“ว่าไงนะ...ผู้ชายชวนไปอยู่ด้วย!” บรรดาสาวสองพากันกรี๊ดกร๊าดเป็นการใหญ่เมื่อรู้ข่าว
“เปล่าเสียหน่อยพี่เกด...แค่บอกให้ไปอยู่ในห้องเก่าที่เขาเคยอยู่ จะได้ไม่ต้องเสียค่าเช่า ไม่ต้องเดินทางไกลด้วย เพราะเขากับแม่อาจจะตกลงกันว่าให้ฉันทำงานที่นั่นต่อไปหลังหมดสัญญาสามเดือน” โสรยาร่ายยาว
หล่อนรู้ว่าการพูดครึ่ง ๆ กลาง ๆ กับบรรดาเพื่อนรักนั้น จะทำให้หล่อนต้องมานั่งสาธยายอย่างไม่จบไม่สิ้นในภายหลัง
“แล้วแกจะย้ายไปเมื่อไหร่” ประภาดาถาม
“เบาสิแม่...เขายังไม่ได้ตกลงกันเลย” ดาหวันตีขาของเพื่อนรุ่นพี่เพื่อเรียกสติความอยากรู้อยากเห็น
“แลดูทุกคนอยากให้ฉันไปอยู่ที่นั่นเหลือเกินนะ” สัมผัสได้จากแววตาทุกคู่ที่จ้องเขม็งมาอย่างกดดัน
“แหม...มันก็เป็นทางเลือกที่ดีไม่ใช่เหรอลูกสาว นี่ ๆ เขาคงอยากให้แกไปเป็นพนักงานประจำที่ร้านแหละ”
“จ้าแม่แพทชี่...คิดว่าเขาจะให้ฉันใส่ชุดมาสคอตไปวิ่ง ๆ เต้น ๆ ในร้านแล้วจ่ายวันละสองหมื่น มีเงินเดือนต่างหากตลอดไปหรือยังไง ฉันว่าไม่...” หล่อนครุ่นคิด หากตัดสินใจตกลงในตอนนี้ก็เปรียบเสมือนลูกไก่ในกำมือพวกเขาในทันที ถึงเวลาจะบีบก็ตาย จะคลายก็รอด
“ที่แท้ก็กลัวเขาโกงค่าตัวทีหลัง โธ่...อีคุณโสคะ มีปากก็เจรจาไปสิว่าจะเอายังไง อย่าเพิ่งคิดเองเออเองสิยะ”
“ใช่...เกดพูดมีเหตุผล” พรชัยแบะปากแล้วพยักหน้าสำทับ
“หวันก็เห็นด้วยค่ะ” น้องเล็กสุดยกมือขึ้นพร้อมรอยยิ้มเพื่อให้มติเป็นเอกฉันท์อย่างไร้ข้อกังขา
“แล้วเขาได้บอกรายละเอียดอย่างอื่นบ้างไหม” การะเกดถาม เพราะหญิงสาวไม่ได้พูดคุยเรื่องนี้ตั้งแต่หลังเลิกงานเมื่อคืน แต่เพิ่งมาเปิดปากเอาวันนี้ ตอนที่ทุกคนมารวมตัวกันเพื่อตัดต่อคลิปวิดีโอที่ห้องพักของดาหวัน
จุดรวมตัวแห่งใหม่ของพวกหล่อน...
“เขาว่าวันนี้เย็น ๆ ตอนไปทำงานจะพาไปดูที่ห้องว่าเป็นยังไง แล้วให้ฉันตัดสินใจอีกที แต่ฉันคิดว่าจะคุยเรื่องค่าจ้างหลังสัญญารอบนี้หมดด้วย ว่าถ้าตกลงจ้างต่อจะจ่ายยังไง”
“ก็รอบคอบดี แต่วันนี้ฉันกับนางพราด้าไปด้วยไม่ได้นะ เราต้องไปงานที่เมืองทอง”
“ไม่เป็นไรหรอกพี่แพท...พี่พราด้า ไม่ต้องทำหน้าหนักใจขนาดนั้น ฉันเข้าใจว่าทุกคนก็ต้องมีตัวเลือกไว้เผื่อฉุกเฉิน ถ้ามัวแต่มาเฝ้าฉันคนเดียว ก็อดตายกันหมด”
“เออ...เจ้ก็เข้าใจแก และขอบใจมากที่แกเข้าใจเจ้” ก่อนหน้าจะมาดูแลโสรยาอย่างเป็นทางการ พรชัยเองก็เคยเป็นเอเจนซี่ป้อนงานให้บรรดาพริตตี้และพีอาร์มาก่อน
เมื่อมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น ต่างคนต่างก็พยายามดิ้นรนหาช่องทางอื่นเพื่อให้มีรายได้เพิ่มขึ้น
“งานที่ร้านมันก็ไม่ได้มีอะไรเยอะแยะ ไม่ต้องแต่งหน้าแต่งตัวเหมือนเมื่อก่อน มาสคอตเด็ด ๆ สักชุด ไม่มีสะดุดทั้งคืน” แต่บางทีก็...มีล้มบ้างอะไรบ้าง
“ย่ะ!”
ณ นัวในหม้อ
โสรยา การะเกด และดาหวันเดินทางมาที่ร้านพร้อมกัน แม้จะมีการเปลี่ยนเรื่องแผนการทำงานไปบ้าง โดยพวกหล่อนไม่ได้ถ่ายคลิปและลงโปรโมตตามช่องทางของตัวเอง แต่ตัดต่อคลิปในแต่ละคืนที่ทำงานให้เพนนีนำไปโปรโมตตามสื่อต่าง ๆ ของทางร้าน
ซึ่งก็ได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดี ลูกค้ามากหน้าหลายตาหลั่งไหลเข้ามาใช้บริการ เช็กอิน และโพสต์ลงในโซเชียลเน็ตเวิร์กถึงไอเทมของทางร้าน นั่นคือมาสคอตซึ่งสร้างสีสันความสนุก และเป็นกันเอง คอยให้บริการนอกเหนือจากการมีพนักงานทั่ว ๆ ไป กับวงดนตรี
แต่โสรยาก็รู้ว่าวิธีนี้คงใช้ไม่ได้ผลตลอดไป จากความตื่นเต้นตื่นตาสักวันก็ต้องเสื่อมถอยความนิยมไปตามกาล ดังนั้นหล่อนต้องมีคอนเทนต์ใหม่ ๆ มานำเสนอเพื่อดึงดูดความสนใจไม่ให้ผู้ใช้บริการเกิดความเบื่อหน่าย แต่จะปรับเปลี่ยนอย่างไรดีล่ะ...
“มากันนานแล้วเหรอสาว ๆ” ประตูเปิดออก ร่างใหญ่ของมาคีส์โผล่เข้ามาพร้อมรอยยิ้ม เขาอยู่ในชุดกางเกงยีนเสื้อยืดเหมือนทุก ๆ วัน ยกเว้นเวลาทำงานที่ต้องสวมยูนิฟอร์มของร้าน
“ก็พักหนึ่งแล้ว...ว่าแต่ แม็กซ์มีอะไรกับพวกเราหรือเปล่า” โสรยาเงยหน้าขึ้นมาจากหน้าจอโน้ตบุ๊กแล้วเอ่ยถาม ในขณะที่ดาหวันและการะเกดกำลังง่วนอยู่กับการเช็กวิดีโอเซตของเมื่อคืนวาน
“ก็...ที่บอกไว้ว่าจะพาไปดูห้องข้างบนไง ลืมแล้วเหรอ”
“จริงด้วย...ว่าแต่แม็กซ์คุยกับคุณเพนนีแล้วเหรอ” หล่อนกล่าวด้วยความเกรงใจ ยิ้มแหย ๆ มองเขาอย่างขัดไม่ได้แต่ก็ไม่แน่ใจว่าจะเป็นทางเลือกที่ดีจริง ๆ หรือเปล่า
“อือ” เขาพยักหน้าแล้วยืนกอดอกพิงกำแพงมองหล่อนอย่างรอคอยคำตอบ
“ถ้างั้นฉันขอเช็กวิดีโอชุดนี้ให้เสร็จก่อนได้ไหม แล้วเดี๋ยวเราจะได้ขึ้นไปดูพร้อมกันทั้งหมดนี่เลย”
“ตามสบาย ผมรอได้”
“เฮ้ย...ไปกันสองคนไม่ได้หรือไง เดี๋ยวทางนี้เราสองคนจัดการกันเอง จะได้ไม่ต้องเสียเวลาด้วย ข้างบนนี่เองนังคุณโส หล่อนจะกลัวอะไรยะ”
“ใช่ค่ะพี่...หวันกับพี่เกดอยู่กันเองได้ พี่ไปเถอะ ดูห้องแป๊บเดียวไม่เป็นไรหรอก” ดาหวันช่วยเสริม แล้วสองกะเทยก็หันมองกัน แล้วพยักหน้าให้กันอย่างพร้อมเพรียง
“เอางั้นเหรอ...” หล่อนบุ้ยปากอย่างครุ่นคิด
“ไปเถอะ ไม่เกินห้านาทีหรอกน่า” มาคีส์ยืนยันแล้วเดินไปเปิดประตูรอ ยิ้มให้อย่างเชื้อเชิญ
โสรยามองเขาสลับกับเพื่อนสาวสองทั้งคู่ที่ไม่ได้สนใจหล่อนเลย แล้วจึงตัดสินใจเดินออกไปจากห้อง โดยมีชายหนุ่มปิดประตูให้แล้วเดินตามกันไป
แล้วสองกะเทยก็เงยหน้าขึ้นจากจอคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก...
“แกว่าเขาจะได้เสียกันไหมวะหวัน...” การะเกดเปิดประเด็น
“คิดว่ายังไม่นะคะซิส เพราะตอนนี้นอกจากเงินแล้วพี่คุณโสไม่มีเรื่องอื่นให้คิดหรอกค่ะ”
“แต่อีตาคุณแม็กซ์เนี่ย มีพิรุธชัด ๆ”
“หวันก็แอบสงสัยอยู่ค่ะ คุณแม็กซ์เนี่ยดูจะดีกับพี่คุณโสเป็นพิเศษเลยนะคะ” ดาหวันขมวดคิ้วมองเพื่อนสาวสองรุ่นพี่ด้วยความข้องใจ
“เขาก็ไม่เลวนะ เป็นลูกเจ้าของร้านอาหารใหญ่โต แถมเป็นลูกครึ่งอีก ทั้งรูปร่างหน้าตา ฐานะ โปรไฟล์จัดว่าเริ่ดในระดับหนึ่ง
“แต่คุณแม็กซ์ยังเด็กอยู่เลยนะพี่ สิบแปดหรือยังก็ไม่รู้ พี่คุณโสจะไม่เจอพรากผู้เยาว์เหรอคะ ถ้าเขาชอบกันจริง ๆ”
“โอ๊ย! แกก็ว่าไป ถ้าผู้เยาว์ยอมให้พราก เป็นแก...แกจะทำยังไงวะ” การะเกดหันมายิ้มจิกตามองดาหวัน อีกฝ่ายก็ใช้มือป้องปากหัวเราะคิกคัก
“ถ้าเป็นหวัน...พวกพี่ก็เตรียมเงินประกันตัวได้เลยค่ะ”
แล้วทั้งคู่ก็หัวเราะคิกคักกันอย่างถูกอกถูกใจ
จากตอนแรกที่หล่อนเดินนำหน้าเขา เมื่อออกมาด้านนอกหลังตัวตึกเขาก็กลายเป็นผู้นำทางขึ้นบันได มิน่าจึงไม่เคยมีใครเห็นว่ามีชั้นบนอยู่ในอาคารนี้ด้วย เพราะพวกหล่อนไม่เคยเดินมาทางนี้สักครั้ง
บันไดเป็นเหล็กทาทับด้วยสีน้ำตาลมองดูเหมือนไม้ อยู่ติดกับกำแพง มีความสูงพอสมควร บนพื้นใต้บันไดประดับไว้ด้วยกระถางต้นไม้ชนิดต่าง ๆ ทั้งมีดอกและไม่มี ซึ่งดูผิวเผินก็รู้ว่าได้รับการดูแลเป็นอย่างดี เพราะทุกอย่างดูสะอาดมากแม้มาคีส์จะบอกว่าไม่ได้อาศัยอยู่ที่นี่นานแล้วก็ตาม
“เข้ามาสิคุณ...ไม่ได้ให้นอนใต้บันไดนะ” เสียงทุ้มหยอกเย้าดังมาจากด้านบน ชายหนุ่มยืนพิงประตูอยู่ด้านในห้องแล้ว “อ้อ โทษทีฉันมองอะไรเพลินไปหน่อย” แล้วหล่อนก็รีบวิ่งขึ้นบันไดแล้วเดินเข้าไปในห้อง
ประตูเปิดอ้าอยู่แล้ว เมื่อหล่อนเดินเข้าไปเขาก็ปิดทันที ด้านในดูอลังการกว่าในจินตนาการเป็นไหน ๆ หญิงสาวกวาดตามอง ค่อนข้างอึ้งและทึ่งกับสิ่งที่เห็น
มันเป็นห้องโล่ง ๆ ก่อสร้างด้วยไม้ทั้งหมด ด้านบนเป็นสามเหลี่ยมมาบรรจบกันเป็นทรงใต้หลังคา ก่อนจะไล่ลงมาเป็นกำแพงผนังต่อลงมา ด้านในสุดเป็นเตียงนอนขนาดคิงไซซ์ มีกระถางต้นไม้วางขนาบหัวเตียงทั้งสองข้าง ปลายเตียงห่างออกมาเล็กน้อย มีเก้าอี้เปลญวนทรงกลมสีขาวแขนเอาไว้
ด้านข้างเป็นหน้าต่างที่เขาเปิดผ้าม่านให้แสงส่องสว่างเข้ามา ส่วนด้านบนมีโคมไฟสไตล์นอร์ดิกวินเทจห้อยระย้าลงมา พื้นที่ที่เหลือในห้องเป็นกระดานโล่ง ๆ ไม่ได้ประดับตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ใด ๆ แต่ดูขว้างขวางและสะอาดตาเป็นที่สุด
ตอนแรกคิดว่าเป็นห้องเล็กเท่ารูหนูเสียอีก...
“ถ้าคุณต้องการอะไรเพิ่มก็บอกนะ อย่างทีวี ตู้เสื้อผ้าเพิ่ม หรือโซฟา...”
เสียงของเขาทำให้หล่อนดึงสติจากความเหม่อลอยกลับมาได้ “ให้ฉันอยู่ที่นี่ได้จริง ๆ เหรอ” ยังคงเป็นความค้างคาใจและไม่อยากเชื่อ เพราะมันมากเกินไปจริง ๆ สำหรับหล่อน ซึ่งจะว่าเป็นพนักงานของร้านก็ไม่เชิงด้วยซ้ำ
“ก็ใช่ไง...กลัวเหรอ”
“เปล่า ฉันไม่กลัวผี ไม่กลัวอะไรทั้งนั้นยกเว้นตอนที่ไม่มีเงิน”
“ดีแล้วละ เพราะมีอลิสเบส ชาละวัน แล้วก็พิชญ์นาฏอยู่ที่นี่ แต่พวกมันจะไม่รบกวนคุณหรอก ยิ่งคนไม่กลัวอะไรแบบคุณ รับรองได้ว่าชิล ๆ”
“หมายถึงหมาที่ฉันเคยเห็นตอนมาวันแรกน่ะเหรอ” หล่อนยังจำลักษณะของสุนัขพวกนั้นได้เป็นอย่างดี มันตัวใหญ่และน่ากลัว ไม่คิดว่าจะถูกเลี้ยงไว้ในห้องใต้หลังคาแบบนี้
หญิงสาวหันซ้ายหันขวาเพื่อมองหาพวกมันแต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงา
“ไม่ใช่...หมานั่นอยู่บ้านผมต่างหาก นาน ๆ ถึงจะพามาเที่ยว” เขาหัวเราะเบา ๆ
“อ๋อ แมว” ผู้ชายรักสัตว์ก็ดูอ่อนโยนดีนะ ไม่ได้แปลกใจทำไมชายหนุ่มถึงดูแลห้องนี้เป็นอย่างดี ทุกอย่างสะอาดสะอ้านไม่มีแม้แต่กลิ่นอับชื้น
“ไม่ใช่...นั่นไง อลิสเบสอยู่ด้านหลังคุณแน่ะ” เขาพูดพร้อมรอยยิ้ม แล้วเดินไปด้านหลังของหล่อน
หญิงสาวมองตามด้วยความสงสัย “...”
“อลิสเบส ทักทายพี่ฮอลล์หน่อยสิลูก” เขาก้มลง เหมือนกำลังลูบอะไรบางอย่างซึ่งอยู่ในมือ แล้วค่อย ๆ หันมาทางโสรยา
หญิงสาวมองหน้าเขาเป็นลำดับแรก เขายังคงส่งยิ้มอย่างยินดีมาให้ หล่อนค่อย ๆ ไล่สายตาลงมาที่มือซึ่งมีบางอย่างเกาะแขนเขาอยู่ นั่นทำให้หล่อนถึงกับเบิกตาโพลง ร่างกายแข็งทื่อ จะอ้าปากก็สั่นเสียจนทำอะไรไม่ถูก
ไม่ใช่หมา ไม่ใช่แมว แถมอลิสเบสยังตัวเท่าแขน!
“คุณ...” เขาขมวดคิ้ว มองใบหน้าตื่นตระหนกนั้น แล้วเอื้อมมืออีกข้างจับหล่อนเขย่าเรียกสติ
“ตุ๊กแก! กรี๊ด!” โสรยาอ่อนระทวยหมดแรงเสียดื้อ ๆ หล่อนทรุดฮวบลงกับพื้นรู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว เกิดมาไม่เคยพบเคยเห็นตุ๊กแกอะไรจะตัวใหญ่ขนาดนี้
“โธ่...คุณ ทำอลิสเบสตกใจแล้วเห็นไหม” เขาก้มลงเอ่ยน้ำเสียงขึงขังเมื่อเจ้าสัตว์ตัวนั้นกระโดดไปเกาะกำแพงแล้วก็ไต่หนีหายไปกับซอกเพดาน
“ฉันก็ตกใจ! นายจะบ้าเหรอ จะให้ฉันอยู่กับตุ๊กแกพวกนี้เนี่ยนะ” หล่อนแทบจะร้องไห้ รู้สึกแค้นในอกในลำคอตีบตันไปหมด ทั้งช็อกทั้งใจสั่นระรัว
“อ้าว...ก็ไหนบอกไม่กลัวอะไรไง ขนาดผีคุณยังไม่กลัว”
“เอาน่า มานี่เถอะ...” เขานั่งย่อเข่าข้างหนึ่งค้ำกับพื้นแล้วใช้สองมือประคองหล่อนให้ลุกขึ้น “มันไม่อันตรายหรอก มันก็อยู่ของมันมาตั้งแต่ตัวเล็ก ๆ ตัวนี้เป็นแม่ อีกสองตัวเป็นลูก” เขาอธิบาย
“ไม่เอา ฉันไม่อยู่ด้วยแล้วถ้าแบบนี้” หล่อนยืนขึ้นแล้วปัดมือเขาออก ก้มหน้าก้มตาลุกลี้ลุกลนไม่กล้ามองไปทางไหนทั้งนั้น กลัวสายตาจะไปจ๊ะเอ๋เข้ากับอลิสเบส หรืออาจจะเป็นพิชญ์นาฏ หรือ...ชาละวัน
โอ๊ย!
“มันไม่กัดหรอกน่า...แต่ถ้าอยากออกไปเช่าห้อง อยากเสียเงินเสียทองก็ตามใจ แถวนี้อย่างถูกก็เดือนละเป็นหมื่นเข้าไปแล้ว” เขาเท้าสะเอวแล้วถอนหายใจ ออกอาการเซ็ง ๆ ก่อนจะเดินไปนั่งที่ปลายเตียง แอ่นตัวไปด้านหลังแล้วใช้สองมือค้ำกับที่นอน เหมือนกำลังรอฟังคำตอบจากหญิงสาว
“ก็ฉันกลัวมันกัด” ไม่ใช่ว่าเชื่อเขาเสียทีเดียว แต่หล่อนก็รู้ว่าหากต้องออกไปเช่าที่พักอยู่เอง ทั้งค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าส่วนกลางจิปาถะ รวม ๆ แล้วก็คงไม่ต่างจากจำนวนที่มาคีส์บอกมาจริง ๆ นั่นแหละ
มันก็น่าคิด...ว่าจะยอมเสียเงินหมื่น หรือขอหวานอมขมกลืนอยู่กับตุ๊กแก!
“ไม่ใช่หมานะคุณ พวกมันน่ารักจะตาย ไม่เคยกัดใครหรอก ไม่เชื่อถามแม่ผมกับแม่บ้านดูก็ได้” ชายหนุ่มยืนยันเสียงแข็ง
เอายังไงดีกับชีวิตล่ะทีนี้!
“สัตว์มันเหมือนกับคนนั่นแหละ ดูจากภายนอกไม่ได้หรอก บางคนหน้าตาสวยหล่อ แต่นิสัยเลวก็ถมเถ ไอ้ที่หน้าตาน่ากลัวน่าเกลียดกลับกลายเป็นคนดีก็เยอะ คุณไม่อยากอยู่ก็ไม่เป็นไร แต่อย่ามาสร้างปมด้อยให้ลูก ๆ ผมเลย พวกมันน่าสงสาร ใครเห็นใครก็รังเกียจ...” น้ำเสียงของชายหนุ่มอ่อนลง สีหน้าก็นิ่งขรึมไม่มีท่าทีขี้เล่นแตกต่างไปจากเดิม
นั่นทำให้โสรยารู้สึกผิดขึ้นมาทันที ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน “มันก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก ฉันแค่ตกใจเพราะไม่ชิน ฉัน...อยู่ที่นี่ก็ได้ ถ้าไม่เป็นการรบกวนนายกับคุณเพนนีจนเกินไป”
“ดี...ลองอยู่ก่อนสักวันสองวันก็ได้ ถ้าไม่ไหวจริง ๆ ค่อยว่ากัน” คราวนี้ดูเหมือนเขาจะยิ้มได้ขึ้นมาบ้าง
“แล้วฉันจะย้ายมาได้เมื่อไหร่ล่ะ”
“เมื่อคุณต้องการ แล้วแต่เลย...จะให้ผมไปช่วยขนของด้วยไหมล่ะ”
“โห...อย่าดีกว่า แค่นี้ก็เกรงใจแม็กซ์จะแย่อยู่แล้ว”
“ผมล้อเล่นน่ะ...คุณไม่ต้องอยู่ใกล้ผมบ่อย ๆ หรอก มันไม่ดี” เขาหันมายิ้มทะเล้น
“ทำไมล่ะ” เมื่อประโยคนั้นเปิดโอกาสให้ถาม แล้วหล่อนจะพลาดได้อย่างไร
“อันตราย...ผมมันตัวอันตรายนะ คุณไม่กลัวเหรอ”
หญิงสาวยิ้มแหย ในใจแอบแบะปากเล็กน้อยขณะมองดวงตากลมกล้าที่จ้องหล่อนอย่างไม่ลดละเช่นกัน เกลียดนัก...ผู้ชายที่ชอบพูดแบบนี้ เหมือนตัวเองเป็นมาเฟีย เป็นจำพวกคนมืด ๆ เทา ๆ แต่ไม่ได้ดูความเป็นจริงเลย พูดให้ฟังดูเท่ พูดอวดสาวว่างั้น
“กลัวเหรอ” เขายังถามกวน
“ทำไมต้องกลัว เพราะนายเป็นตัวอันตรายน่ะเหรอ ยังไงไม่ทราบ”
“อยู่ใกล้ผมมาก ๆ คุณอาจติดคุกได้เลย นี่พูดจริง...” ชายหนุ่มเม้มริมฝีปากเล็กน้อยแล้วอมยิ้ม
“ทำไม...นายขายยาเสพติดเหรอ” เออว่ะ! อันตรายจริง คิดได้อย่างนั้นหล่อนก็ตาลุกวาว
“ไม่ใช่ คิดอะไรบ้า ๆ! แค่ผมอายุยังไม่ถึงสิบแปด ก็อาจจะ...ทำให้คุณเจอข้อหาพรากผู้เยาว์ได้ง่าย ๆ ระวังตัวไว้ด้วยล่ะ”
โสรยาถึงกับอ้าปากค้าง ไปต่อไม่เป็น ว่าหล่อนคิดบ้า ๆ แล้วที่เขาพูดออกมาคนดี ๆ เขาพูดกันเหรอ
“นี่กุญแจ อยากย้ายเข้ามาอยู่เมื่อไหร่ก็ตามสบายเลยนะ ผมไปละ...ต้องไปรับแม่ที่บ้าน” แล้วจู่ ๆ เขาก็ลุกขึ้นยืน พร้อมกับโยนพวงกุญแจไว้บนที่นอน จากนั้นก็หันหลังเดินออกจากห้องไป ไม่ได้สนใจเลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับอีกฝ่าย
“แม็กซ์! นี่เดี๋ยวก่อน” พอหายจากอาการงงงวยหล่อนก็รีบวิ่งตาม แต่มาคีส์ลงบันไดและเดินหายลับไปกับมุมตึกเสียแล้ว
เด็กนี่มันร้าย! เมื่อเห็นดังนั้นหญิงสาวก็ได้แต่ยืนอึ้ง มือเท้าสะเอวแล้วหันไปหันมาอย่างใช้ความคิดว่าจะเอายังไงต่อดี... แต่แล้วก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่พลางเดินกลับไปนั่งบนเตียงที่มาคีส์เพิ่งลุกจากไป มือคว้าเอากุญแจที่เขาทิ้งไว้ให้มาส่องดู
หล่อนจะต้องอยู่ที่นี่จริง ๆ แล้วใช่ไหม...