บทที่ 7 ตอนที่ 2

1457 คำ
เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้น...วันนี้โสรยารู้สึกเหน็ดเหนื่อยอ่อนเพลียไปหมด เนื่องจากหล่อนทำงานติดต่อกันโดยไม่หยุดเลย อาจจะดูไม่ใช่งานหนักแบกหาม แต่ก็ต้องใช้พลังงานทั้งกายและใจเพื่อให้ทุกอย่างออกมาดีที่สุด อีกทั้งระยะทางไปกลับระหว่างร้านกับที่พักของดาหวันนั้นค่อนข้างอยู่ไกล การเดินทางไปกลับทุกวัน ทุกคืน ร่างกายจึงต้องการการพักผ่อนที่เพียงพอมากกว่านี้ ในใจของโสรยา การไปพักอยู่กับดาหวันก็ทำให้หล่อนรู้สึกเกรงใจเป็นอย่างมาก เพราะทำให้เพื่อนสาวสองขาดความเป็นส่วนตัวไปโดยสิ้นเชิง แต่จะให้หาห้องเช่าเป็นส่วนตัว หล่อนก็ไม่รู้ว่าหากจบงานนี้แล้วอนาคตหน้าที่การงานจะเป็นอย่างไรต่อไป ฐานะทางการเงินของหล่อนตอนนี้ไม่มั่นคงเอาเสียเลย จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องประหยัดอดออม เพราะต่อไปหล่อนอาจจะต้องทำธุรกิจอะไรสักอย่างหากยังตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ “ไม่สบายหรือเปล่า...พักบ้างก็ได้นะ” หล่อนหันไปมองตามเสียงทุ้ม ก็พบว่าเป็นมาคีส์ เขาหย่อนตัวนั่งลงข้าง ๆ ล้วงบุหรี่ในกระเป๋าออกมาจุดสูบ พ่นควันสีขาว ๆ ลอยโขมง โสรยามองภาพนั้นแล้วไม่คิดว่าการมาแอบนั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยหลังเลิกงานเพราะวันนี้เพื่อน ๆ รับประทานบุฟเฟ่ต์กันยังไม่เสร็จ ส่วนหล่อนไม่ค่อยถนัดเรื่องมื้อดึกสักเท่าไหร่ เลยปลีกตัวออกมานั้งเงียบ ๆ อยู่ด้านหลังของร้าน “หลายวันมานี้ผมเห็นคุณดูไม่ค่อยร่าเริงเหมือนตอนแรก ๆ ที่มาทำงานเลยนะ” เขาหันมองหน้าหล่อนแล้วคุยต่อ “หยุดก็ไม่ได้เงินสิ นายก็น่าจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับฉัน ตอนนี้ทำได้ก็ต้องทำไปก่อน พอครบสามเดือนยังไม่รู้เลยว่าจะทำยังไงต่อ” โสรยาในชุดมาสคอตปลานีโม่ถอดหัววางไว้ที่นั่งข้าง ๆ ถอนหายใจ แม้จะไม่เคยพูดคุยเป็นการส่วนตัวกันมากมาย แต่หญิงสาวก็รู้ดีว่าไม่มีทางที่เขาจะไม่รู้เรื่องราวฉาวโฉ่ของหล่อน ยิ่งอยู่ในช่วงวัยรุ่นย่อมติดตามโซเชียลเน็ตเวิร์กบ้างไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ขนาดพนักงานในร้าน แรก ๆ ก็เมาท์มอยกันให้แซ่ด แต่พอได้รู้จักคุ้นเคยตัวตนที่จริงของหล่อน ทุกคนก็กลายเป็นเพื่อนร่วมงานที่ดีต่อกัน “แล้วมันจะคุ้มกันเหรอกับสุขภาพ ถ้าเกิดไม่สบายขึ้นมาคุณก็ทำงานไม่ได้อยู่ดี” “ช่างฉันเถอะน่า...” “มีอะไรให้ช่วยก็บอกนะ ไม่ต้องเกรงใจหรอก แม่ผมไม่ใช่คนใจร้ายใจดำ คุณก็เป็นคนขยัน ถ้าเกิดทำงานครบกำหนดแล้วแต่คุณยังไม่มีงานอื่น จะทำที่นี่ต่อก็ได้นะ” เขาว่า “เฮ้ย! จริงเหรอ ได้เหรอ...” โสรยาจ้องเขาเขม็งอย่างไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน “แล้วคุณอยากจะทำต่อหรือเปล่าล่ะ...ดูไม่ใช่ไลฟ์สไตล์ของคุณสักเท่าไหร่เลยนะร้านบุฟเฟ่ต์แบบนี้เนี่ย” “อะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละ ขอแค่มีงานทำ และเป็นงานที่ไม่เบียดเบียนใคร ไม่ผิดกฎหมาย ไม่ผิดศีลธรรม ก็ถือเป็นงานสุจริตไม่เห็นมีอะไรต้องห่วง” ไม่มีงาน ไม่มีเงิน เป็นเรื่องที่น่ากังวลกว่าเป็นไหน ๆ “เดี๋ยวผมจะบอกแม่ให้ก็แล้วกัน ไม่มีปัญหาหรอก แม่ผมเป็นคนง่าย ๆ คุณก็เห็น ขอแค่มีความตั้งใจ ขยัน ไม่ขี้เกียจ แม่ผมได้หมดแหละ” “ดีเลย...แต่ยังไงก็ต้องคุยกับคุณเพนนีก่อนสินะ” แม้คำพูดของมาคีส์จะทำให้หล่อนมีความหวังว่าได้อยู่ที่นี่ต่อไปแน่นอน แต่อย่างไรเสียเขาก็ไม่ใช่คนที่จะตัดสินใจได้ “ก็แม่เป็นเจ้าของร้านนี่” “ถ้าเกิดเป็นอย่างที่นายพูดมาจริง ๆ ก็คงดี...ฉันจะได้หาที่อยู่ใหม่ใกล้ ๆ แถวนี้ด้วย” “อ้าว...ทำไมล่ะ บ้านคุณอยู่ไกลเหรอ” เขาถาม มองหล่อนด้วยความสงสัย “ก็ทำนองนั้น...คือจริง ๆ แล้วฉันมีคอนโด แต่ตอนนี้ปล่อยให้เขาเช่าก็เลยไปขออาศัยอยู่กับดาหวันน่ะ เรื่องเดินทางไม่เท่าไหร่ แต่ฉันเกรงใจเพื่อนมากกว่า” หล่อนสารภาพไปตามความเป็นจริง มาคีส์ก็ไม่ได้ต่างจากพนักงานคนอื่น ๆ ในร้านที่หล่อนสนิทสนมในระดับหนึ่ง เพราะต้องทำงานร่วมกัน แต่จะพิเศษหน่อยก็ตรงที่ชายหนุ่มจะคอยช่วยแก้ปัญหาเมื่อมีเหตุสุดวิสัย เพราะเขามีอำนาจในส่วนนั้น และมักช่วยเหลือในเรื่องอื่น ๆ ยิบย่อย มันจึงกลายเป็นความคุ้นเคยต่อกัน บ่อยครั้งที่ได้พูดคุยกันบ้างแม้จะเป็นเพียงเรื่องผิวเผิน แต่หล่อนก็ยังรู้สึกว่าเขาพึ่งพาได้เสมอ ไม่รู้สิ...มาคีส์ดูเป็นผู้ใหญ่ ความคิด ความอ่าน และการกระทำดูโตกว่าอายุจริง ซึ่งเป็นเพียงเด็กวัยรุ่นอายุสิบแปดปีเท่านั้น แต่ก็ยังมีความขี้เล่นอยู่บ้างเหมือนกัน อาจเป็นเพราะการใช้ชีวิตอยู่กันสองคนแม่ลูกด้วยกระมัง เขาเป็นผู้ชายย่อมมีสัญชาตญาณในการปกป้อง เมื่อแม่ไม่มีใครอื่นที่ไว้ใจได้... “มาอยู่ที่นี่สิ” “หือ...” หล่อนเบิกตาโพลงก่อนจะย่นคิ้วเข้าหากันด้วยความไม่เข้าใจ อยู่ที่นี่? ที่ไหน? ร้านปิ้งย่างที่มีเพียงออฟฟิศกับห้องรับแขกอย่างนั้นเหรอ? “จะได้ไม่ต้องเดินทางไปกลับไง ประหยัดเงินด้วย สนใจไหมล่ะ...” “ยังไง...อยู่ตรงไหน ที่นี่ไม่มีที่อยู่ให้พนักงานเสียหน่อย” สองมืออ้วน ๆ ที่ยังอยู่ในชุดนีโม่ยันไว้ด้านหลัง แล้วหล่อนก็เอียงตัวเล็กน้อย เพราะรู้สึกสนใจหัวข้อที่กำลังสนทนากันอยู่นี้เป็นอย่างมาก “ที่ออฟฟิศ...ก่อนจะซื้อบ้านผมกับแม่ก็อยู่ที่นั่น แต่พอเริ่มขยับขยายธุรกิจได้ แม่ก็เปลี่ยนห้องนอนเป็นออฟฟิศไว้เก็บเอกสารแล้วก็เป็นห้องทำงานด้วย ส่วนผมอยู่บนห้องใต้หลังคาข้างบน” “ห้องใต้หลังคาเหรอ...” แม้จะเข้าออกในออฟฟิศนั้นทุกวันแต่หล่อนก็ไม่เคยรู้เลยว่ามีห้องหับอยู่ด้านบน ภายใต้หลังคาของที่นั่นด้วย บันไดก็ไม่เคยเห็น... “คุณอยู่ที่นั่นได้เลย เพราะผมยังให้แม่บ้านทำความสะอาดให้อยู่ทุกวัน ข้าวของเครื่องใช้ก็มีเตียงนอน ตู้เสื้อผ้า ตู้เย็น อ้อ...ติดแอร์ด้วยนะ สนใจไหมล่ะ” “จะดีเหรอ...” “มันไม่ได้ร้าง ผมยังขึ้นไปแอบงีบอยู่ทุกวัน” “ฉันเกรงใจจังเลย เป็นภาระนายกับแม่เปล่า ๆ แล้วต่อไปนี้นายจะไปงีบที่ไหนล่ะ” “ไม่สำคัญหรอกน่า...ผมไม่ได้ขี้เซาขนาดนั้น เพียงแต่ผูกพันกับห้องใต้หลังคามากเพราะอยู่มาตั้งแต่เด็ก ๆ ก็เลยไม่อยากปล่อยไว้เฉย ๆ คุณจะพาเพื่อนมาอยู่ด้วยก็ได้นะ” เขายิ้ม แล้วโยนบุหรี่ในมือลงพื้น ใช้เท้าขยี้ให้ไฟดับ ก่อนจะหยิบทิ้งลงถังขยะ “คุณเพนนีจะว่ายังไงเนี่ย นายจะให้ทำงานต่อ แถมให้ที่พักด้วยแบบนี้ เธอยอมเหรอ” มันเป็นข้อเสนอที่ดีมาก ๆ สำหรับหล่อนในช่วงเวลาแบบนี้ แต่ก็ยังรู้สึกเป็นกังวลอยู่ดีว่ามารดาของชายหนุ่มจะเห็นด้วยหรือไม่ “ผมรู้ข่าวของคุณนะ...รู้ว่าคุณกำลังลำบากเพราะถูกโจมตีทุกทาง ก็เลยอยากช่วย แต่ทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคุณ แม่กับผมไม่มีปัญหาหรอก” “ขอบคุณมากนะแม็กซ์ ฉันจะลองคิดดู” “ตามสบาย พรุ่งนี้ผมจะพาขึ้นไปดูก็แล้วกัน เผื่อชอบหรือไม่ชอบก็แล้วแต่ ไปละ...” เขาลุกจากม้านั่งแล้วยิ้มให้ ก่อนจะเดินจากไป ปล่อยให้โสรยามองตามอย่างใช้ความคิด... “ทำไมดีกับเราจัง...คิดอะไรกับเราอยู่หรือเปล่าเด็กคนนี้” หล่อนขมวดคิ้วเข้าหากันแล้วกัดริมฝีปาก มันก็ไม่แปลกหากมาคีส์จะคิดอะไร ๆ เกินเลยสักหน่อย เพราะหล่อนเองก็เป็นคนสวยคนหนึ่ง อยู่ใกล้ด้วยบ่อย ๆ มันก็ต้องมีหวั่นไหวกันบ้างเป็นธรรมดา “เด็กเอ๊ยเด็ก...รอโตกว่านี้อีกหน่อยเถอะไอ้หนู” หล่อนถอนหายใจแล้วหรี่ตา บางทีก็เบื่อในความมีเสน่ห์ของตัวเองเหมือนกัน แม้แต่ในสถานการณ์แบบนี้ก็ยังมีผู้ชายมาเกาะแกะ เฮ้อ...
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม