว่างหน้าหยกและคมสัน แลดูซื่อๆ ไม่มีพิษมีภัย ข้างเอวไม่มีกระบี่หรืออาวุธมีคม
นางไม่ได้ห่วงเรื่องที่เขาจะแตะต้องตัว การวางตัวสำหรับบุรุษและสตรีหาใช่เรื่องที่นางต้องเก็บเอามาใส่ใจ แต่ถ้าอีกฝ่ายคิดจะจับตัวนางไปขึ้นรางวัลก็เป็นอีกเรื่อง ดังนั้นยิ่งพวกเขาไปเสียให้พ้นๆ ได้คงดีกว่ามาแบกรับความเสี่ยง
“หึ... บุรุษผู้มีไฝกลางหน้าผากหมายความว่าเป็นพวกรักความยุติธรรม ไสหัวไปให้พ้น!”
เด็กหนุ่มมองท่าทางห่ามเถื่อนของสตรีผู้นี้แล้วถึงกับส่ายหน้า
‘เสียเลือดมากแล้วยังปากร้ายได้เยี่ยงนี้ ไม่รู้ว่าเป็นสตรีจริงๆ หรือปีศาจกันแน่’
ฝ่ายร่างสูงโปร่งจ้องมองคนเจ็บอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเลิกคิ้วเล็กน้อย “แม่นางมีความรู้ทางศาสตร์เมี่ยนเซี่ยง[1]? ”
มีผู้อาวุโสหลายคนเคยทักเรื่องไฝที่ตำแหน่งกลางหน้าผากของเขา นอกจากเรื่องสติปัญญาและรักยุติธรรมแล้ว ยังมีเรื่องจิตใจที่เมตตากรุณาแก่ผู้อื่น ในภายภาคหน้าเมื่อย่างเข้าสู่วัยกลางคนจะกลายเป็นคนมีชื่อเสียง เป็นที่เคารพสรรเสริญของผู้คน
...แต่เขาก็ไม่เคยคิดเชื่อเรื่องเหล่านี้ ในเมื่อสิ่งที่สำคัญกว่าความเชื่อคือการลงมือทำ
เสาอวี่ไม่ตอบคำถามของบุรุษแปลกหน้า ดวงหน้าเรียวคมซึ่งมีรอยช้ำที่มุมปากกระตุกขึ้น “ข้าไม่ถูกชะตากับคนแบบเจ้า ไส-หัว-ไป-ให้-พ้น!”
โลกใบนี้หาได้มีความยุติธรรมไม่ ผู้แข็งแกร่งต่างหากที่กำหนดกฎเกณฑ์เอาความสุขสบายเข้าหาตน ส่วนคนอ่อนแอก็ย่อมตกอยู่เบื้องล่าง
...ยิ่งคิดยิ่งหงุดหงิด ยามนี้อยากอาบน้ำจะแย่ ความสกปรกส่งผลให้คนรักสะอาดอย่างเสาอวี่รู้สึกรังเกียจตนเองขึ้นมา
แม้โดนเอ่ยปากไล่ถึงสองครั้งสองครา ทว่าชายหนุ่มก็หาได้สะทกสะท้านไม่ จังหวะต่อมาแสงสว่างวาบก็สาดเข้ามาภายในวัดร้าง เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงบางสิ่งที่กำลังจะตามมาในไม่ช้า
เปรี้ยง!!
ฟ้าผ่าหนนี้ใกล้และชัดเจนมากกว่าทุกครั้ง คาดว่าอสนีบาตคงจะผ่าต้นไม้ไม่ใกล้ไม่ไกลจนล้มโค่น ทว่าสิ่งเหล่านั้นมิได้สร้างความตกใจให้กับร่างสูงโปร่งมากเท่ากับร่างร้อนผ่าวที่โผเข้าใส่จนล้มลงบนพื้นด้วยกันทั้งคู่
โครม!
เสาอวี่เม้มริมฝีปากแน่นเพื่อกลั้นเสียงร้อง ตั้งแต่จำความได้นางก็ทั้งเกลียดและกลัวฟ้าผ่า เพียงแค่ได้ยินเสียงของมันก็สามารถทำให้เสียการควบคุม สองมือที่เคยผลักไสอีกฝ่ายกลับยื้อคอเสื้อของชายหนุ่มไว้แน่น ซุกร่างเข้าหาตามสัญชาตญาณโดยไม่สนใจว่าสภาพที่นอนคร่อมทับอีกฝ่ายอยู่นั้นจะทำให้ชายหนุ่มรู้สึกเช่นไร
เรือนร่างสมส่วนที่แนบชิดสร้างความแปลกใหม่ทำเอาหมอนจำเป็นร่างแข็งค้างประหนึ่งรูปปั้น
“ลูกพี่”
เสียงเรียกของอูกั๋วดึงรั้งสติของเขาให้กลับมา ฝนพายุทางด้านนอกส่งผลให้อากาศหนาวเย็นทว่าร่างของแม่นางผู้นี้กลับร้อนระอุดั่งเปลวเพลิง เกรงว่าพิษจากบาดแผลที่สั่งสมมานานหลายวันจะทำให้อักเสบจนกลายเป็นไข้เสียแล้ว
ครั้นตระหนักได้ถึงคนป่วย แววตาที่ตะลึงงันก็กลับมาสงบนิ่งอีกครั้ง “แม่นาง แผลบนศีรษะ เจ้าต้องรีบรักษา” เขากล่าวจบก็หยิบของบางสิ่งออกมาจากอกเสื้อ จากนั้นก็เบือนสายตาไปยังคนทางด้านหลัง “อูกั๋ว ส่งเศษผ้ามาให้ข้า”
อูกั๋วสะดุ้ง กรอกตาไปมาอย่างงงงวย “ลูกพี่...ข้าไม่มีเศษผ้า”
...เหตุใดพี่ใหญ่จึงมาขอเศษผ้ากับเขาเล่า? แปลกจริงๆ
ผู้มองมาไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งใดเพิ่มเติม ทว่าสายตาที่หลุบต่ำลงก็เป็นการบ่งบอกอย่างชัดเจนว่าเขาต้องการสิ่งใด เด็กหนุ่มรีบก้มหน้ามองตาม ก่อนจะกลืนน้ำลาย ลงมือฉีกชายเสื้อสีเทาขุ่นที่สวมอยู่แล้วยื่นส่งให้
เจ้าของใบหน้าเกลี้ยงเกลาหยัดกายขึ้นมานั่งก่อนจะประคองร่างหญิงสาวให้ออกห่างจากตนเองเล็กน้อย เมื่อหันมามองอูกั๋วก็ขมวดคิ้ว
“ฉีกอีก”
แควก!
เศษผ้าผืนยาวเส้นที่สองถูกยื่นให้... แต่ดูเหมือนผู้รับจะยังไม่พอใจ
“ฉีกอีก”
แควก! แควก!
เดิมทีชายเสื้อบุรุษจะยาวเลยหน้าแข้งมาเล็กน้อย ทว่าบัดนี้เสื้อตัวยาวของเด็กหนุ่มกลับสั้นเต่อขึ้นมาเหนือเข่าอย่างน่าขัน เจ้าตัวผู้ลงมือฉีกชายเสื้อตัวเองจะหัวเราะก็ไม่ออกจะร้องไห้ก็ไม่ได้ พวกเขาไม่มีย่ามหรือห่อผ้าติดตัว กว่าจะเดินทางไปสมทบกับสหายของลูกพี่ก็ต้องทนใส่ชุดนี้จนกว่าจะถึงเมืองอูกวาน คาดว่าอีกฝ่ายคงมาทันได้เห็นเขาเตะโดนร่างของแม่นางผู้นี้เป็นแน่ ด้วยเหตุนี้จึงใช้วิธีนี้มาลงโทษ
แต่เขาไม่ได้ตั้งใจสักหน่อย...ลูกพี่ช่างไม่เมตตาเขาบ้างเลย!
เสาอวี่ที่เพิ่งผ่อนคลายจากความหวาดกลัวรู้สึกปวดร้าวที่ศีรษะขึ้นอีกระลอก ไหล่ที่ถูกตรึงไว้ทำให้รู้สึกไม่สบายตัวจึงผละออกห่าง หากถอยร่นไปเพียงไม่นานก็ถูกร่างสูงโปร่งเข้ากระชิดตัว
นางยื่นมือคว้าข้อมือของชายหนุ่มเอาไว้แน่น “อย่าแตะต้องข้า! ”
[1] เมี่ยนเซี่ยง (**) หมายถึง ศาสตร์การดูโหงวเฮ้งบนใบหน้า ซึ่งเป็นหนึ่งในสองแขนงของศาสตร์การดูโหงวเฮ้ง หนึ่งคือโส่วเซี่ยง (**) การดูลายมือ สองคือ เมี่ยนเซี่ยง (**) การดูใบหน้า