“หือ อาหารมื้อนี้อย่าบอกนะว่าเซียงเซียงทำเองทั้งหมด”
เหอโจวเว่ยเลิกคิ้วขึ้นมาด้วยความแปลกใจ ไม่คิดว่าน้องสาวจะทำอาหารได้น่าทานแบบนี้
“ฉันไม่ทำแล้วใครทำล่ะพี่ใหญ่ พี่ก็ถามแปลก มานั่งได้แล้ว นั่นเพื่อนพี่ใช่ไหม ถ้าไม่รังเกียจก็ทานด้วยกันนะคะ”
เหอว่านเซียงตอบพี่ชายพอเห็นว่ามีชายหนุ่มอีกคนเดินเข้ามาด้วยและคิดว่าคงเป็นเพื่อนกับพี่ใหญ่จึงเอ่ยชวนให้มากินอาหารด้วยกัน
“ขอบคุณครับ” หวงเหยียนหลงตอบรับ ก่อนจะนั่งลงข้าง ๆ เหอโจวเว่ย
“อ้าว! อาหลง มา ๆ มากินอาหารด้วยกัน นานแล้วเหมือนกันที่นายไม่ได้มาที่นี่” นายท่านเหอทักทายเพื่อนลูกชายด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะกวักมือเรียกทุกคนให้นั่งประจำที่เพื่อกินอาหารด้วยกัน
“ผมติดงานครับคุณอา ทั้งงานในบริษัทและงานนอกที่เพิ่งมีบริษัทสร้างภาพยนตร์มาขอทุน” หวงเหยียนหลงตอบ ก่อนจะปรายตามองเด็กน้อยที่กินข้าวอย่างอร่อยพร้อมโปรยยิ้มหวานให้กับทุกคนด้วยรอยยิ้มที่แสนอ่อนโยน ซึ่งเขาไม่เคยมีให้ใครมาก่อนนอกจากภรรยารักที่จากไปแล้ว
“หม่ำ ๆ” หลิงหลิงเห็นว่าลุงตัวโตมองเธอไม่หยุดจึงยิ้มหวานและชวนกินข้าวด้วยกัน ทำให้คนโดนชวนอย่างหวงเหยียนหลงเผลอยิ้มออกมา
“หลงในความน่ารักของหลิงหลิงแล้วใช่ไหม เมื่อไหร่นายจะมีสักคน แม่ของลูกน่ะ ก่อนที่นายจะมีลูก นายต้องมีแม่ของลูกก่อน”
“ฉันคงมีใครไม่ได้อีกแล้ว ใจของฉันยังไม่ลืม...” เมื่อนึกถึงภรรยารักที่จากไป ใบหน้าของชายหนุ่มกลับเศร้าหมองลงผสมความแค้นเล็กน้อย ก่อนจะปรับสีหน้าให้เป็นปกติ
“สามปีแล้วอาหลง นายควรจะเดินออกจากความเศร้าได้แล้ว การที่นายทำงานเป็นบ้าเป็นหลังเพียงเพราะต้องการลืมความเจ็บปวดที่สูญเสียอาเม่ย ฉันว่านายทำผิด”
เหอโจวเว่ยพูดขึ้นมา อาเม่ยก็เพื่อนของเขาเหมือนกัน ซึ่งหมายความว่าเขาย่อมรู้ดีไม่ต่างจากอาหลงว่าอาเม่ยจากไปเพราะอะไร ไม่ว่าอาหลงจะเข้มแข็งหรือเหี้ยมโหดแค่ไหน แต่เรื่องที่ต้องสูญเสียภรรยารักเพราะศัตรูมันเป็นเรื่องยากที่จะทำใจได้
“ขอโทษนะพี่ใหญ่ คุณหวง ฉันว่าเรื่องความเศร้าค่อยพูดดีไหม ตอนนี้ควรจะทานอาหารก่อน เพราะถ้าอาหารเย็นแล้วมันจะไม่อร่อย แล้วก็ความเศร้ามีได้ แต่ไม่ใช่เก็บไว้กับตนเองตลอดเวลา ในเมื่อเธอคนนั้นจากไปแล้ว เธอคงไม่อยากให้สามีของเธออยู่ในความเศร้าตลอดชีวิตหรอก บางครั้งการตายจากย่อมดีกว่าแยกจากกันทั้ง ๆ ที่มีชีวิตอยู่”
เหมือนเช่นเหอว่านเซียงคนเก่าอย่างไรล่ะ เธอตายจากไปเพราะไม่ต้องการรับรู้ความเจ็บปวดที่สามีสุดที่รักมอบให้ แต่ต่างจากเหอว่านเซียงคนนี้ที่ยอมตัดขาดกับสามีมากกว่าจทนช้ำใจอยู่แบบนั้น
ทุกคนมองเหอว่านเซียงเล็กน้อย คิดว่าที่เธอพูดเกิดจากความรู้สึกของตนเองที่กำลังจะหย่ากับสามี มีเพียงหวงเหยียนหลงที่คิดตาม แต่ไม่เข้าใจว่าน้องสาวของเพื่อนคนนี้มีเรื่องทุกข์ใจอะไร ทั้ง ๆ ที่ใบหน้าของเธอไม่มีความเศร้าเลย
จากนั้นทุกคนจึงร่วมกันทานอาหารมื้อนี้กันอย่างอร่อย รวมทั้งเจ้าตัวน้อยอย่างหลิงหลิง ที่แม่สุดสวยอย่างเหอว่านเซียงเอาผลไม้มาให้กิน จนเลอะไปทั่วใบหน้าด้วยความชอบใจ
มื้อเที่ยงผ่านพ้นไป เหอโจวเว่ยจึงชวนหวงเหยียนหลงมาคุยกันที่ห้องหนังสือ โดยมีเหอว่านเซียงตามมาด้วยเพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องของเธอ ส่วนหลิงหลิงตัวน้อยโดนคุณยายพาไปอาบน้ำด้วยตนเอง
“นายมีอะไรจะคุยกับฉัน อาเว่ย” เอ่ยถามเพื่อน ก่อนจะมองหน้าคนที่เพิ่งตามเข้ามาด้วยสายตานิ่งสงบ
“ฉันและเซียงเซียงมีเรื่องจะรบกวนและไหว้วานนาย เรื่องมีอยู่ว่า...”
เหอโจวเว่ยเล่าเรื่องของผู้พันเมิ่งหรือน้องเขยตัวดีให้ฟังทั้งหมด และจบลงตรงที่ว่า เขาและเซียงเซียงต้องการให้สืบเรื่องผู้หญิงที่ผู้พันเมิ่งเลี้ยงดู เพื่อนำมาเป็นหลักฐานในการฟ้องหย่า
“เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องจ้างนักสืบ ฉันจะให้คนในบริษัทรักษาความปลอดภัยจัดการให้ ฉันมีคนที่ชำนาญเรื่องนี้อยู่ ฉันขอเวลาไม่นานข้อมูลทุกอย่างจะส่งมาถึงมือของนายและคุณหนูเหอ”
เขาเลือกที่จะไม่เรียกคุณนายผู้พัน เพราะการที่ผู้หญิงคนหนึ่งลุกขึ้นมาสืบเรื่องของเมียน้อยสามีย่อมต้องเหลืออด และเธอกำลังจะหย่า เขาเรียกคุณหนูเหอจะสะดวกกว่า
“ฉันมีอีกเรื่องหนึ่ง ฉันต้องการให้นายส่งคนเข้าไปที่ตระกูลเมิ่ง เพื่อช่วยดูแลเซียงเซียงและหลานสาวของฉันในระหว่างที่รอวันหย่า ขอบอกนายตามตรงว่าฉันห่วงทั้งสองคน ฉันกลัวว่าถ้าหากเจ้านั่นรู้ว่าเซียงเซียงกำลัง
จะหย่า เจ้านั่นมันจะทำอะไรเธอ”
สิ่งที่เขาห่วงมากที่สุดคือกลัวว่าตระกูลเมิ่งจะเล่นงานน้องสาวและหลานสาวตัวน้อยของเขาน่ะสิ ต่อให้แม่สามีจะไม่ออกหน้ามากแต่ก็ไม่ค่อยชอบเซียงเซียงเท่าไร และยังมีน้องสาวของผู้พันเมิ่งอีกล่ะ
รายนั้นเห็นแก่ตัวที่สุด ชอบแย่งชิงของเซียงเซียงมาเป็นของตนเอง หลายครั้งที่เขาเห็นเธอเอารถของเซียงเซียงไปใช้ ยิ่งตอนที่เขารู้ข่าวว่าผู้พันเมิ่งเลี้ยงดูผู้หญิงไว้นอกบ้าน รายล่าสุดตอนนี้คือเพื่อนของคุณหนูเมิ่งนี่แหละและเชื่อว่าเธอเองน่าจะมีส่วนรู้เห็นด้วย
ไม่เช่นนั้นทุกคนทั้งเมืองต่างรู้ดีว่าภรรยาผู้พันเมิ่งคือลูกสาวเพียงคนเดียวของตระกูลเหอ หญิงสาวคนนั้นหากไม่รู้ว่าเมื่อก่อนเซียงเซียงเป็นคนเงียบ ๆ และอ่อนโยน เธอจะกล้าเข้าหาผู้พันเมิ่งได้อย่างไร แต่เรื่องนี้โทษฝ่ายหญิงคนเดียวก็ไม่ถูก ถ้าผู้ชายไม่มักมาก ตบมือข้างเดียวคงไม่ดัง
“พี่ใหญ่ น้องสาวของพี่คนนี้เปลี่ยนไปแล้วนะ ไม่ยอมให้ใครมารังแกได้ง่าย ๆ หรอก การที่ส่งคนเข้าคฤหาสน์ตระกูลเมิ่งย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายและถ้าบอกว่ามาจากตระกูลเหอ คิดว่าคุณนายเมิ่งคงไม่ยอม วันนี้กว่าที่ฉันจะกลับมาบ้านได้ แม่สามีคนนี้ก็เรียกไปคุย และถามหาถึงเหตุผลว่าทำไมต้องกลับบ้านด้วย”
ไม่รู้ว่าพี่ชายจะห่วงอะไรนักหนา เธอไม่ยอมให้ใครมารังแกหรอกนะ ต่อให้เธอจะไม่ใช่เหอว่านเซียง แต่เวลานี้เหอว่านเซียงก็คือตัวเธอ เธอย่อมต้องดูแลตนเองและลูกน้อยให้ดี ไม่ยอมให้ใครมารังแกได้อีก ไม่เช่นนั้นเธอไม่คิดที่จะเตรียมฟ้องหย่าหรอก
“อืม ขอเวลาสักหน่อย ฉันจะส่งคนเข้าไป สักสองสามคน ส่วนจะเป็นใครนั้น ฉันจะมาแจ้งนายอีกครั้ง นายจะได้แจ้งน้องสาวนายได้”
หวงเหยียนหลงรับปากว่าจะส่งคนเข้าไป แม้ว่ามันจะไม่ใช่เรื่องง่ายแต่คงไม่ยากเกินความสามารถของเขา
เหอว่านเซียงมองเพื่อนพี่ชายด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก ทำไมเธอรู้สึกว่าคุณเหอคนนี้มีความเจ็บปวดบางอย่างซ่อนอยู่ แต่ในเมื่อไม่ใช่เรื่องของเธอหญิงสาวจึงไม่คิดที่จะถามไถ่กับพี่ชาย
วันนี้พบหน้ากันก็เพียงเพราะเธอต้องการความช่วยเหลือ หากเป็นเวลาทั่วไป เธอคงไม่มานั่งคุยกับคนแปลกหน้าเช่นนี้
เหอว่านเซียงอยู่ที่ตระกูลเหอถึงช่วงบ่ายแก่ ๆ เธอจึงขอตัวกลับคฤหาสน์ตระกูลเมิ่ง เธอไม่รู้ว่ากลับไปจะต้องเจอเรื่องอะไรอีก หวังว่าสามีของร่างนี้คงไม่หาเรื่องอะไรให้เธอปวดหัวอีกหรอกนะ เพราะเหอว่านเซียงคนนี้
จะไม่ยอมนิ่งดูดายเหมือนที่ผ่านมา
ภายในคฤหาสน์ตระกูลเหอ
“เจ้าใหญ่ ลูกพอจะช่วยน้องได้ไหม พ่อหวั่นใจยังไงก็ไม่รู้” นายท่านเหอนั่งคุยกับลูกชายและหวงเหยียนหลงด้วยความไม่สบายใจ
“ผมจะเร่งจัดการเรื่องนี้ให้ครับ แต่ผมคิดว่าต่อให้ทั้งสองยังไม่หย่ากัน เราควรจะพาเซียงเซียงและหลิงหลิงมาอยู่ที่นี่ก่อน แม้ว่าผมจะให้อาหลงจะส่งคนเข้าไปในตระกูลเมิ่ง แต่ผมก็ไม่สบายใจอยู่ดี”